บทที่ 506 เกิดใหม่แท้จริงคือชีวิตใหม่
บทที่ 506 เกิดใหม่แท้จริงคือชีวิตใหม่
ในช่วงบ่าย เซี่ยชิงหยวนเพิ่งพาเสิ่นถิงหลานไปที่เตียง ในขณะนั้นเธอได้ยินคนพูดนอกหน้าต่าง
หากตั้งใจฟังให้ดี ดูเหมือนมีคนกำลังเคลื่อนไหว
เสิ่นถิงหลานลืมตาโตแล้วเตะขาอ้วนเล็ก ๆ อย่างแรง ราวกับว่าเธอต้องการลงไปเล่น
เซี่ยชิงหยวนแตะปลายจมูกของลูกสาวแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กซน จะให้แม่พาลงไปดูเหรอจ๊ะ?”
หลังจากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็ใส่เสื้อคลุมตัวเองและใส่เสื้อผ้าอีกชั้นให้เสิ่นถิงหลานด้วยก่อนจะอุ้มลงไปชั้นล่าง
เมื่อเธอออกไปที่สนามบ้าน เธอพบป้าอู๋และพี่เลี้ยงเอ๋อกำลังอุ้มเสิ่นถิงอวิ๋นมองไปที่นอกรั้ว
เมื่อพวกเขาเห็นเซี่ยชิงหยวนกำลังมา ทั้งสองต่างก็ตะโกนว่า “คุณนาย”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ใครกำลังจะย้ายเข้ามาเหรอคะ?”
ในช่วงเวลานับตั้งแต่พวกเขามาที่มณฑลอวิ๋น หลายคนได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือเกษียณอายุ แต่คนที่มีสิทธิ์ย้ายเข้ามาในเขตที่พักอาศัยนี้ยังไม่มีคนอื่นนอกจากเสิ่นอี้โจว
ป้าอู๋ตอบว่า “ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นคนของสำนักงานอัยการน่ะค่ะ ชื่อไป๋อวิ๋นหลี่…”
“ไป๋อวิ๋นหลี่?” เซี่ยชิงหยวนครุ่นคิดถึงชื่อของบุคคลนี้ที่เธอได้ยิน และรู้สึกคุ้น ๆ
ขณะที่เซี่ยชิงหยวนกำลังอยู่ในภาวะมึนงง ก็มีรถคันหนึ่งมาจอดที่หน้าสนามและมีชายคนหนึ่งลงมา
ผู้ชายคนนี้ดูอายุประมาณ 30 ปี เขามีรูปร่างผอม สวมแว่นตากรอบโลหะ ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้
ชายคนนั้นก้าวมาข้างหน้าสองก้าว พยักหน้าเบา ๆ ให้กับเซี่ยชิงหยวนและพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณนายเสิ่น ผมชื่อไป๋อวิ๋นหลี่ครับ หลังจากนี้คงต้องขอฝากตัวกับเลขาธิการเสิ่นและคุณนายเสิ่นด้วยนะครับ”
ทันใดนั้นเซี่ยชิงหยวนก็จำได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร
เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของชายคนนั้นยิ้ม แต่มันทำให้เธอรู้สึกเย็นวาบ
เหมือนถูกงูพิษจ้องมอง และไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะแยกเขี้ยวพิษของมันฉกฝ่ายตรงข้าม
เธอพยักหน้าและยิ้มตอบ “สวัสดีค่ะ”
ชายคนนั้นมองมาที่ทารกสองพี่น้องในอ้อมแขนของเซี่ยชิงหยวนและพี่เลี้ยงเอ๋อ จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม “เลขาธิการเสิ่นและคุณนายเสิ่นช่างโชคดีมากจริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนยังคิดไม่ออกว่าชายคนนี้จะมาไม้ไหน ดังนั้นเธอจึงตอบแบบไว้มารยาทไปก่อน “หัวหน้าฝ่ายไป๋เองก็มีอาชีพราชการที่เจริญรุ่งเรืองเช่นกันนะคะ”
ด้วยคำว่า ‘หัวหน้าฝ่ายไป๋’ ของเซี่ยชิงหยวนนั้นแสดงให้เห็นว่าเธอรู้จักตัวตนของเขาเช่นกัน
รอยยิ้มของไป๋อวิ๋นหลี่ลุ้มลึกยิ่งขึ้น เขามองเซี่ยชิงหยวนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันกลับไปที่รถและโบกมือให้คนขับเพื่อขับรถต่อไป
เมื่อรถเคลื่อนที่ เขาก็พยักหน้าและยิ้มให้เซี่ยชิงหยวนผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่
ป้าอู๋และพี่เลี้ยงเอ๋อไม่รู้ประสีประสา ดังนั้นพวกเธอจึงชมเขา “คุณไป๋เขาดูเป็นมิตรดีจริง ๆ นะคะ”
สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนไม่ดีเท่าในตอนแรก และเธอก็ตอบเพียงแค่ “อืม”
ตลอดครึ่งวันหลังจากนั้น เซี่ยชิงหยวนก็เอาแต่คิดเรื่องนี้อยู่ในใจ
หลังจากรออยู่นาน ในที่สุดเสิ่นอี้โจวก็กลับมา เธอเรียกสามีเข้ามาในห้องและเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงบ่าย
เธอถามว่า “คุณคิดว่าเขาหมายถึงอะไร? การประกาศสงครามรึเปล่า?”
