บทที่ 528 กันดารถึงที่สุด
บทที่ 528 กันดารถึงที่สุด
เซี่ยชิงหยวนอุทานด้วยความประหลาดใจ “อี้โจวคุณกลับมาแล้ว!”
เธอรีบไปดึงเขาเข้ามาใกล้ ๆ แล้วมองขึ้น ๆ ลง ๆ ยกเว้นที่ว่าเขาซีดเซียวกว่าเมื่อวานและดวงตาแดงก่ำ นอกนั้นก็ไม่มีอาการบาดเจ็บใด ๆ ที่ชัดเจน เธอจึงโล่งใจขึ้นบ้าง
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ผมทำให้คุณกังวลจริง ๆ”
ทหารทั้งสองทักทายเสิ่นอี้โจว “เลขาธิการเสิ่น เราไม่สามารถรับข้าวของจากพลเรือนได้ครับ”
เสิ่นอี้โจวยิ้มและพูดว่า “ตอนนี้มองข้ามสถานะภรรยาของผมที่เธอเป็นสมาชิกครอบครัวเลขาธิการไปก่อนเถอะ แค่มองในแง่ของการส่งเสบียงบำรุงกำลังพลก็พอ ผมแค่ขอให้เธอช่วยจัดการส่งเสบียงให้แก่พวกคุณเท่านั้นเอง”
เมื่อเสิ่นอี้โจวพูดแบบนี้ ความหมายมันก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ทหารทั้งสองพูดเสียงดัง “ขอบคุณเลขาธิการเสิ่น! ขอบคุณคุณนายเสิ่น!”
หลังจากพูดอย่างนั้น ทั้งสองก็หันหลังและจากไป
พวกเขาประจำการอยู่บนภูเขาที่ห่างไกลจากที่นี่และสภาพแวดล้อมก็ยากลำบากมาก บนภูเขาไม่มีถนน และเสบียงหรือข้าวของต่าง ๆ ไม่สามารถขนย้ายเข้าไปได้ ส่วนใหญ่ทำได้แค่พึ่งพาตนเองเท่านั้น
แม้แต่เนื้อก็ได้กินเฉพาะวันตรุษจีนเท่านั้น ถึงแม้ว่าทุกคนจะมีเพียงสองชิ้นในชาม แต่พวกเขาก็พอใจมากแล้ว
เซี่ยชิงหยวนถอนหายใจ “ฉันไม่คาดคิดเลยว่าแม้แต่เสบียงสำหรับกองทัพก็ยังเข้าไม่ถึงที่นี่”
ความกันดารก็เรื่องหนึ่ง แต่ความกันดารจนคุณไม่สามารถนำเข้าหรือซื้ออะไรได้เลยถือเป็นเรื่องสุดจริง ๆ
เสิ่นอี้โจวถอนหายใจ “ใช่ ถ้ากองทัพมีอาหารไม่เพียงพอ พวกเขาจะมีแรงในการปกป้องมาตุภูมิและประชาชนได้ยังไง”
หากพวกเขาเผชิญกับอันตรายจริง ๆ ความภักดี ความกล้าหาญ และชีวิตของพวกเขาอาจเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เดิมพัน
เซี่ยชิงหยวนปัดดินบนร่างของเสิ่นอี้โจว บนตัวเขายังมีเศษวัชพืชและหนามมากมายติดอยู่ เสิ่นอี้โจวผู้ที่แต่งตัวเนี๊ยบและรักความสะอาดเสมอกลายเป็นเช่นนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เธอทั้งตลกและเป็นทุกข์ในเวลาเดียวกัน “คุณเหนื่อยไหม? ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว ๆ เถอะ ฉันเก็บอาหารเช้าไว้ในหม้อให้คุณแล้ว”
เบ้าตาของเสิ่นอี้โจวชื้นขึ้นและจับมือภรรยาไว้ “ขอบคุณนะที่รัก”
โดยปกติแล้วเมื่อกลับมาจากลาดตระเวน เขามักจะเหนื่อยมากจนเดินไปที่เตียงไม้แล้วไม่อยากขยับตัวอีกเลย
ส่วนเรื่องอาหารตอนเที่ยง คนในคณะคนไหนก็ตามที่พอทำอาหารเป็นและมีแรงเหลือก็จะรับหน้าที่ทำไป ซึ่งทุกคนก็ไปกินอย่างลวก ๆ
คนที่ลงมาทำภารกิจนี้พร้อมกับเสิ่นอี้โจวส่วนใหญ่เป็นพวกคนที่มีชีวิตสุขสบายมาโดยตลอดหรือเป็นชาวนาที่เคยชินกับการใช้ชีวิตที่มีสิทธิพิเศษ แค่ทุกคนยอมรับกับชีวิตแบบนี้โดยไม่บ่นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากแล้ว เราจะคาดหวังชายร่างใหญ่กลุ่มหนึ่งเช่นพวกเขาได้อย่างไรว่าจะต้องทำอาหารมื้ออร่อยหรืออะไรแบบนั้นได้?
