บทที่ 487 ครบเดือน
บทที่ 487 ครบเดือน
หวังผิงกลับมาที่ห้องและรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
เธอเดินทางมายังมณฑลอวิ๋นและทนทุกข์ทรมานมากมายก็เพื่อใคร?
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ทัศนคติของเซี่ยชิงหยวนที่มีต่อเธอนั้นเย็นชาและไม่แยแสมาโดยตลอด แม้แต่ป้าอู๋ยังถูกยิ้มให้มากกว่าตัวเธอด้วยซ้ำ!
เธออุตส่าห์ทำงานหนักมามากเพื่อให้กำเนิดลูกสาวของเธอเอง ทั้งเลี้ยงดูป้อนข้าวป้อนน้ำเช็ดอุจจาระและปัสสาวะ แต่ตอนนี้ลูกสาวของตัวเองกลับไปเรียกคนอื่นว่า ‘แม่’ อย่างเต็มปากมากกว่าเรียกเธอซะอีก
เห็นได้ชัดว่าเธอเดินไปพร้อมกับหลินตงซิ่วเมื่อกี้นี้และพูดเสนอตัวเองก่อนแล้ว แต่เซี่ยชิงหยวนกลับขอให้หลินตงซิ่วช่วยหาของแทนโดยปฏิเสธเธออย่างไม่สนใจ
มีคนอยู่ที่บ้านตั้งหลายคน แล้วแบบนี้เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
ยิ่งหวังผิงคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เธอก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น และเช็ดน้ำตาอย่างเงียบๆ
เมื่อเซี่ยโยว่หมิงเข้ามา นี่คือสิ่งที่เขาเห็น
เขาปิดประตู เดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามภรรยาแล้วเอ่ยถาม “มีอะไรงั้นเหรอ?”
หวังผิงจ้องมองเขาด้วยความโกรธ “จะเป็นใครได้ถ้าไม่ใช่ลูกสาวคนดีของคุณ!”
เธอหันกลับไปและเช็ดน้ำตาอีกครั้ง
เซี่ยโยว่หมิงไม่มีทางเลือกนอกจากพูดว่า “ลูกสาวของผมไม่ได้ทำอะไรผิด ของต่าง ๆ ถูกเก็บโดยแม่สามีของเธอ ดังนั้นแน่นอนว่าแม่สามีของเธอคือคนที่ควรไปหาของ”
คำพูดของเขาทำให้หวังผิงโกรธมากยิ่งขึ้น “ใช่สิ เธอพูดถูกทุกอย่าง เธอไม่ผิดเลย เป็นฉันเองที่ผิด ตกลงไหม!”
หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นเปิดตู้เสื้อผ้าและเริ่มเก็บเสื้อผ้าของตัวเอง “ฉัน… ฉันจะกลับบ้านตอนนี้เลย เพื่อที่คุณและครอบครัวของคุณทั้งหมดจะได้มีช่วงเวลาที่ดีด้วยกันได้!”
เซี่ยโยว่หมิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คุณหมายถึงอะไร? ‘ครอบครัวของผมทั้งหมด?’ คุณไม่ได้เป็นครอบครัวนี้ด้วยเหรอ?”
“ฉันคือคนครอบครัวนี้เหรอ?” หวังผิงยิ้มเยาะและโยนเสื้อผ้าของเธอลงบนเตียง “ดูลูกสาวที่ดีของคุณสิ หลังจากผ่านไปหลายวัน เธอเคยทำดีกับฉันบ้างไหม? ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นหรอก ฉันคือคนที่ถ่ายเลือดให้เธอ ดูแลเธอตอนกักตัว ดูแลเด็ก ๆ และเรื่องจิปาถะสารพัด แต่เธอเคยเห็นค่ามันบ้างไหม?”
“ใช่ ฉันเคยทำผิดมาก่อนแต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว และฉันก็แก่แล้ว เธออภัยให้ฉันหน่อยไม่ได้เหรอ?”
