บทที่ 525 ยังกินเนื้อสัตว์ไม่ได้
บทที่ 525 ยังกินเนื้อสัตว์ไม่ได้
หลิงเยี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นหันกลับมามองเซี่ยชิงหยวนด้วยสายตาที่สงบและแน่วแน่ “อีกฟากหนึ่งของภูเขามีกลุ่มผู้พิทักษ์ชายแดนมาตุภูมิของเราอยู่ครับ”
ในประโยคสั้น ๆ เขาก็ตอบเซี่ยชิงหยวนทางอ้อมว่าเธอไม่ต้องกลัว
แม้จะมีพม่าอยู่อีกฟากหนึ่งของภูเขา แต่อาชญากรจากพม่าต้องข้ามศพของเหล่าเจ้าหน้าที่รักษาชายแดนก่อน จึงจะสามารถเข้ามาได้
ทว่าสถานที่อันตรายเช่นนั้นไม่ใช่ที่ที่เสิ่นอี้โจวมาตั้งแต่ตอนแรกเหรอ?
จู่ ๆ หัวใจของเซี่ยชิงหยวนก็หนักอึ้ง
เธอพยักหน้าและตอบว่า “คุณก็ควรระวังตัวด้วย”
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนริมฝีปากของหลิงเยี่ย “ตราบใดที่เราอยู่ที่นี่ เราจะปกป้องความปลอดภัยให้คุณแน่นอน เลขาธิการเสิ่นไม่มีทางกล้าให้คุณมาที่นี่เด็ดขาด ถ้ากองทหารยังไม่มาถึง…”
ก่อนหน้านั้นไม่มีใครรู้ว่าเสิ่นอี้โจวเผชิญอะไรเพียงลำพังบ้าง
คนทั้งกลุ่มไม่พูดอะไรอีกต่อไป และทุกคนก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
ก่อนที่พวกเขาจะหมดแรง ในที่สุดพวกเขาก็เห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เชิงภูเขา
แม้จะบอกว่าเป็นหมู่บ้าน แต่มันมีเพียง 20 หรือ 30 ครัวเรือนอาศัยอยู่รวมกันในพื้นที่ที่เหมือนเป็นแอ่งกระทะเท่านั้น ส่วนครัวเรือนที่เหลือกระจัดกระจายอยู่บนภูเขา
หลิงเยี่ยพูดว่า “เรามาถึงแล้วครับ”
หลังจากนั้นเขาก็เดินลงภูเขาก่อน
เขาเหยียบบนก้อนหินที่ค่อนข้างมั่นคง หันกลับมาและยื่นมือออกไปทางเซี่ยชิงหยวน
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังเส้นทางที่ยากลำบากใต้ฝ่าเท้าของเธอ หญิงสาวจับมือของหลิงเยี่ยโดยไม่ลังเล แล้วยื่นมืออีกข้างไปทางด้านหลังยังเสิ่นอี้หลิน จากนั้นเสิ่นอี้หลินก็หันกลับไปแล้วส่งมือให้หลินตงซิ่วจับ
ทหารที่ตามมาก็กระชับกระเป๋าเดินทางให้แน่นขึ้นที่ไหล่และเอว แล้วคลำหาทางลงไป
ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว ชาวบ้านต่างรีบกลับบ้านหลังเลิกงานในไร่
ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นหญิงชราและเด็ก พวกเขาเดินเท้าเปล่าและสวมเครื่องแต่งกายของชาวไต ทว่าพวกเขาแต่งตัวเรียบง่ายและชุดก็ขาดรุ่งริ่งมากกว่าชนเผ่าไตในเตียนเฉิงมาก
เมื่อพวกเขาเห็นคนแปลกหน้าก็หยุดและมองดูอย่างระแวดระวัง
หลังจากที่เห็นหลิงเยี่ยและทหารสวมชุดสีเขียวมะกอก พวกชาวบ้านก็ยิ้มอีกครั้งและหลีกทางให้
ขณะที่กลุ่มของหลิงเยี่ยเดินไปเรื่อย ๆ ก็มีพวกชาวบ้านตามหลังพวกเขามากขึ้น พวกชาวบ้านพูดภาษาถิ่นและดูตื่นเต้นมาก
หลิงเยี่ยเดินไปข้างหน้าแล้วอธิบายว่า “บางทีพวกเขาอาจไม่เคยเห็นใครสวยเท่าคุณนายเสิ่นเลยก็ได้น่ะ”
ขณะที่พูดแบบนี้ เขาก็สงบและเป็นธรรมชาติราวกับกำลังพูดอะไรบางอย่างโดยไม่มีนัยเสแสร้งใด ๆ
เซี่ยชิงหยวนเขินอายเพียงชั่วครู่ จากนั้นจึงยิ้มอย่างรวดเร็วและพยักหน้ากลับไปหาพวกชาวบ้าน
แต่โดยไม่คาดคิดว่าพฤติกรรมของเธอถูกหลิงเยี่ยหยุดทันที “คุณนายเสิ่น อย่ายิ้มสวยเกินไปครับ!”
