บทที่ 492 จงพยายามเมื่อมีรัก แต่จงยิ่งกล้าหาญและเข้มแข็งเมื่อไม่ถูกรัก
บทที่ 492 จงพยายามเมื่อมีรัก แต่จงยิ่งกล้าหาญและเข้มแข็งเมื่อไม่ถูกรัก
เซี่ยชิงหยวนหรี่ตามองที่พ่อของเธอก่อนจะเอ่ยถาม “คุยเรื่องอะไรเหรอคะพ่อ?”
เซี่ยโยว่หมิงลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “หลัก ๆ ก็เรื่องเกี่ยวกับแม่ของลูกกับลูกนั่นแหละ แม่เขาเป็นคนอารมณ์ร้อนและลูกก็เป็นคนหัวแข็งเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง ตอนนี้เรากำลังกลับไปแล้ว พ่อเกรงว่าลูกจะรู้สึกอึดอัดคาใจน่ะ”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนก็เปลี่ยนไป
เธอยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อคะ ตอนนี้หนูกับแม่เหมือนมีปัญหาอะไรกันเหรอ?”
ทะเลาะอะไรไหมเหรอ? ดูจากที่แม่ลูกเข้ากันได้ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่นะ…
แต่ถ้าถามว่าดูปรองดองกันมากไหม? ก็ไม่เช่นกัน…
บรรยากาศที่ดูเผิน ๆ เหมือนปกตินี้ ทว่าถ้ามองจริง ๆ จะรู้ได้เลยว่ามันไม่ปกติ
เซี่ยโยว่หมิงต้องการที่จะพูดอย่างอื่น แต่ถูกก็หยุดด้วยคำพูดอันแผ่วเบาของเซี่ยชิงหยวน
แม้ตอนที่เขาออกจากห้องมาแล้ว ชายชราก็ยังคงสับสน
หวังผิงรออยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเธอก็รีบเรียกหาเซี่ยโยว่หมิงทันที
เธอถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตาเฒ่า ลูกสาวของฉันพูดว่าอะไรบ้าง?”
เซี่ยโยว่หมิงเกาหัวของเขาก่อนจะหยิบเงินออกจากกระเป๋าตัวเอง “ลูกสาวของเราขอให้ฉันเอาเงินนี้ไปให้เจ้าใหญ่เพื่อเริ่มทำธุรกิจน่ะ”
หวังผิงยังคงมองที่เขาอย่างคาดหวัง “แล้วอะไรต่ออีก?”
เซี่ยโยว่หมิงชะลอจังหวะ “หมดแล้ว ไม่มีแล้ว”
หวังผิง “…”
เธอจ้องมองเซี่ยโยว่หมิงด้วยความผิดหวัง “ทำไมคุณถึงเอาเงินมาทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้คุยธุระให้รู้เรื่องเนี่ย!”
ขณะที่พูดนั้น เธอก็มองไปที่เซี่ยโยว่หมิงก่อนจะปิดประตูใส่หน้าเขา
เซี่ยโยว่หมิง “?”
เขากังวลว่าชั้นล่างจะได้ยินเสียง จึงอับอายเกินกว่าจะเคาะประตู เขามือลูบจมูกแล้วลงไปชั้นล่างแทน
…
เซี่ยโยว่หมิงและหวังผิงกลับไปที่หมู่บ้านซิ่งฮวาในวันรุ่งขึ้น
เสิ่นอี้โจวขับรถพาพวกเขาไปที่สถานีรถไฟ ส่วนเซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องและมองลงไป เธออดไม่ได้ที่จะตาแดงขณะที่มองดูรถค่อย ๆ ห่างออกไปจนลับสายตา
หลินตงซิ่วปลอบใจเธอ “เดี๋ยวแค่พริบตาก็ถึงวันตรุษจีนอีกรอบแล้ว หากลูกคิดถึงพวกเขา เพียงแค่ขอให้อี้โจวไปรับพวกเขาก็ได้เนอะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก
ในช่วงบ่ายอาเซียงก็มา
เซี่ยชิงหยวนมอบแบบร่างเสื้อผ้าหลายแบบที่เธอวาดให้ “ต้นฉบับพวกนี้พร้อมกับต้นฉบับที่วาดโดยเหล่าไต้ส่งมอบให้กับโรงงานหงเหมียนได้เลยนะ”
อาเซียงรับต้นฉบับไปแล้วพูดว่า “ฉันจะเก็บไว้อย่างดีเลยค่ะพี่”
‘ยามต้องมนต์’ ได้เปิดสาขาเพิ่มเติมอีกสามสาขาในมณฑลยูนนาน และอีกสองสาขาในกว่างโจวอย่างต่อเนื่อง
ตามข้อตกลงเดิมระหว่างเธอกับเหล่าไต้ เธอและเหล่าไต้ต่างเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนกันด้วยเงิน 50,000 หยวน แต่อัตราส่วนคือ 8:2
คำพูดของเหล่าไต้ที่พูดไว้คือ “ในชีวิตนี้แค่ได้พบกับคนที่เข้าใจคุณค่าของตัวฉัน และยินดีร่วมทำธุรกิจด้วยได้แบบนี้มันก็เพียงพอแล้ว”
“ก่อนหน้านี้ฉันเอาแต่ทำตัวไร้สาระไปเรื่อย ไม่ใช่แค่พวกเพื่อนฝูง แม้แต่คนในครอบครัวยังคิดว่าฉันเป็นคนไร้ประโยชน์ที่ไม่น่าจะทำอะไรสำเร็จได้เป็นชิ้นเป็นอันเลย ดังนั้นทุกอย่างที่ฉันมีในวันนี้ได้เป็นเพราะเธอที่ให้โอกาส”
