บทที่ 486 อาจารย์จะเรียกหนูว่าที่รัก
บทที่ 486 อาจารย์จะเรียกหนูว่าที่รัก
เซี่ยชิงหยวนถูกกักตัวอยู่ที่บ้านและโดยปกติแล้วไม่เคยออกพ้นจากประตูเลยด้วยซ้ำ
มีห้องน้ำในห้อง มีคนนำอาหารเข้ามาให้ มีกระทั่งคนคอยคุยเป็นเพื่อนตลอดเวลา
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าเริ่มทนกับกลิ่นทั่วร่างกายของตนไม่ไหวแล้ว จึงขออาบน้ำ แต่หวังผิงและหลินตงซิ่วหยุดเธอไว้ทันที
หวังผิงพูดว่า “ลูกไม่สามารถสระผมหรืออาบน้ำในช่วงเวลาที่อยู่ไฟได้นะ ไม่อย่างนั้นลูกจะปวดหัวและเป็นโรคไขข้ออักเสบในอนาคต”
หลินตงซิ่วพยักหน้าเห็นด้วย “ชิงหยวน เชื่อฟังและอดทนอีกสักพักนะ”
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังเสิ่นอี้โจวเพื่อขอความช่วยเหลือ
เสิ่นอี้โจวคิดประนีประนอม “ลองเช็ดตัวดูไหม?… ส่วนการสระผมให้รออีกสักเดือนเถอะ”
ภายใต้การจ้องมองอย่างกดดันของหญิงชราทั้งสอง ประโยคครึ่งหลังของเสิ่นอี้โจวจึงพลิกผัน เขาถูกบังคับให้ยืนอยู่ในแนวร่วมเดียวกับทั้งสองไปเรียบร้อย
เซี่ยชิงหยวน “…”
เมื่อก่อนตั้งครรภ์ทำไมไม่คำนวณเวลาให้ดีนะ ทำไมเธอถึงเลือกคลอดบุตรในฤดูร้อนเนี่ย? หน้าหนาวไม่ดีกว่าเหรอ?
สุดท้ายเซี่ยชิงหยวนก็ได้ทำแค่เช็ดตัวโดยไม่สระผมเท่านั้น
น้ำถูกต้มและเมื่อเย็นลงหน่อยก็ใส่เปลือกขิงลงไป หวังผิงมีการเพิ่มยาจีนหนึ่งหรือสองชนิดลงไปด้วย ซึ่งทำให้น้ำมีกลิ่นของขิงและยาจีน
ขณะที่เช็ดตัว เซี่ยชิงหยวนก็บีบน้ำนมส่วนเกินออกไปพลาง
หลังจากออกจากโรงพยาบาลได้หลายวัน เธอทำเช่นนี้ทุกวันเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำนมไหลกลับ
คาดว่าเมื่อลูกชายคนเล็กกลับมา พี่น้องทั้งสองก็จะได้ดื่มนมแม่แล้ว
เมื่อเซี่ยชิงหยวนออกมาหลังจากเช็ดตัวเสร็จ เธอจำได้ว่าเหล่าไต้ได้ส่งจี้เล็ก ๆ คู่หนึ่งมาด้วย มันสามารถแขวนไว้บนเปลเพื่อให้เด็กมองดู ซึ่งหลินตงซิ่วได้ช่วยล้างเช็ดให้แห้งและเก็บไว้แล้ว
เซี่ยชิงหยวนหามันไม่เจอมาได้สักพักแล้ว เธอจึงเปิดประตู ยืนอยู่ที่หัวบันไดแล้วตะโกนลงไปชั้นล่าง “แม่คะ รู้ไหมว่าจะจี้ที่เหล่าไต้ส่งมาอยู่ที่ไหน?”