เขาพยักพเยิดหน้าไปทางซ้าย
เซี่ยชิงหยวนมองไปทางนั้น และเห็นชายคนหนึ่งที่เปลือยท่อนบนกำลังนั่งทรุดตัวลงข้างกองหญ้า ยิ้มและกำลังมองเซี่ยชิงหยวนอย่างตั้งใจ
มุมปากของเซี่ยชิงหยวนค้างและทำหน้าจริงจังทันที
เมื่อเห็นเธอเช่นนี้ หลิงเยี่ยก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปาก “อย่ากลัวเกินไปเลยครับ แค่ระวังตัวไว้ก็พอ”
ในขณะเดียวกันนี้มีเสียงโหวกเหวกมากมายอยู่ข้างหลังพวกชาวบ้าน และจากนั้นก็มีกลุ่มผู้ชายที่เหมือนไม่ใช่พวกชาวบ้านพื้นถิ่นปรากฏตัว
ชายกลุ่มใหม่ที่เดินเข้ามานั้นบางไม่ได้สวมเสื้อหรือบางคนก็สวมเพียงเสื้อกล้ามบาง ๆ ถืออุปกรณ์และดูเหนื่อยล้าขณะเดินเข้ามา
เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มของเซี่ยชิงหยวน ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ และพวกเขาก็มองไปยังใครบางคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขา
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็เห็นชายร่างผอมสูงเดินเข้ามาจากท้ายกลุ่มคน ในตอนแรกชายคนนั้นดูตกใจ แล้วก็เดินกะโผลกกะเผลกมาข้างหน้าอย่างรวดเร็วและพูดด้วยความประหลาดใจ “ชิงหยวน! แม่! อี้หลิน!”
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่เสิ่นอี้โจวผู้มีรูปร่างผอมกว่าเดิมและมีใบหน้าเหลืองซีด น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “อี้โจว!”
เสิ่นอี้หลินรีบวิ่งเข้าไปกอดเอวของเสิ่นอี้โจว “พี่ใหญ่!”
หลินตงซิ่วยืนอยู่ข้าง ๆ เช็ดน้ำตาอย่างเงียบ ๆ
เดิมทีเด็กน้อยทั้งสองถูกหลิงเยี่ยมัดไว้แน่น แต่บางทีพวกเขาอาจได้ยินเสียงพ่อของตัวเอง จึงเริ่มดิ้นอย่างกระตือรือร้นโดยกลัวว่าพวกตนจะถูกเมินเฉย
เสิ่นอี้โจวได้ยินเสียงของลูก ๆ และมองไปที่หลิงเยี่ยอย่างช้า ๆ
เสิ่นทิงหลานแทบจะรอไม่ไหว เธอยื่นมือเล็ก ๆ ที่อวบอ้วนออกจากสายรัดแล้วเหยียดไปทางเสิ่นอี้โจว
เสิ่นอี้โจวยิ้มกว้างทันทีและอุ้มเสิ่นทิงหลานขึ้นมา
หลังจากที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือน น้ำหนักของลูกสาวในมือก็หนักขึ้นมาก เขาอุ้มเธอขึ้นและหัวเราะ
เสิ่นทิงหลานเตะขาอ้วนของเธอและน้ำลายไหลด้วยความตื่นเต้น
เสิ่นทิงอวิ๋นที่ถูกแบกบนหลังชายที่อยู่ข้างหลังหลิงเยี่ยแสดงสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะแหกปากร้อง “แง…!”
