บทที่ 497 กินคน
บทที่ 497 กินคน
เมื่อเสียงที่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเงียบลง ก็มีคนลงมาจากรถและมุ่งหน้ามาทางฉีจิ่นจือและฟู่ชุนไจ่ในทันที
ฟู่ชุนไจ่รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นว่าฉีจิ่นจือยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง เขาก็เกิดความกล้าขึ้นมาเล็กน้อย
เขากระซิบว่า “ลูกพี่ คิดว่าพวกเขาจะทำอะไร?”
ฉีจิ่นจือเอ่ยด้วยเสียงทุ้มลึกพร้อมใบหน้าซึ่งยังคงเรียบนิ่ง “พลิกแพลงไปตามสถานการณ์”
พวกลูกน้องเดินเข้ามาหาพวกเขาสองคน ไม่ทันได้พูดได้จาก็ถูกจับมือไพล่หลัง จากนั้นจึงถูกผลักให้เดินไปที่ข้างรถ
ฉีจิ่นจือและฟู่ชุนไจ่แสดงท่าทีขัดขืนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตามขึ้นรถไป
ทั้งสองนั่งอยู่ที่เบาะหลัง พลางฟังคนพวกนั้นพูดคุยกันด้วยภาษาพม่า พวกเขาคุยกันโดยไม่ปิดบังชายทั้งสองที่อยู่ตรงนี้
ผู้หญิงที่ลงจากรถก่อนหน้านี้นั่งอยู่ในที่นั่งผู้โดยสาร ผ่านไปได้ครึ่งทางเธอก็เหลือบมองพวกเขา ก่อนจะหันไปคุยกับคนของเธออีกครั้ง
รถยังคงขับไปตามถนนบนภูเขา และฉีจิ่นจือเองก็รู้สึกได้ว่าเป็นทางขึ้นไปบนภูเขา
ในที่สุด ฟู่ชุนไจ่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา “ลูกพี่ พวกเขาทิ้งเราไว้ที่นี่หลายวันอย่างไม่สนใจไยดี ไม่ใช่ว่าจู่ ๆ ก็คิดอยากลุกขึ้นมาฆ่าเราหรอกใช่ไหม?”
ฉีจิ่นจือมองเขาอย่างสงสัย ”กลัวขึ้นมาแล้วเหรอ? ตอนนี้เพิ่งมากลัว ก่อนหน้านี้ทำไมไม่คิดกลัว? ตอนนั้นฉันไล่นายไป นายก็รั้นจะตามฉันมา อย่างนั้นก็ตายไปพร้อมกันฉันแล้วกัน”
เมื่อมองดูท่าทีไม่แยแสของฉีจิ่นจือแล้ว ฟู่ชุนไจ่ก็บุ้ยปากแล้วพูดว่า “ผมไม่ได้กลัว”
สุนัขรับใช้อย่างเขาโน้มเข้าใกล้ฉีจิ่นจือ “ตราบใดที่มีลูกพี่ จะต้องตายผมก็ไม่กลัว”
ทันทีที่เขาขยับตัว ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็จ่อปืนเข้าที่ศีรษะพร้อมก่นด่าเขาเป็นภาษาพม่า ส่งสัญญาณบอกให้เขาอยู่เฉย ๆ
ฟู่ชุนไจ่พลันหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะกลับไปนั่งตัวตรงในที่นั่งของตัวเองโดยไม่กล้าขยับตัวอีก
…
หลังจากขับรถมาราวหนึ่งชั่วโมงก็ถึงบนภูเขา
สิ่งแรกคือคนที่ยืนเฝ้ายามอยู่บนที่สูงเอ่ยรหัสลับออกไป จากนั้นประตูที่ปิดแน่นอยู่ก็เปิดออกอย่างช้า ๆ
ขณะที่รถเคลื่อนตัวเข้าไปในค่ายที่มีรั้วรอบขอบชิด เสียงคำรามและเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่ามีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น
ผู้คนในรถมีสีหน้าคึกคักร่าเริงผสมปนเปกับท่าทีอดใจไม่ไหวเล็กน้อย
พวกเขากระชากทั้งสองคนออกจากรถอย่างเกรี้ยวกราดและพาพวกเขาไปยังที่มาของเสียง
ที่นี่คล้ายอัฒจันทร์ ทั้งสี่ด้านตั้งสูงตระหง่านและไล่ระดับต่ำลงมาที่ตรงกลาง ผู้คนยืนอยู่บนอัฒจันทร์สูงและมองลงมาในสนามอย่างตื่นเต้น มีเสียงตะโกนเยาะเย้ยบ้างเป็นครั้งคราว
ฉีจิ่นจือและฟู่ชุนไจ่ถูกดันตัวให้เดินผ่านฝูงชน ก่อนจะถูกผลักเข้าไปขังไว้ในกรงไม้
กลิ่นคาวคละคลุ้งกระทบจมูกของเขาทันที พร้อมกับเสียงคำรามของสัตว์ป่า ซึ่งทำให้ฟู่ชุนไจ่ถึงกับต้องกรีดร้องออกมา
ที่ข้าง ๆ กรงขังของพวกเขาคือเสือตัวใหญ่!
