บทที่ 502 ทำหมัน
บทที่ 502 ทำหมัน
ถ้าเป็นคนปกติ เมื่อเห็นเหตุการณ์นองเลือดแบบเมื่อกี้ไม่ว่าใครก็จะพยักหน้าตกลงโดยไม่ลังเล
แต่ตอนนี้ฉีจิ่นจือกำลังสวมบทอาชญากรที่กำลังหนีการตามล่า
เขารู้ว่าสิ่งที่ซางคุนแสดงในตอนนี้คือต้องการทำให้เขาหวาดกลัวและยอมจำนน
แต่ถ้าเขาแสดงการยอมจำนนอย่างง่ายดาย ซางคุนคงคิดว่ามันไม่คุ้มที่จะเลี้ยงเขาไว้
ดังนั้นเขาจึงยังคงยืดตัวตรง เชิดหน้าขึ้น กลืนรสเลือดในปากของเขาและจ้องมองกลับไปที่ซางคุน
ซางคุนเริ่มสนใจขึ้นจริง ๆ เขาโบกมือให้คนของเขาออกไปและมองที่ฉีจิ่นจือ
ไม่เพียงแต่ขาของฟู่ชุนไจ่เท่านั้นที่สั่นเทา แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเหงื่อแตกแทนฉีจิ่นจือ
เมื่อทุกคนคิดว่าซางคุนจะโยนฉีจิ่นจือไปหา ‘สัตว์เลี้ยง’ ซางคุนก็ยิ้มและรอยยิ้มของเขาก็กว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนแม้แต่เสือที่หลับอยู่ข้าง ๆ ยังยกเปลือกตาขึ้นและมองดูด้วย
ซางคุนพูดว่า “เอาละ นายมีความกล้ามาก!”
เขานั่งลงและโน้มตัวมาข้างหน้าแล้วพูดว่า “ฉันไม่สนใจว่าก่อนหน้านี้นายจะอยู่ภายใต้ไห่เยี่ยยังไง แต่เมื่อนายมาอยู่กับฉันแล้ว นายต้องเคารพกฎของฉัน”
เขาหยุดชั่วคราว ชี้ไปที่แอ่งเลือดและซากศพบนพื้น “ไม่อย่างนั้น…นั่นจะเป็นชะตากรรมของนาย”
ชายมีหนวดที่อยู่ด้านข้างกำลังรับหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาพม่าเป็นจีนให้ฉีจิ่นจือเข้าใจ
ฉีจิ่นจือแสดงสีหน้าไม่สะทกสะท้านและพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขาเข้าใจ
ซางคุนออกคำสั่ง “ถ่าลี่ พาพวกเขาไป”
ผู้หญิงที่เป็นคนขับรถพาพวกเขามาตอบกลับทันที “รับทราบค่ะ เอ๋อกู่*[1]”
เธอลุกขึ้นยืน ลงจากอีกด้านหนึ่งของอัฒจันทร์แล้วพูดกับทั้งสองคน “มากับฉัน”
ฉีจิ่นจือกับฟู่ชุนไจ่มองหน้ากันและติดตามไป
ฟู่ชุนไจ่สับสนอยู่ครู่หนึ่งและกระซิบ “ลูกพี่ พวกเรากำลังจะหลบภัยอยู่กับซางคุนหรือเปล่า?”
ฉีจิ่นจือตอบด้วยคำตอบที่เฉียบแหลม “ผู้ที่เหมาะสมที่สุดถึงจะอยู่รอด”
ฟู่ชุนไจ่ไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง
เป็นไปได้ไหมที่เมื่อกี้ฉีจิ่นจือดูเหมือนว่ากำลังพุ่งเป้าไปที่ซางคุน? หรือว่าเขาเข้าใจผิดไปเองนะ?