เด็กน้อยร้องไห้เสียงดังทำลายเสียงหัวเราะของหลาย ๆ คน
เสิ่นอี้โจวอุ้มลูก ๆ ของเขาไว้ในอ้อมแขน คนหนึ่งอยู่ทางซ้ายและอีกคนหนึ่งอยู่ทางขวาด้วยดวงตาแดงก่ำ และจูบใบหน้าเล็ก ๆ ของลูกแต่ละคน
เขาสะอื้นและพูดว่า “ไปกันเถอะ พ่อจะพาลูก ๆ ไปบ้านเรา”
เขาหันกลับไป พลางแนะนำตัวตนของเซี่ยชิงหยวนและคนอื่น ๆ ให้กับชาวบ้าน จากนั้นพูดคำอำลา พาภรรยาและลูก ๆ ของเขากลับไปที่บ้านด้วยกัน
พวกเขาเดินไปที่บ้านไม้ไผ่หลังเล็ก เสิ่นอี้โจวพูดว่า “บ้านนี้ถูกเตรียมไว้ให้เราสำหรับอยู่ที่หมู่บ้านนี้น่ะ”
มันเป็นบ้านไม้ไผ่หลังเล็กมี 2 ชั้น ทั้งหมดทำจากไม้ไผ่ และเกือบจะเหมือนกับบ้านไม้ไผ่ที่ชาวไตอาศัยอยู่ทุกประการ
เมื่อเปิดประตูและเข้าไปก็พบว่าไม่มีอะไรอยู่ข้างในเลย
เมื่อเผชิญกับสายตาอันงุนงงของเซี่ยชิงหยวน เสิ่นอี้โจวก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา “ก่อนหน้านี้ผมอาศัยอยู่กับพวกชาวบ้านน่ะ”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่บ้านมุงจากสองสามหลังที่ตั้งอยู่ห่างจากบ้านไม้ไผ่หลังเล็ก ๆ ของพวกเขาหลายสิบเมตร “นั่นเป็นบ้านพักที่เจ้าหน้าที่หลายคนอาศัยอยู่”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้ากับคำพูดของสามี
ในใจเธอเต็มไปด้วยคำถาม แต่จะยังไม่ถามอะไรในตอนนี้
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเป็นทุกข์มากขึ้นเมื่อได้ยิน “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้เรามาอยู่ที่นี่แล้ว และต่อจากนี้ไปคุณก็มาอยู่กับเรานะ”
ตอนนี้เสิ่นอี้โจวดูเหมือนว่าจะน้ำหนักลดลงมากกว่าสิบหรือยี่สิบกิโล เขาทั้งผอมและดูเหนื่อยล้า ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าขาของเขาได้รับบาดเจ็บได้ยังไง…
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนเชิญหลิงเยี่ยและทหารที่มาส่งกินอาหารง่าย ๆ ที่บ้านของเธอก่อน แต่พวกเขาก็ปฏิเสธ
หลิงเยี่ยพูดว่า “ผมต้องไปรายงานต่อกองร้อยต่อครับ ดังนั้นผมคงอยู่กินด้วยไม่ได้”
จากนั้นเขาพยักหน้าให้เสิ่นอี้โจว “เลขาธิการเสิ่น เราจะหารือเกี่ยวกับการเตรียมการต่อจากนี้ในอีกสองวันนะครับ”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ตกลง ขอบคุณมากสำหรับวันนี้นะ”
หลิงเยี่ยโค้งกายของเขา หันหลังกลับและจากไปอย่างสุภาพ
หลินตงซิ่วมองไปที่บ้านทั้งหลังและรู้สึกเป็นทุกข์มาก ทันทีที่หลิงเยี่ยจากไป เธอก็ดึงเสิ่นอี้โจวเข้ามาและถามว่า “ขาของลูกเป็นแบบนี้ได้ยังไง มันร้ายแรงไหม?”
เสิ่นอี้โจวช่วยแม่ของเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก ๆ แล้วพูดว่า ” มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรครับแม่ หมอที่ร่วมคณะมาด้วยได้ตรวจแล้ว มันเกิดจากตอนที่ผมได้นำคนกลุ่มหนึ่งไปขุดดินและตัดหินบนภูเขาเพื่อช่วยเด็ก และบังเอิญได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุตอนนั้นน่ะ”
เซี่ยชิงหยวนฟังอย่างเงียบ ๆ และรู้ว่าในความเป็นจริงไม่มีทางผ่อนคลายอย่างที่เขาพูด
เธอรู้ว่านี่คืองานของเขาและมันก็เป็นเพราะนิสัยของเขาด้วย เสิ่นอี้โจวจะไม่มีวันมองดูชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนต่อหน้าอย่างเมินเฉยแน่
เธอทำได้เพียงแนะนำ “คราวหน้าระวังตัวให้มากกว่าเดิมด้วยนะ”
เสิ่นอี้โจวจับมือภรรยาเบา ๆ พยักหน้าและตอบอย่างจริงจัง “ผมสัญญา”
หลินตงซิ่วและเสิ่นอี้หลินที่อยู่ข้าง ๆ ทำได้เพียงระงับความอยากที่จะกอดเสิ่นอี้โจวไว้ในอ้อมแขน และพยายามระวังความกังวลที่มีอยู่ในใจให้สงบลงไป
หลินตงซิ่วรู้ว่าคู่สามีภรรยามีเรื่องจะพูดกันมากมาย เธอจึงอุ้มหลานสาวขึ้นมา ส่วนหลานชายก็ถูกอุ้มโดยเสิ่นอี้หลิน “ไปทำอาหารกับแม่กัน”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็ค้นกระเป๋าเป้สะพายด้วยมือข้างเดียวแล้วพึมพำ “ดูสิว่าลูกผอมแค่ไหนแล้ว ลูกต้องกินเนื้อสัตว์ให้มากขึ้นเพื่อเติมเต็มร่างกายของลูกนะ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้เสิ่นอี้โจวก็รีบพูดทันทีว่า “แม่! เรายังกินเนื้อสัตว์ไม่ได้!”