บทที่ 524 อีกฟากหนึ่งของภูเขาคือพม่าหรือเปล่า?
บทที่ 524 อีกฟากหนึ่งของภูเขาคือพม่าหรือเปล่า?
ขณะที่เซี่ยชิงหยวนกำลังจะปฏิเสธ หลิงเยี่ยก็พูดอีกครั้ง “พอดีผมได้รับคำสั่งให้นำทหารที่เกษียณแล้วไปสร้างที่อยู่ในตรงที่เราอยากจะสร้างในอนาคตน่ะครับ”
เพียงประโยคเดียว การปฏิเสธของเซี่ยชิงหยวนก็ถูกปัดทิ้งไป
เดิมทีฉู่ซิงอวี่ต้องการไปที่นั่นกับเสิ่นอี้โจวด้วย แต่ท้ายที่สุดเสิ่นอี้โจวก็ปฏิเสธ
คำพูดของเสิ่นอี้โจวในตอนนั้น เขากล่าวว่า “นายเป็นเหมือนแขนขวาและซ้ายของฉัน ถ้านายไปอยู่ที่นั่นเหมือนฉัน แล้วใครจะเป็นคนจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ฉันล่ะ? แค่อยู่ในมณฑลอวิ๋นแล้วเป็นกำแพงให้ฉันเถอะ แถมนายยังต้องสืบเรื่องเงินทุนที่หายไปนั่นด้วย”
ดังนั้นฉู่ซิงอวี่จึงถูกเสิ่นอี้โจวสั่งให้อยู่ที่มณฑลอวิ๋นตามเดิม แต่จู่ ๆ หลิงเยี่ยก็ถูกส่งมา
ถึงอย่างไงซะ แบบนี้มันดูเหมาะกว่า
คนอย่างหลิงเยี่ยเหมาะกับสถานที่ธุรกันดารแบบนั้นมากกว่าจะนำกองทหารสนับสนุนด้านความปลอดภัยเสียอีก
ทว่าการปรากฏตัวของหลิงเยี่ยทำให้เซี่ยชิงหยวนกังวลว่า เสิ่นอี้โจวไปได้ดีที่นั่นรึเปล่า หรือเขาประสบปัญหาใด ๆ หรือไม่?
เธอปรับอารมณ์ของตัวเองให้คงที่และพูดด้วยรอยยิ้ม “ในอนาคตฉันหวังว่าเราจะร่วมมือกันได้อย่างราบรื่นนะคะ”
หลิงเยี่ยมองผู้หญิงตรงหน้าเขาที่ยังคงยิ้มอย่างสดใส แม้จะกำลังเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก มุมริมฝีปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ”
ในวันออกเดินทาง อาเซียงและป้าอู๋ก็มาส่งพวกเขาด้วย
อาเซียงกอดเซี่ยชิงหยวนและร้องไห้ ในขณะที่ป้าอู๋กับพี่เลี้ยงเอ๋อร้องไห้ขณะอุ้มเด็กทั้งสองคน
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและเช็ดน้ำตาของอาเซียงแล้วพูดว่า “หลังปีใหม่ เธอจะอายุยี่สิบปีแล้วนะ และจะเป็นผู้หญิงเต็มตัวแล้ว เมื่อพี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ เธอจะต้องรับผิดชอบสิ่งต่าง ๆ ในมณฑลอวิ๋น เธอขี้แยขนาดนี้จะควบคุมลูกน้องได้ยังไง?”
อาเซียงร้องไห้สะอึกสะอื้น “ถ้าพวกเขาไม่เชื่อฟังฉัน ฉันจะโหดร้ายกับพวกเขาให้ดู!”
หลังจากพูดอย่างนั้น อาเซียงก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง “พี่สาวเซี่ย ฉันไม่รู้เลยว่าอีกนานเท่าไหร่เราถึงจะได้เจอกันอีก”
เซี่ยชิงหยวนกอดหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดว่า “เด็กโง่ พี่เชื่อว่าพวกเราจะได้เจอกันอีกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแน่นอน”
เธอหยุดชั่วคราวและถอนหายใจ “แต่กว่าจะถึงเวลานั้น พี่เกรงว่าตัวเองกับพี่เขยของเธอคงไม่น่าทันได้กลับมาอยู่ร่วมดื่มงานแต่งของเธอกับเฮ่ออวี้เฟิงน่ะสิ”
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ของอาเซียงกับเฮ่ออวี้เฟิงก็ก้าวหน้าอย่างมาก และพวกเขาก็เหมือนจะเริ่มใกล้ชิดกันมากกว่าเดิมแล้ว
อาเซียงพลันเขินอายขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน และเธอก็ค่อย ๆ หยุดสะอึกสะอื้น
แม้แต่เฮ่ออวี้เฟิงก็ไม่อาจทำให้เธอรู้สึกเศร้าน้อยลงกับการจากลานี้ครั้งนี้ได้
คนที่กำลังจะจากไปคือเซี่ยชิงหยวน ซึ่งเธอถือว่าเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของตัวเองมานานแล้วเชียวนะ!