มันคงกินอิ่มแล้ว เมื่อเห็นทั้งสองคน มันก็อ้าปากที่เปื้อนเลือดหาวอย่างเกียจคร้าน
ฟู่ชุนไจ่มองเห็นเนื้อที่ถูกบดขยี้และเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งบนฟันอันแหลมคมของมันได้อย่างชัดเจน!
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เสือตัวนี้กินไปเมื่อครู่ เหงื่อของฟู่ชุนหลายก็ไหล่อาบบ่า
ฉีจิ่นจือเพียงเหลือบมองเสือตัวนั้นเบา ๆ ก่อนที่จะหันไปสนใจที่สนาม
สิ่งที่เหลืออยู่บนพื้นมีแค่กองเลือดและบางสิ่งคล้ายเส้นผมที่เกาะติดกับเนื้อเยื่อของมนุษย์
ฟู่ชุนไจ่ดึงฉีจิ่นจือแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ลูกพี่ พวกมันให้เสือกินคนเหรอ?”
ฉีจิ่นจือพยักหน้ารับ “ใช่”
ในตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนจุดสูงสุดของอัฒจันทร์ชี้มาทางพวกเขา ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาเปิดประตูบานเล็กออก แล้ววิ่งหนีไปด้วยความเร็วสูง
ความสนใจของทุกคนมุ่งไปยังประตูเล็ก ๆ บานนั้นซึ่งกำลังสั่นเบา ๆ ก่อนที่หมาป่าตัวสูงราวเอวของคนจะออกมาจากประตูนั้นอย่างช้า ๆ!
…
เสิ่นอี้โจวดำเนินเรื่องต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เขากล่าวบอกเซี่ยชิงหยวนถึงเรื่องการหาแม่บ้านเมื่อคืนก่อน และในวันรุ่งขึ้นก็สั่งให้คนไปจัดการแล้ว
ฉู่ซิงอวี่มอบหมายเรื่องนี้ให้ตงวั่งชุน
สำหรับงานที่ฉู่ซิงอวี่มอบหมายไว้นั้น ตงวั่งชุนไม่กล้าที่จะละเลยหรือมีเล่นลูกไม้ใดแม้แต่น้อย เมื่อเวลาผันผ่านมาถึงช่วงบ่าย ก็มีผู้หญิงสองคนมาที่สำนักงานเพื่อให้เสิ่นอี้โจวตรวจสอบ
ฉู่ซิงอวี่ซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับงานพลันเอ่ยถามขึ้น “คนที่มาพบวันนี้เป็นยังไงบ้าง?”
ตงวั่งชุนตอบ “พวกเธอล้วนเป็นมือดีในการช่วยเลี้ยงเด็กมาโดยตลอดค่ะ ทางหน่วยงานเห็นว่าพวกเธอทำงานได้ดีจึงให้อยู่ต่อ ฉันตรวจสอบดูแล้วทุกคนนั้นมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไร้ซึ่งนิสัยที่ไม่ดี มีสายสัมพันธ์ในครอบครัวที่เรียบง่าย ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของเลขาธิการเสิ่นแน่นอนค่ะ”
ฉู่ซิงอวี่พยักหน้า “ลำบากคุณแล้ว”
จากนั้นเขาก็หยิบเอกสารขึ้นมาหนึ่งปึกแล้วเดินออกไป
ตงวั่งชุนมองไปยังแผ่นหลังของฉู่ซิงอวี่ ซึ่งกำลังเดินจากไปอย่างเหม่อลอย
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ทัศนคติของเธอที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ทุกอย่างเริ่มต้นจากครั้งล่าสุดที่พวกเขาไปเมืองกว่างโจวด้วยกันเพื่อเชิญศาสตราจารย์เติ้ง
ในการเดินทางขากลับ เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวนั้นซื้อตั๋วเบาะนอนบนรถไฟแบบนิ่ม ในขณะที่ฉู่ซิงอวี่และตงวั่งชุนอยู่ในโบกี้ที่นอนธรรมดา
ตงวั่งชุนถูกหลอกหลอนด้วยความจริงที่ว่าเซี่ยชิงหยวนใช้เส้นสายของเธอเองเพื่อไปหาศาสตราจารย์เติ้งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะทุกครั้งที่หญิงสาวเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย เธอจะรู้สึกว่าระแคะระคายสายตาอย่างมาก
เมื่อมีเรื่องราวต่าง ๆ อยู่ในใจ การทำงานในตลอดทั้งสองวันนั้นจึงมีความฟุ้งซ่านอยู่บ้าง
บนรถไฟ ในท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจหยิบข้อมูลขึ้นมาและจะไปหาเสิ่นอี้โจว
“เสี่ยวตง คุณจะไปไหน?”
ฉู่ซิงอวี่ซึ่งอยู่ในห้องเดียวกับเธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น แล้วมองเธอด้วยสายตาที่เย็นเยียบ ทำเอาหญิงสาวตกตะลึงนิ่งค้างอยู่ที่เดิม