ทุกครั้งในเวลานี้เสิ่นอี้โจวจะคิดถึงภรรยาและลูก ๆ ที่อยู่ห่างไกลในมณฑลอวิ๋น ทั้งอาหารอร่อย ผ้าห่มอุ่น ๆ หน้าอกที่อ่อนนุ่มและมือเล็ก ๆ ของภรรยาของเขา… เสิ่นอี้โจวออกจากห้องอาบน้ำด้วยความรู้สึกสบายตัวอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมาเป็นเวลานาน
เขากอดเซี่ยชิงหยวนก่อน จากนั้นจึงขึ้นไปชั้นบนเพื่อดูลูก ๆ
เมื่อวานเพราะความรีบร้อน เขาจึงไม่มีเวลาดูลูก ๆ ให้ดีด้วยซ้ำ
เขาจำได้แค่ว่าลูกสาวโตขึ้นกว่าเดิมมาก และก็รู้สึกว่าเธอหนักมากขึ้นเมื่ออยู่ในมือของเขา ส่วนลูกชายก็ยังเป็นเด็กซุกซนเหมือนเดิม
เสิ่นอี้หลินกำลังเล่นกับหลานสาวและหลานชายของเขาด้วยเสียงร่าเริง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เด็กชายก็หันไปและเมื่อเห็นว่าเป็นเสิ่นอี้โจว เขาก็หัวเราะทันที “พี่ใหญ่!”
เขายืนขึ้นด้วยความดีใจและวิ่งมามองด้วยดวงตาแห่งความชื่นชม
เสิ่นอี้โจวยิ้ม พลางลูบศีรษะของน้องชายแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “นายสูงขึ้นอีกแล้วนะ”
เขาจำได้ว่าตอนที่เสิ่นอี้หลินติดตามเขาไปที่เตียนเฉิงเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเสิ่นอี้หลินสูงแค่เอว แต่ตอนนี้อีกฝ่ายสูงเกือบถึงหน้าอกแล้ว
เสิ่นอี้หลินยิ้มอย่างเขินอาย “เมื่อผมโตขึ้น ผมจะสูงเท่ากับพี่ใหญ่ให้ได้เลย!”
เสิ่นอี้โจวหัวเราะเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นนายต้องกินให้มาก ๆ นะ”
แต่หลังจากคำพูดนี้จบลง เสิ่นอี้โจวก็นึกขึ้นได้ถึงสภาพการณ์ตอนนี้ทันที รอยยิ้มของเขาจึงจางลงไป
เขาเปลี่ยนเรื่องแล้วเอ่ยถาม “นายได้เอาหนังสือที่อยากเรียนในอนาคตมาไหม?”