เมื่อเห็นว่าถึงเวลาแล้ว เซี่ยชิงหยวนจึงพูดว่า “ถ้าเธอไม่อยากให้พี่กังวล แค่ทำงานร่วมกับเหล่าไต้ เพื่อทำให้ธุรกิจของร้านยามต้องมนต์เจริญรุ่งเรืองก็พอ”
เธอตบไหล่อาเซียง “ท้ายที่สุดแล้ว พี่กับพี่เขยของเธอยังคงต้องการเงินจำนวนมากเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ที่นั่นอยู่ดีนั่นแหละ”
อาเซียงพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “พี่สาวไม่ต้องกังวล ฉันจะทำให้ได้ตามที่พี่หวังแน่นอน!”
สุดท้าย เซี่ยชิงหยวนก็พูดคำอำลากับคนที่มาส่งตัวเองจนครบ แล้วอุ้มลูกของเธอเดินทางไปยังทิศตะวันตกของประเทศ
…
เซี่ยชิงหยวนและกลุ่มของเธอโดยสารรถไฟก่อน จากนั้นจึงนั่งรถยนต์ต่อด้วยรถบรรทุกและต่อด้วยรถแทรกเตอร์ และอีกหลายวิธีการเดินทางก่อนที่พวกเขาจะไปถึงจุดหมายที่เรียกว่า ‘เมือง’
แม้จะพูดว่ามันเป็น ‘เมือง’ แต่ดูจากสภาพการณ์แล้วมันเป็นเพียงถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อกว้างสามถึงสี่เมตร มีบ้านเตี้ย ๆ สองสามหลัง ตู้โทรศัพท์เล็ก ๆ และร้านอาหารเล็ก ๆ แม้แต่ผู้อยู่อาศัยที่นี่ก็ยังดูยากจนมาก
เซี่ยชิงหยวนคลุมตัวเธอเองและลูกด้วยผ้าบาง ๆ พลันไอแล้วพูดกับหลิงเยี่ย “หลิงเยี่ยอีกนานแค่ไหนกว่าเราจะไปถึงหมู่บ้านน่ะ?”
พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ พวกเขานั่งรถมาเป็นเวลานานเกือบสัปดาห์แล้ว และบั้นท้ายก็เจ็บปวดอยู่ตลอด
โชคดีที่เธอได้เตรียมตัวให้ทุกคนในครอบครัวออกกำลังกายในช่วงครึ่งปีหลังที่อยู่ที่มณฑลอวิ๋น ไม่เช่นนั้นเธอคงจะหมดสติไปนานแล้ว
ในเวลานี้คนที่หลิงเยี่ยเตรียมไว้ล่วงหน้าก็เข้ามานำเกวียนวัวที่มีกระดานไม้และฟางอยู่ด้านบนมาให้โดยสาร
คนที่มาคือชายอายุสามสิบปลาย ๆ ตัวสูงหลังตรงผิวคล้ำ และเขาโค้งคำนับให้หลิงเยี่ย
เซี่ยชิงหยวนสังเกตเห็นว่าเช่นเดียวกับหลิงเยี่ย อีกฝ่ายมีปืนติดอยู่ที่เอวของเขา
หลิงเยี่ยชี้ไปยังเกวียนวัวที่อยู่ข้างหน้าเขาแล้วพูดว่า “ใช้เวลามากกว่าสองชั่วโมงบนเกวียนวัวและต้องเดินเท้าอีกมากกว่าหนึ่งชั่วโมง จากนั้นเราก็ควรจะไปถึงที่นั่นแล้วครับ”
ในกรณีที่เกวียนวัวไปไม่ได้ พวกเขาก็ทำได้แค่พึ่งพาขาของตัวเองเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวน “!”
เสิ่นอี้หลิน “!”
หลินตงซิ่ว “!”