เซี่ยชิงหยวนพูดคำว่า ‘แม่’ หวังผิงและหลินตงซิ่วก็หันพร้อมกันเพื่อตอบเธอ
ก่อนที่หลินตงซิ่วจะได้พูด หวังผิงก็พูดก่อนว่า “ลูกต้องการอะไร เดี๋ยวแม่จะหาให้”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัวด้วยสีหน้าแผ่วเบา “แม่ หนูกำลังเรียกแม่ของอี้โจวน่ะค่ะ”
หลังจากพูดแล้ว เธอก็ยิ้มและมองไปที่หลินตงซิ่ว ซึ่งอยู่ข้างหลังหวังผิงและไม่ได้พูดอะไร
บางทีรอยยิ้มของเซี่ยชิงหยวนคือกำลังใจของหลินตงซิ่วและเธอก็ตอบว่า “แม่เก็บมันไว้ในกล่องที่อยู่ห้องข้าง ๆ น่ะ”
ขณะที่พูด เธอก็เช็ดมือแล้วขึ้นไปชั้นบน “แม่จะไปเอามันมาให้นะ”
เซี่ยชิงหยวนมองดูหลินตงซิ่วขึ้นมาและพูดว่า “ขอบคุณค่ะแม่”
…
จากนั้นเสียงของคนทั้งสองเริ่มห่างออกไปเรื่อย ๆ จนคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังไม่ได้ยิน ภาพของร่างทั้งสองเดินเคียงข้างกันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความอ่อนโยนระหว่างพวกเธอ
หวังผิงยืนอยู่ที่นั่น มองขึ้นไปและพูดไม่ออกเป็นเวลานาน
เธอกลับไปยังห้องครัวและวางแผนที่จะทำอาหารกลางวันให้กับเซี่ยชิงหยวนต่อไป หยิบมีดทำครัวขึ้นมาสับผัก เธอฟุ้งซ่านอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วจึงถูกมีดบาด
หวังผิงสูดลมหายใจแล้วรีบเอามือไปวางไว้ใต้ก๊อกน้ำเพื่อล้างมัน
หลังจากน้ำกลายเป็นแดงอยู่สักพักเลือดก็ยังไหลออกมาไม่หยุด เธอไม่อยากรบกวนคนอื่น จึงเรียกหาป้าอู๋และขอให้มาพันแผลให้
ที่บ้านมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นอยู่แล้ว หลังจากป้าอู๋ใส่ยาฆ่าเชื้อให้หวังผิง เธอก็พันผ้าพันแผลให้แล้วพูดว่า “คุณนายหญิงช่วงนี้อย่าโดนน้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการอักเสบของแผลนะคะ”
สิ่งที่ป้าอู๋พูดเป็นความจริง แต่มันกลับทำให้หวังผิงรู้สึกเศร้ามากและความรู้สึกในใจของเธอเปลี่ยนไป
เธอหัวเราะกับตัวเอง “ใช่แล้ว ฉันแก่แล้วและไร้ประโยชน์สินะ”
หลังจากนั้นเธอก็ชักมือออกแล้วกลับห้องโดยไม่หันกลับมามอง
ป้าอู๋ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิด เธอตกตะลึงไปชั่วขณะด้วยความงุนงง
เซี่ยโยว่หมิงซึ่งกำลังเล่นกับเด็กกับปี่เหลาซานเห็นภรรยาของเขากลับห้องด้วยสีหน้าหม่นหมอง เขารู้ว่าต้องเป็นเพราะเซี่ยชิงหยวนเรียกหลินตงซิ่วว่า ‘แม่’ เมื่อกี้นี้แน่
เขาพูดกับปี่เหลาซาน “พี่ชายดูเด็กก่อนนะ เดี๋ยวฉันขอเข้าห้องไปดูอะไรหน่อย”
ปี่เหลาซานเข้าใจทุกสิ่งด้วยสายตาที่ชราของตน
แต่สิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไปเถอะ”
หลังจากพูดแล้ว เขาก็มองดูทารกซึ่งเป็นลูกของลูกศิษย์สาวของตัวเองอีกครั้ง
ช่างเป็นเด็กน้อยที่น่ารักจริง ๆ!
เขามองไปรอบ ๆ และพอเห็นว่าไม่มีใครดูอยู่ จึงจับใบหน้าของทารกน้อยและเอาหน้าผากตัวเองแตะที่หน้าผากของเธอเบา ๆ
ป้าอู๋บอกว่าเด็กยังมีภูมิคุ้มกันต่ำไม่ควรสัมผัสด้วยปาก ไม่เช่นนั้นเขาคงจุ๊บสาวน้อยไปนานแล้ว
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ดูเหมือนจะชอบสัมผัสของเขามาก และเธอก็ยิ้มกว้าง
เมื่อปี่เหลาซานเห็นสิ่งนี้ เขาก็มีความสุขมากขึ้น “ฉันรู้หรอกน่าว่าหลานของฉันชอบฉันมาก ใช่ไหมล่ะจ้ะ!”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็แตะหน้าผากเธออีกครั้ง
ทารกน้อยยิ้มอีกครั้ง
ปี่เหลาซานพูดกับตัวเองว่า “ทำไมพ่อแม่ยังไม่บอกชื่อล่ะ ยังไม่ได้คิดเลยใช่ไหมเนี่ย?”