ชายหนุ่มไม่คิดซ้ำแล้วตามไป
…
เนื่องจากมีพี่เลี้ยงเอ๋อคอยช่วย เซี่ยชิงหยวนจึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
เลยไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเสิ่นถิงหลานมากนัก ส่วนเสิ่นถิงอวิ๋นเองก็สงบเรียบร้อยมากเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของพี่เลี้ยงเอ๋อ และแทบไม่งอแงหาเซี่ยชิงหยวนในตอนกลางคืนอีกแล้ว
เสิ่นอี้โจวพาเธอไปหาหมอฮวงเพื่อตรวจร่างกายอีกหลายครั้ง
หมอฮวงบอกเพียงว่าไม่จำเป็นต้องร้อนใจ เซี่ยชิงหยวนสูญเสียเลือดลมไปมากตอนคลอด ดังนั้นต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน นอกจากนี้เธอยังสั่งยาจีนบางชนิดที่สามารถกินระหว่างให้นมบุตรได้แล้วส่งกลับ
ทุกครั้งที่เขากลับมาจากโรงพยาบาล สีหน้าของเสิ่นอี้โจวดูหนักอึ้ง
เซี่ยชิงหยวนปลอบใจสามีของตน “ไม่ใช่ว่าหมอบอกว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอกเหรอ? ฉันแค่ต้องใส่ใจกับมันมากขึ้นเอง”
เสิ่นอี้โจวโอบแขนไว้รอบเอวของภรรยา แล้วพูดด้วยเสียงจริงจัง “ผมจะลาไปทำหมันสักวันหนึ่งนะ”
ปัจจุบันมีนโยบายจำกัดการมีลูกแล้วทั่วประเทศ แต่ยังมีอีกหลายคนที่กำลังคิดหาวิธีมีลูกคนที่สอง
ครอบครัวเหล่านี้ส่วนใหญ่หย่าร้างและไปแต่งงานใหม่เพื่อต้องการมีลูกชายเพิ่ม
เพื่อที่จะมีลูกชาย พวกเขาส่งลูกสาวของตัวเองไปอยู่ในชนบทกับญาติหรือไม่ก็ทิ้งไป นอกจากนี้ยังมีการแต่งงานปลอม ๆ และการซื้อลูกเพื่อให้ได้มีลูกชาย แต่ละคนหาวิธีทำกันโดยเลี่ยงกฎหมายอย่างไม่สิ้นสุด
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างทันที “ทำหมัน?”
เสิ่นอี้โจวดูจริงจัง “ผมได้ปรึกษาหมอแล้ว และเขาบอกว่าการผ่าตัดดังกล่าวผู้ชายเป็นอันตรายน้อยกว่าผู้หญิง”
เมื่อประเทศบังคับใช้นโยบายควบคุมการกำเนิด ผู้หญิงจำนวนมากจึงเริ่มถูกบังคับให้ ‘สวมห่วงคุมกำเนิด’ เพื่อคุมกำเนิด
แต่ถึงอย่างนั้น ห่วงคุมกำเนิดของผู้หญิงก็มีข้อเสียเช่นกัน ในช่วง 10 ปีต่อมามีรายงานว่าผู้หญิงมีปัญหาที่ช่องคลอดเพราะเกิดจากห่วงคุมกำเนิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่น่ากลัวกว่านั้นคือว่ากันว่าพอนานไปห่วงคุมกำเนิดจะฝังเข้าไปในเนื้อของผู้หญิงเลย
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนให้กำเนิดลูกแฝดแบบนี้แล้ว ทางหน่วยงานของเสิ่นอี้โจวอาจจะขอให้เธอเข้ารับการใส่ห่วงคุมกำเนิดเร็ว ๆ นี้ก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นการมีลูกหรือการคุมกำเนิด แต่เดิมมันเป็นเรื่องของทั้งสามีและภรรยา เขาไม่สามารถปล่อยให้เซี่ยชิงหยวนแบกรับอยู่คนเดียวในเรื่องทั้งหมดได้
หากต้องมีคนใดคนหนึ่งที่จะทำสิ่งนี้ มันควรเป็นเขาเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกสะเทือนใจ แต่ก็กังวลอย่างมาก “แต่ความเสี่ยงของการผ่าตัดของผู้ชายนั้นเยอะกว่าห่วงคุมกำเนิดของฉันมากนะ”
ตามความคิดของเธอ ห่วงคุมกำเนิดเป็นเพียงการใส่ห่วงคุมกำเนิดเข้าไปในมดลูก และการทำแบบนั้นไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเลย
เสิ่นอี้โจวหัวเราะเบา ๆ “เด็กโง่ ผมไม่เป็นไรหรอก”
“แต่…” เซี่ยชิงหยวนอยากจะพูดมากกว่านี้ แต่เสิ่นอี้โจวจูบเธอเพื่อปิดปาก
สีหน้าของเขาอ่อนโยน และดวงตาเต็มไปด้วยประกาย “นี่คือบาปที่ผู้ชายนำมาสู่ผู้หญิง และผู้ชายควรจะต้องแบกรับเป็นปกติอยู่แล้ว ความเสี่ยงเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผมเมื่อเปรียบเทียบกับคุณที่ต้องเข้าห้องคลอด มันน่าพูดถึงตรงไหนกัน?”
พอได้ยินแบบนี้ จู่ ๆ เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
* เอ๋อกู่ (额古) แปลว่า แม่ เป็นภาษาถิ่นมองโกล