เด็กน้อยสองคนที่กำลังเล่นกับฟองสบู่… ฟองสบู่ไม่มีกลิ่นหอมอีกต่อไป…
เซี่ยชิงหยวนดูหนักใจก่อนจะพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเร็ว ๆ เถอะ”
พวกเขาเพิ่งเดินทางมาโดยรถแทรกเตอร์ ตอนนี้พวกเขาต้องการเตียงให้ได้นอนพักบ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าเมืองนี้ไม่มีความสะดวกสบายอะไรแบบนั้นแน่ ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงยอมรับชะตากรรมของตนและเลือกที่จะเดินทางต่อไปเพื่อให้ความทรมานนี้จบเร็วที่สุด
สำหรับข้าวของที่เซี่ยชิงหยวนเตรียมไว้ ซึ่งต้องใช้รถบรรทุกหลายคันเพื่อขนมา พวกเขาทำได้เพียงรอจนกว่าหลิงเยี่ยจะจัดเตรียมคนขนของพวกนั้นไปที่หมู่บ้านจุดหมายในวันพรุ่งนี้แทนเท่านั้น
หลังจากผ่านไปกว่าสองชั่วโมง เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าทั้งเอวของเธอไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป
แม้แต่หลิงเยี่ยก็ยังดูลำบาก
เขาบอกให้ทุกคนนั่งพักบนพื้นหญ้าริมถนนเพื่อเอาแรงสักพัก จากนั้นจึงอุ้มเด็กสองคนจากเซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วมาผูกไว้กับตัวเขาคนหนึ่ง ส่วนเด็กอีกคนก็ให้ผูกไว้กับชายอีกคนด้วยเชือกผ้า
เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากตัวเองแล้วพูดว่า “ไปต่อเถอะ”
เซี่ยชิงหยวนไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของเขา ส่วนพวกกระเป๋าต่าง ๆ ถูกขนอยู่บนรถเข็นกว้างครึ่งเมตร เธอช่วยหลินตงซิ่วเดินติดตามหลิงเยี่ยอยู่ด้านหลัง เท้าข้างหนึ่งจมลึกลงไปในดิน แต่อีกข้างเหยียบจมไปแค่ตื้น ๆ
หลิงเยี่ยเดินอยู่ข้างหน้า ส่วนเด็กน้อยทั้งสองที่ถูกผูกไว้กับตัวของหลิงเยี่ยและชายอีกคนก็มองย้อนมาข้างหลังดูอยากรู้อยากเห็นมาก
หลิงเยี่ยส่ายหัวแล้วพูดว่า “จริง ๆ แล้วเวลาอาจผ่านไปเร็วขึ้นถ้าเราเดินไปพลาง มองดูทิวทัศน์ไปพลางก็ได้นะครับ”
เซี่ยชิงหยวนเหลือบมองดูผาหินสูงชันที่อยู่รอบ ๆ และภูเขาที่ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าควรจะดูทางดีกว่า”
หลิงเยี่ยกลั้นเสียงหัวเราะและตอบอย่างขบขัน “ก็จริงครับ”
บางครั้งเขาก็พูดอะไรโดยไม่คิดเช่นกัน
ไม่นานนัก เซี่ยชิงหยวนก็เอ่ยถามออกมา “เราเดินมาตามทางได้สักพักแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เห็นใครเลยนะ?”
ยิ่งเราไปทางตะวันตกมากเท่าไร ประชากรก็ยิ่งรกร้างมากขึ้นเท่านั้น
ตอนที่พวกเขานั่งรถแทรกเตอร์ บางครั้งพวกเขาก็เห็นเด็กสองสามคนกำลังต้อนวัวอยู่บนเส้นทางหรือเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังก้มลงเก็บกองฟืน แต่จากนั้นพวกเขาไม่เห็นใครเลยตั้งแต่เปลี่ยนมาใช้เกวียนวัวจนถึงตอนนี้
หลิงเยี่ยไม่ได้หันกลับมา เขาเดินต่อไปพร้อมพูดว่า “อย่างที่คุณเห็น เส้นทางนี้มีคนอยู่น้อย ยิ่งคุณเดินลึกไปทางภูเขาเท่าไหร่ คนก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น ผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ข้างในคือคนที่อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและเด็ก แน่นอนว่ายังมีพวกคนที่เกียจคร้านนอนตลอดทั้งวัน แล้วก็มีพวกหัวขโมยบ้าง”
ด้วยการปฏิรูปและเปิดกว้างของนโยบาย คนหนุ่มสาวจำนวนมากก็เริ่มออกไปทำมาหากินข้างนอก เหลือเพียงบางคนที่ลงหลักปักฐานแล้วไม่ยอมจากไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนเฒ่าคนแก่ที่เฝ้าบ้านเกิดและหลานของตน
เขาหยุดชั่วครู่ แล้วมองไปทางทิศตะวันตกและน้ำเสียงของเขาหนักแน่น “ถ้าไม่ใช่เพราะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์พิเศษที่นี่ ประเทศคงไม่มีความคิดพัฒนาเศรษฐกิจที่นี่อย่างจริงจังหรอก เพราะสถานที่นี่ยากจนกันดารเกินไป และผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่ก็พูดคุยได้ยาก จึงง่ายที่จะเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันได้”
เซี่ยชิงหยวนมองตามการจ้องมองของเขาและเข้าใจสิ่งที่เขาพูดทันที
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ต้องให้หลิงเยี่ยพาพวกเธอมา
ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาพกปืนมาด้วย
เธอพยายามระงับหัวใจที่เต้นแรงและถามอย่างไม่แน่ใจ “อีกฟากหนึ่งของภูเขาคือพม่ารึเปล่าคะ?”