เมื่อมาถึงจุดนี้ หวังผิงรู้สึกเสียใจและไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้
เซี่ยโยว่หมิงรู้ว่าภรรยาของเขาเจ็บปวดใจจริง ๆ
เขาดึงเธอไปที่ข้างเตียงให้นั่งลงแล้วพูดว่า “ลูกสาวของผมยังคิดไม่ออก ปล่อยเธอไปสักพักเถอะ”
“แม้ว่าทุกวันนี้เธอจะไม่กระตือรือร้นเกี่ยวกับคุณ แต่ดูสิ ไม่ใช่ว่าทั้งยาหรืออาหารที่เอาไว้บำรุงเลือดลมถูกมอบให้คุณมากมายหรอกเหรอในช่วงนี้น่ะ? ของพวกนั้นมันไม่ได้มาจากลูกเขยของคุณหรอกนะ เห็นได้ว่าชัดลูกสาวของเรายังมีคุณอยู่ในใจ แค่เพียงตอนนี้เธอยังไม่รู้วิธีก้มศีรษะเท่านั้นเอง”
เขาถอนหายใจ “ผมเคยคิดว่านิสัยของลูกสาวเป็นเหมือนผมและปู่ของเธอ แต่หลัง ๆ มานี้ผมรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ ความดื้อรั้นของเธอมันมาจากคุณอย่างสมบูรณ์เลย”
หวังผิงไม่พอใจ “ฉันเป็นคนดื้อรั้นที่ไหนกัน?”
เซี่ยโยว่หมิงมองภรรยา “ถ้าคุณไม่ใช่คนดื้อรั้นแล้วทำไมทั้ง ๆ ที่คุณต้องการคืนดีกับลูกสาวของคุณ แต่คุณกลับไม่พูดอะไรล่ะ?”
“เห็นได้ชัดว่าคุณใส่ใจเธอและทุกสิ่งที่คุณทำไปก็เพื่อประโยชน์ของเธอทั้งนั้น แต่พอคุณพูดเมื่อไหร่ คำพูดที่ออกจากปากของคุณกลับกลายเป็นคำที่ไม่น่าฟังเสมอเลย ในเมื่อคุณอยากคืนดีกับลูกสาว คุณยอมใจอ่อนไม่ได้เหรอ?”
สีหน้าของหวังผิงเริ่มผ่อนลง “ฉันเป็นแม่ ไม่ว่ายังไงเธอต้องยอมให้ฉันสิ”
เซี่ยโยว่หมิงทำได้เพียงโน้มน้าว “ในโลกนี้มีเพียงพฤติกรรมและการกระทำที่คู่ควรเท่านั้นถึงได้รับความเคารพ ไม่ใช่สถานะหรืออายุที่คนอื่นต้องคำนึงแล้วเคารพคุณ”
เขาตบมือเธอ “แม่เฒ่า แม้แต่พ่อแม่ก็ยังทำผิดกันบ้าง เมื่อลูกทำผิด เราก็สอนให้ยอมรับผิดและแก้ไข ทำไมกฎข้อนี้ถึงเอามาใช้กับเราไม่ได้ล่ะ?”
เขาลุกขึ้นยืน “ช่วงนี้คุณก็เหนื่อยเหมือนกัน พักผ่อนเถอะ ผมจะออกไปช่วยข้างนอกแล้ว”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วออกไปทิ้งเธอไว้ตามลำพัง
หวังผิงนั่งอยู่คนเดียวบนเตียง ครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เซี่ยโหยวหมิงพูด และจมลงไปในความคิดอันลึกซึ้ง
…
ในวันที่สิบหลังจากที่เซี่ยชิงหยวนออกจากโรงพยาบาล ในที่สุดทุกคนก็ได้ต้อนรับสมาชิกทายาทคนที่สองของตระกูลเสิ่น
หลังจากได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลว่าทารกได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ เซี่ยชิงหยวนมีความสุขมากจนนอนไม่หลับทั้งคืน และเช้าวันรุ่งขึ้น เธอปลุกเสิ่นอี้โจวขึ้นมาและขอให้เขาไปโรงพยาบาลเพื่อรับลูกชายของเธอ
คนที่ไปกับเสิ่นอี้โจวได้แก่ เซี่ยโยว่หมิง ปี่ฟู่หมาน และเสิ่นอี้หลิน
ผู้ชายทุกคนในครอบครัวถูกส่งไป
เซี่ยชิงหยวนและหวังผิงรออยู่ที่บ้านอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อเธอได้ยินเสียงรถดังขึ้นที่นอกประตูบ้าน เซี่ยชิงหยวนก็ลุกขึ้นยืนด้วยเสียงคร่ำครวญและกำลังจะวิ่งลงไปชั้นล่างอย่างกังวลใจ
หวังผิงรู้ว่ารั้งลูกสาวไว้ไม่ได้ จึงทำได้แค่ตามไปและสวมเสื้อคลุมตัวยาวให้ “ใส่เสื้อคลุมก่อนนะ”
เซี่ยซิงหยวนสวมเสื้อคลุมอย่างเชื่อฟังและพูดว่า “ขอบคุณค่ะแม่” จากนั้นเธอก็รีบลงไปชั้นล่างทันที
เธอไม่กล้าออกไปข้างนอก จึงยืนอยู่ที่ทางเข้า มองดูเสิ่นอี้โจวกับคนอื่น ๆ เดินผ่านสนามหน้าและก้าวข้ามเตาอั้งโล่มาที่ประตู