จากนั้นเขาก็นึกถึงทารกน้อยอีกคนที่ยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล และทันใดนั้นเขาก็พอเข้าใจได้
บางทีทั้งคู่อาจมีลูกชายคนเล็กอยู่ในใจและต้องการรอจนกว่าลูกชายคนเล็กกลับมาก่อนที่จะตั้งชื่อพี่น้องอย่างเป็นทางการ
ปี่เหลาซานล้อเด็กหญิงว่า “ไม่ ไม่ งั้นอาจารย์จะเรียกหนูว่าที่รักไปก่อนเนอะ”
ทารกส่งเสียง “อืม” อีกครั้งราวกับจะตอบรับเขา
ปี่เหลาซานรู้สึกตื่นเต้นมากจนอดไม่ได้ที่จะอยากหอมแก้มเธอเป็นครั้งที่สาม แต่ปี่ฟู่หมานก็หยุดเขาไว้
ปี่ฟู่หมานมองดูอย่างรังเกียจ “ตาเฒ่า กำลังจะแอบหอมเธออีกแล้วเหรอ!”
ปี่เหลาซานตกใจกับเสียงที่จู่ ๆ ดังขึ้น
เมื่อมองย้อนกลับไป เขาเห็นว่าเป็นศิษย์ของตัวเอง และโกรธมาก “ไอ้เด็กปากบอนนี่ ชอบทำให้ฉันกลัวอยู่เรื่อย!”
ปี่ฟู่หมานเหลือบมองเขาด้วยความโกรธ “เพราะคุณรู้ว่าตัวเองกำลังทำผิดนั่นแหละคุณถึงสะดุ้งโหยงตอนที่ผมเอ่ยทัก!”
ปี่เหลาซานรู้สึกเขินอายอยู่ครู่หนึ่งเพราะปี่ฟู่หมานพูดไม่ผิดเลย “ฉันจะหอมเธอที่ไหน ฉันแค่แตะหน้าผากเฉย ๆ”
เขาขมวดคิ้ว “แค่แตะหน้าผากเธอเท่านั้นเข้าใจไหม?”
ปี่ฟู่หมานรู้สึกว่าเวลาอยู่ต่อหน้าทารก ปี่เหลาซานมักทำตัวเหมือนเฒ่าทารกที่ซุกซน
เขาโบกมือ “ก็ได้ ก็ได้ ผมไม่เถียงแล้วก็ได้”
พูดสั้น ๆ ตั้งแต่ทารกถูกพากลับมาบ้าน ปี่เหลาซานก็ไม่เคยปล่อยมือจากเธอเลย
ปี่ฟู่หมานหยิบหญ้าชิ้นหนึ่งไว้ในปาก “ผมไม่คุยด้วยแล้ว ผมจะออกไปข้างนอก”
ปี่เหลาซานหยุดเขา “เฮ้ ๆ ไอ้เด็กดื้อ อย่าไปในที่ห่างไกลและลับตาคนนะ และเอาของกลับมาอย่างระมัดระวังด้วย พี่สาวของนายกับเด็กอยู่ที่บ้าน ดังนั้นฉันไม่อนุญาตให้มีปัญหาอะไรทั้งนั้น”
พวกเขากำลังทำธุรกิจหยกอยู่ข้างนอก
ผู้ที่ซื้อและขายต่างให้ความสนใจไม่มากก็น้อยกับบางสิ่งที่บรรพบุรุษของเราทิ้งไว้ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา
ต่อให้ไม่มีอยู่จริงก็ไม่เป็นไร แต่ไปดูสักหน่อยก็ไม่มีผลเสีย
ปี่ฟู่หมานโบกมืออย่างเมินเฉย “เข้าใจแล้ว”
ปี่เหล่าซานเดาะลิ้นของเขา “ไอ้เด็กดื้อคนนี้นี่”
จากนั้นเมื่อเขาก้มศีรษะลงและมองไปที่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในอ้อมแขน เขาก็ยิ้มอีกครั้งและรอยย่นทั้งหมดบนนั้นหน้าแก่ของเขาหายไป ซึ่งดูรวม ๆ แล้วดูเหมือนดอกเบญจมาศ
เขายับยั้งความอยากที่จะแตะหน้าผากของทารกและพูดด้วยน้ำเสียงบีบๆ “ที่รักตัวน้อย ที่รักตัวน้อย ฉันเป็นอาจารย์ตาของเธอ แค่บอกมาคำเดียวเท่านั้น ฉันคนนี้จะให้สมบัติทั้งหมดของฉันแก่เธอ ตกลงไหม~”
ทารกน้อยนอนบนแขนของเขา และเตะขาของเธออย่างมีความสุข “อื้ม~~”
……………………………………………