พูดจบก็นั่งลงบนพื้นที่คลุมด้วยผ้าห่มหนา ๆ อุ้มเด็กน้อยสองคนที่อยู่ด้านซ้ายและขวามาชั่งน้ำหนักด้วยมือของตัวเอง ลูก ๆ ของเขาหนักกว่าเดิมมากจริง ๆ
เสิ่นอี้หลินหัวเราะ “ฮิฮิ” และพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้นำหนังสือของผมมาทั้งหมดเลยน่ะ”
เสิ่นอี้โจวก้มศีรษะลงแตะหน้าผากลูกสาวของเขาแล้วพูดว่า “พี่จะให้พี่สะใภ้ของนายสอนหนังสือให้นายเมื่อถึงเวลาแล้วกัน พี่ไม่กล้าพูดถึงระดับมัธยมปลายหรอก แต่ระดับประถมและมัธยมต้นมันไม่น่าจะมีปัญหา”
“ทำไมฉันถึงจะสอนระดับมัธยมปลายไม่ได้ล่ะ?” เซี่ยชิงหยวนหยิบอาหารเช้าขึ้นมาและพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก
เสิ่นอี้หลินยืนขึ้นเพื่อช่วยรับถาดอาหารวางบนโต๊ะอาหาร “แน่นอนว่าพี่สะใภ้ของผมสอนผมได้แน่นอน พี่สะใภ้เก่งจะตาย”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม แตะปลายจมูกของเสิ่นอี้หลินแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “นายนี่ปากหวานจริง ๆ”
จากนั้นเธอก็อุ้มเสิ่นทิงอวิ๋นออกจากอ้อมแขนของเสิ่นอี้โจว แต่เมื่อเธอกำลังจะอุ้มเสิ่นทิงหลานออกไปด้วย เสิ่นอี้โจวก็ขวางเธอไว้
เขาพูดว่า “ไม่เป็นไร ผมกินแบบนี้ได้”
เซี่ยชิงหยวนหรี่ตามองเขา “คุณเอาใจลูกสาวของคุณขนาดนี้ เดี๋ยวในอนาคตเธอก็ได้กลายเป็นราชินีแห่งขุนเขาหรอก”
เสิ่นอี้โจวไม่ได้คิดจริงจังอะไร “อะไรกัน เป็นราชินีแห่งขุนเขาผิดตรงไหน? แบบนั้นก็ดีจะได้ไม่มีใครกล้ารังแกราชินีของเรา เมื่อถึงเวลาก็ให้ลูกเขยเข้ามาเป็นผู้ใต้บัญชาของลูกสาวเราด้วย~”
เซี่ยชิงหยวนไอเบา ๆ ขณะวางโจ๊กให้สามี “คุณนี่ก็ช่างคิดจริง ๆ นะ”
หลังจากวางอาหารเช้าให้แล้ว หญิงสาวก็พูดว่า “กินเร็ว ๆ เถอะ เดี๋ยวคุณอาจจะต้องออกไปข้างนอกอีกนี่”
ในน้ำเสียงของเธอมีเพียงความกังวลเท่านั้นโดยไม่มีการตำหนิแม้แต่น้อย
เสิ่นอี้โจวจับมือของภรรยาไว้ “เมื่อคืนผมทำให้คุณกลัวรึเปล่า?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “มีบ้าง ฉันกับแม่กว่าจะหลับก็ตาค้างอยู่นานเลย”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ช่วงนี้ผมจะไม่ออกไปข้างนอกแล้วล่ะ หากคุณอยากให้ผมต่อเติมจุดไหนของบ้านก็บอกมาได้เลยนะ ผมจะทำมันให้”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างมีความสุข “คุณนี่เข้าใจฉันดีที่สุดจริง ๆ”
หลังจากมองดูเสิ่นอี้โจวกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว เธอก็เก็บจานแล้วลงไปชั้นล่าง
เสิ่นอี้โจวลุกขึ้นแล้วเดินลงไปที่ห้องครัวเพื่อช่วยล้างจาน
เซี่ยชิงหยวนหันกลับมาและเห็นเด็กท้องถิ่นสองสามคนยืนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านไม้ไผ่ และมองมาทางเธออย่างขี้อาย
เซี่ยชิงหยวนเดินไปพร้อมกับเสิ่นทิงอวิ๋นในอ้อมแขน และถามด้วยภาษาไตในแบบงู ๆ ปลา ๆ ที่เธอได้เรียนรู้มาจากอาเซียง “เด็ก ๆ มีอะไรรึเปล่าเอ่ย?”