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนจับจ้องไปที่ห่อผ้าสีแดงผืนเล็กในอ้อมแขนของเสิ่นอี้โจว เธอรู้สึกตื่นเต้นอยู่ข้างในใจ
เมื่อประตูห้องนั่งเล่นเปิดออกและขายาวของเสิ่นอี้โจวก้าวเข้ามา เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนอย่างสั่นเทา “อี้โจว”
เมื่อได้ยินเสียงของเธอ เสิ่นอี้โจวก็เร่งฝีเท้ามาหาเซี่ยชิงหยวนโดยมีเด็กทารกอยู่ในอ้อมแขนของเขา
เขาย่อตัวลงเพื่อให้เซี่ยชิงหยวนมองเห็นเด็กได้ชัดเจนยิ่งขึ้น “ชิงหยวน ผมได้พาลูกชายของเรากลับมาบ้านแล้วนะ”
ผิวสีม่วงจางหายไปจากร่างของทารกแล้ว แต่ผิวยังดูไม่สุขภาพดีเท่ากับพี่สาวของเขา มันออกสีเหลืองเล็กน้อย ซึ่งดูยังไม่แข็งแรงเท่าไหร่
ทารกน้อยเอียงศีรษะเล็ก ๆ ของเขาแล้วซุกตัวเป็นเหมือนก้อนกลมเล็ก ๆ ดูแล้วไม่สบายตัวเลย
เซี่ยชิงหยวนนิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอื้อมมือออกไป และอุ้มลูกชายคนเล็กของเธอออกจากอ้อมแขนของเสิ่นอี้โจว
โดยปกติเธอมักจะอุ้มลูกสาวและชั่งน้ำหนักของลูกในมืออยู่คร่าว ๆ ตลอด แต่ทันทีที่เธออุ้มลูกชายคนนี้ หญิงสาวก็ตระหนักว่าเขามีน้ำหนักที่ต่างกันมากกับลูกสาวอีกคน
เซี่ยชิงหยวนอุ้มลูกชายแน่นในอ้อมแขนของเธอ ดวงตามองไปที่หน้าผาก คิ้ว ดวงตา จมูก และริมฝีปากของลูกชายอย่างตั้งใจ
แววตาของเธอเปี่ยมด้วยความรัก ราวกับกำลังมองดูสมบัติที่สูญหาย
เธอสะอื้นและพูดว่า “ลูกของฉัน”
หลินตงซิ่วที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ “ดีจริง ๆ ที่กลับมาแล้ว ดีจริง ๆ ที่กลับมาแล้ว”
หวังผิงมองไปยังทารกและอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง “เป็นเรื่องดีแล้วที่เด็กออกจากโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัย แต่ลูกอย่าร้องไห้ระหว่างอยู่ไฟเลย”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ค่ะ”
นับตั้งแต่เซี่ยโยว่หมิงโน้มน้าวหวังผิงในวันนั้น หวังผิงก็ไม่ได้พูดเรื่องที่เซี่ยชิงหยวนมีทัศนคติที่แตกต่างกันต่อตัวเธอและหลินตงซิ่วอีกต่อไป
หลายครั้งที่เธออยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเซี่ยชิงหยวน แต่เมื่อคำพูดนั้นไปถึงริมฝีปากแล้ว เธอก็กลืนมันลงคอไป
แม้ว่าพวกเธอจะยังไม่ดีกัน แต่ทั้งสองก็ยังอยู่อย่างสงบสุขต่อกัน
เซี่ยชิงหยวนอุ้มเด็กกลับไปยังห้องนอนโดยไม่เต็มใจที่จะวางลูกชายของเธอลง แม้ว่าทารกจะหลับไปแล้วก็ตาม
เธอถอนหายใจ “ตอนนี้ลูกกลับมาอยู่บ้านครบแล้ว ร่างกายของฉันก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งจริง ๆ”
เสิ่นอี้โจวกอดภรรยาและลูกชายคนเล็กจากด้านหลังแล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของคุณนะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและมองย้อนกลับไปโดยเอนกายในอ้อมแขนของเขา มองดูลูกชายตัวน้อยของเธออย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร
…
ครึ่งเดือนต่อมา ตระกูลเสิ่นมีความสุขมากเมื่อลูกแฝดของพวกเขามีอายุได้หนึ่งเดือน
แม้ว่าตระกูลเสิ่นจะมีลูกแฝด แต่ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้เพราะตอนแรกมีลูกคนเดียวที่กลับมาบ้าน แต่เมื่อทุกคนได้ยินว่าเป็นฝาแฝด พวกเขาก็ประหลาดใจและอิจฉา
ภายใต้นโยบายลูกคนเดียวที่มีอยู่ในปัจจุบัน ใครล่ะจะไม่อิจฉาที่บ้านอื่นสามารถมีลูกแฝดได้?