แม้ไป๋อวิ๋นหลี่จะยิ้มแย้ม แต่เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกไม่สบายใจและไม่รู้สึกถึงความเป็นมิตรเลย
คิ้วของเสิ่นอี้โจวขมวดเข้าหากันและพูดว่า “ถึงจะไม่ใช่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องดี”
เขาพูดต่อ “สุขภาพของเซี่ยเจิ้งแย่ลงเรื่อย ๆ เขาแสดงความคิดที่จะเกษียณก่อนกำหนดให้ผมฟังเมื่อสองวันก่อน หากเขาเกษียณก่อนกำหนด คนที่จะมารับช่วงต่ออาจเป็นอดีตหัวหน้าของไป๋อวิ๋นหลี่ก็ได้”
“ชายคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไป๋อวิ๋นหลี่ หรือสามารถเรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ของเขาได้เลย”
เนื่องจากไป๋อวิ๋นหลี่ได้รับการสอนจากอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรก ดังนั้นพฤติกรรมของเขาจะต้องเหมือนกับของไป๋อวิ๋นหลี่แน่
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนก็หนักใจเช่นกัน
ถ้าเซี่ยเจิ้งเกษียณอายุตามปกติ มันจะเหลือเวลาอีกหลายปีกว่าที่เขาจะเกษียณ
เมื่อถึงเวลานั้น พวกคนรุ่นใหม่ในสำนักงานมณฑลอย่างเสิ่นอี้โจวจะสามารถได้รับการเลื่อนตำแหน่งและรับผิดชอบงานที่สำคัญหลังจากมีวัยวุฒิมากขึ้น
ทว่าหากเซี่ยเจิ้งเกษียณก่อนกำหนด ตำแหน่งที่ว่างจะกลายเป็นของคนอื่นก่อนที่มีวัยวุฒิเข้าเกณฑ์
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยถาม “ทำไมผู้นำระดับสูงไม่พิจารณาคนในสำนักงานมณฑลก่อนล่ะ?”
เสิ่นอี้โจวส่ายหัว “คนรุ่นเก่าของเราเกือบจะถึงวัยเกษียณกันหมดแล้ว ส่วนคนที่มีคุณสมบัติบางคนกลับดูมีความคิดเห็นต่างทางการเมืองและบางคนก็ไม่สามารถตามทันกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายปัจจุบันของประเทศได้ ส่วนคนที่มีความสามารถจริง ๆ และสามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของประเทศได้ก็ยังเด็กเกินไปที่จะเข้ารับตำแหน่งแทนน่ะสิ”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง “ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยจื่ออี้คนนั้น เซี่ยเจิ้งคงไม่มีความคิดที่จะเกษียณเร็วขนาดนี้หรอก”
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เซี่ยจื่ออี้หันไปเข้าหาไป๋อวิ๋นหลี่ ปรากฏว่ามีความสัมพันธ์เช่นนี้เอง
เสิ่นอี้โจวยังถอนหายใจ “ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดหวังต่อเซี่ยจื่ออี้ เซี่ยเจิ้งอาจจะยังคงมีแรงใจในการทำผลงานให้กับตัวเองไปอีกสองสามปี เพื่อที่ได้เป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งของลูกสาวของเขาต่อไปก็ได้”
เซี่ยชิงหยวนถาม “คุณลองคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดในชาติที่แล้วไหม? มณฑลอวิ๋นจะถูกครอบงำโดยคู่อาจารย์ศิษย์ในเวลาต่อไปรึเปล่า? และท้ายที่สุดตระกูลฉีก็จะถูกเล่นงานรึเปล่า?”
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้กังวลเกี่ยวกับฉีหยวนซาน แต่เธอกังวลเกี่ยวกับฉีจิ่นจือ
หากมีอะไรเกิดขึ้นกับฉีหยวนซาน ฉีจิ่นจือจะซวยไปด้วยแน่นอน ทั้งยังไม่ต้องพูดถึงอีกว่าฉีจิ่นจือกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่อันตรายแค่ไหน
เสิ่นอี้โจวส่ายหัว “ในชาติที่แล้วของผม ผมอยู่แต่ที่สถาบันธรณีวิทยาในเตียนเฉิง และติดต่อกับทางมณฑลอวิ๋นเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง ผมไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับกิจการของสำนักงานมณฑลเลย แต่ผมจำได้ว่าในเวลานั้นผู้อำนวยการเซี่ยยังไม่เกษียณจนกว่าเขาจะถึงอายุเกษียณนะ”
“ว่ากันว่าเซี่ยจื่ออี้ติดตามสามีของเธอออกนอกประเทศ ส่วนตระกูลฉีในมณฑลอวิ๋นนั้นเสื่อมถอยลงอย่างแน่นอน ในชาติที่แล้วฉีหยวนซานได้เอาตัวลูกชายคนเล็กที่เขาบอกว่าหายไปนานกลับมา แต่หลังจากการล่มสลายของตระกูลฉีก็ไม่มีข่าวอะไรอีกเลย”
ต้นไม้ใหญ่ล้มลงและฝูงสัตว์ก็กระจัดกระจาย เมื่อต้นไม้ใหญ่อย่างฉีหยวนซานล้ม แล้วใครจะสนใจคนที่ไม่มีใครรักอย่างฉีจิ่นจือรึไง?
หลังจากได้ยินคำพูดของเสิ่นอี้โจว เซี่ยชิงหยวนก็สูญเสียความคิดสุดท้ายในใจของเธอ
หญิงสาวกล่าวว่า “ฉันเคยคิดว่าเราจะมีชีวิตที่พิเศษ สามารถก้าวล้ำไปกว่าคนอื่นได้ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่วินาทีที่เราเกิดใหม่ สิ่งที่เรียกว่าการเกิดใหม่นั้นแท้จริงแล้วคือชีวิตใหม่ต่างหาก”