“ฉันไม่เคยคาดหวังเลยว่าจะสามารถได้ร่วมธุรกิจกับเธอได้แบบนี้ ดังนั้นขอเอาส่วนแบ่งแค่ยี่สิบเท่านั้นพอ ถ้าเธอให้มากกว่านี้ฉันคงไม่กล้ารับหรอก”
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้บังคับเขาและพูดเพียงว่า “เอาละ แค่คุณติดตามฉันไปเรื่อย ๆ คุณจะไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน”
อาเซียงปีนี้อายุเกือบสิบเก้าแล้ว และเธอก็ดูสวยกว่าตอนที่เซี่ยชิงหยวนพบครั้งแรกที่เตียนเฉิงมาก
หญิงสาวผอมลงและสูงขึ้น สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักคือสีผิวของเธอ ซึ่งเป็นสีข้าวสาลีอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวมณฑลยูนนาน
เซี่ยชิงหยวนปลอบใจหญิงสาวตรงหน้า “ถ้าเธอไม่ได้สิ่งที่ต้องการแม้จะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว บางครั้งการปล่อยวางก็เป็นทางออกนะ”
อาเซียงรู้ว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังพูดถึงอะไรและพยักหน้า “พี่สาวเซี่ย ขอเวลาให้ฉันอีกหน่อยนะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “พี่ชอบประโยคนี้เป็นพิเศษนะ ‘จงพยายามให้สุดใจเมื่อคุณมีรัก แต่จงยิ่งกล้าหาญและเข้มแข็งเมื่อคุณไม่ถูกรัก’ ตอนนี้พี่ขอมอบประโยคนี้ให้กับเธอแล้วกัน พี่หวังว่าเธอจะได้รับบางสิ่งบางอย่างเมื่อกลับมานะ”
อาเซียงยิ้มและพูดตอบ “ขอบคุณค่ะพี่สาว”
ตามวัฒนธรรมในหมู่บ้านของอาเซียง เด็กสาวอายุเท่าเธอมักจะแต่งงานมีครอบครัวกันแล้ว
แต่เธอนำเรื่องการเรียนรู้กับเซี่ยชิงหยวนมาเป็นข้ออ้างกับพ่อแม่เพื่อออกข้างนอกเป็นเวลาหนึ่งปี แต่ถ้าเธอกลับไปบ้านก่อนเวลาครบหนึ่งปี เธอคงไม่มีอะไรจะแก้ตัวอีก
หญิงสาวหวังเพียงว่าคราวนี้เธอจะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับเฮ่ออวี้เฟิง
…
ในวันรุ่งขึ้น หลังจากที่แม่บ้านส่งอาหารไปที่ห้องของเซี่ยจื่ออี้ เซี่ยเจิ้งก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขาเรียกหาแม่บ้านของเขาแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับจื่ออี้? ทำไมเธอไม่ออกมาจากห้องล่ะ?”
เซี่ยจื่ออี้บอกกับแม่บ้านว่าอย่าบอกเรื่องของเธอให้เซี่ยเจิ้งฟัง
แม่บ้านได้แต่ตอบอย่างกระอักกระอ่วน “คุณท่านไปดูเองดีกว่าค่ะ ฉันไม่ทราบอะไรเลยค่ะ”
หลังจากพูดจบ เธอก็ก้มศีรษะลงราวกับไม่อยากพูดอะไรอีก
พฤติกรรมของแม่บ้านทำให้เซี่ยเจิ้งขมวดคิ้ว
เขายืนขึ้นและพูดว่า “ช่างเถอะ ฉันจะไปดูเอง”
เมื่อเห็นเซี่ยเจิ้งขึ้นไปชั้นบนเพื่อตามหาเซี่ยจื่ออี้ แม่บ้านก็ถอนหายใจยาว
ตั้งแต่มีข่าวลือเกิดขึ้น ทั้งครอบครัวก็เปลี่ยนไปพานทำให้เธอกังวลใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะเงินเดือนที่สูงและการที่เซี่ยเจิ้งปฏิบัติต่อเธออย่างดี เธอคงไม่เต็มใจที่จะอยู่ที่นี่อีกแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูชั้นบน แม่บ้านก็รีบเข้าไปในครัว
เธอไม่รู้ว่าพ่อกับลูกสาวจะทะเลาะกันหลังจากนี้หรือไม่ ดังนั้นเธอควรอยู่ห่าง ๆ ไว้จะดีกว่า
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เซี่ยเจิ้งเคาะประตูของเซี่ยจื่ออี้
“คุณป้าคะ ฉันยังไม่หายดี ไว้กลับมาทีหลังก็ได้ค่ะ” เสียงของเซี่ยจื่ออี้ดังมาจากข้างใน
เซี่ยเจิ้งกระแอมในลำคอ “พ่อเอง”
ในตอนแรกก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเซี่ยจื่ออี้ก็พูดเสียงเบาว่า “พ่อมีอะไรเหรอคะ?”
เซี่ยเจิ้งรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อเขาได้ยินเสียงของเซี่ยจื่ออี้
เขาเคาะประตูอีกครั้ง “พ่อมีเรื่องจะคุยกับลูก ช่วยเปิดประตูหน่อย”