ตระกูลเสิ่นไม่ได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โต พวกเขาให้ความบันเทิงเฉพาะคนที่ปกติสนิทด้วยเท่านั้น แต่แค่นั้นก็มีคนมาทั้งหมดมากกว่า 20 คนแล้ว
เช้าวันนั้น หลินตงซิ่วกับหวังผิงไปที่วัดใกล้เคียงเพื่อถวายธูปสามดอกแก่พระโพธิสัตว์และเจ้าแม่กวนอิม อธิษฐานต่อพระโพธิสัตว์เพื่ออวยพรแม่และเด็กต่อไป ทั้งยังเพื่อขจัดความเจ็บปวดที่เกิดจากการคลอดบุตรของแม่
เด็กน้อยสองคนถูกปลุกแต่เช้าเพื่ออาบน้ำ จากนั้นเด็กน้อยทั้งสองก็ถูกห่มผ้าสีแดงเหมือนกัน
ผ้าห่มของพี่สาวมีลายดอกบัวและผ้าห่มของน้องชายมีลายปักสนสีเขียว นอกจากนั้นก็ไม่มีความแตกต่างกัน
เซี่ยชิงหยวนถูกหวังผิงรั้งไว้ในห้องและพูดว่า “วันนี้มีคนเยอะมาก แม่สามีของลูกและแม่จะอุ้มหลานลงไปให้ทุกคนเห็นเอง รอให้สามีของลูกขึ้นมาเรียกลูกค่อยลงตามไปทีหลังเถอะ ตอนนี้อยู่ในห้องเพื่อพักผ่อนก่อนนะ”
ร่างกายของเซี่ยชิงหยวนทนทุกข์ทรมานมากเมื่อตอนคลอดบุตร แม้ร่างกายของเธอจะฟื้นตัวได้ดีกว่าแม่ทั่วไป แต่ตอนนี้หญิงสาวก็ยังคงรู้สึกหนาวอยู่บ้าง
เกี่ยวกับแง่มุมเหล่านี้ โดยพื้นฐานแล้วเซี่ยชิงหยวนเชื่อฟังการเตรียมการของหวังผิง
เธอพยักหน้า “ตกลงค่ะ”
หญิงสาวนั่งอยู่ในห้องสักพักแล้วได้ยินเสียงประทัดชั้นล่าง ตามด้วยเสียงผู้คนที่มีชีวิตชีวามากขึ้น
เธออดกลั้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะยืนขึ้นแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างที่ชั้นล่าง
เห็นสนามหน้าบ้านได้รับการตกแต่งและดูเต็มไปด้วยความยินดี
หวังผิงและหลินตงซิ่วถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย และเด็ก ๆ ก็อยู่ในอ้อมแขนของพวกเธอ คุณยายกับคุณย่าต่างก็ยิ้มกว้างจนแทบถึงหู
ทว่าทันใดนั้นก็มีข้อมือเรียวยาวหนึ่งเหยียดออกไปทางเด็กทารก ราวกับต้องการสัมผัสใบหน้าของเด็ก
เซี่ยชิงหยวนคว้าขอบหน้าต่างทันทีและเกือบจะกรีดร้อง
ทำไมเซี่ยจื่ออี้ถึงมาที่นี่!?