บทที่ 485 เปลสองอัน
บทที่ 485 เปลสองอัน
หลังจากฟังคำพูดของเซี่ยชิงหยวนแล้ว เสิ่นอี้โจวก็เต็มไปด้วยอารมณ์
เขากอดเซี่ยชิงหยวนไว้ในอ้อมแขนแล้วใช้มือใหญ่ ๆ ลูบหลังบาง ๆ ของเธออย่างแผ่วเบา “ผมสัญญากับคุณว่าลูก ๆ ของเราจะมีวัยเด็กที่มีความสุขและมีชีวิตที่มีความสุขแน่นอน”
ตามนิสัยของเขา ลูกสาวของเขาจะได้รับการเอาอกเอาใจและลูกชายจะต้องได้รับการฝึกฝนเยี่ยงทหาร
แต่เมื่อเขานึกถึงความจริงที่ว่าลูกชายตัวน้อยยังอยู่ในตู้ปลอดเชื้ออยู่เลย คงเกรงว่าความปรารถนาของเขาครึ่งหนึ่งจะไม่เป็นจริง
เพราะหลังจากเหตุการณ์นี้ เด็กชายจะต้องได้รับการปกป้องจากทั้งครอบครัวไปอีกนานไม่อาจถูกทุบตีหรือดุได้
เซี่ยชิงหยวนหลับตาลงอย่างรู้สึกขอบคุณและกอดสามีของเธอกลับ
…
เซี่ยชิงหยวนอยู่ในโรงพยาบาลอีก 3 วัน
หญิงสาวถือโอกาสที่หมอฟ่านมาตรวจเธอในตอนเช้าถามว่า “หมอฟ่านคะ ฉันอยากเจอลูกชายตัวน้อยของฉันได้ไหมคะ?”
หมอฟ่านและเสิ่นอี้โจวมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้า “ช่วงนี้คุณฟื้นตัวได้มากแล้ว ฉันสามารถอนุญาตให้เลขาธิการเสิ่นพาคุณไปดูในภายหลังได้ค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนขอบคุณหมอฟ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากได้รับอนุญาต
ทันทีที่หมอฟ่านออกจากห้องไป เซี่ยชิงหยวนก็เร่งเร้าให้เสิ่นอี้โจวพาเธอไปที่นั่น
เสิ่นอี้โจวค่อย ๆ ช่วยภรรยาสวมเสื้อผ้า รองเท้าผ้าฝ้าย หมวก และผ้าพันคอ เมื่อเขามั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรขาดหายไป จึงเข็นรถเข็นพาเธอออกไป
ลูกสาวของเธอถูกพี่สาวคังพาไปที่โรงอาบน้ำเด็กในตอนเช้าเพื่ออาบน้ำสมุนไพร ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่ได้พาลูกสาวไปด้วย
เมื่อเข้าไปในประตูห้องผู้ป่วยหนักสำหรับทารก เซี่ยชิงหยวนรู้สึกประหม่าและกำที่พักแขนของรถเข็นไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ
เสิ่นอี้โจวก้มลง จับมือเย็น ๆ ของเธอจากด้านหลังแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ลูกของเราสบายดี และผมไม่โทษคุณ”
คำพูดของเสิ่นอี้โจวทำให้ปลายจมูกของเซี่ยชิงหยวนพลันเจ็บขึ้นมา
เขารู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
อันที่จริงการนอนอยู่ในห้องผู้ป่วยโดยมีแต่ลูกสาวนอนอยู่ข้าง ๆ มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกเสียใจกับลูกชายคนเล็กมากขึ้นเท่านั้น
เธอยังไม่ได้เจอลูกชายเลยสักครั้ง แต่ไม่มีนาทีไหนที่ไม่คิดถึงเขาเลย
เสิ่นอี้โจวโบกมือเข้าไปข้างใน และพยาบาลที่เห็นจึงเข็นเตียงเล็ก ๆ มาตรงหน้าพวกเขา
เตียงมีขนาดเล็กมาก ยาวมากกว่าความยาวลำตัวของทารกไม่มากนัก มีสิ่งที่คล้ายผ้าคลุมอยู่บนนั้นและเด็กก็นอนอยู่ในนั้น
ทารกนอนตะแคงอย่างเงียบ ๆ และทุกลมหายใจที่เข้าออกดูเหมือนจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
เมื่อเทียบกับพี่สาวที่เกิดก่อน น้องชายคนนี้ผอมกว่ามาก ผิวของเขาเป็นสีม่วงอ่อน ผมบนศีรษะเบาบาง และแขนขาผอม
เธอได้ยินจากพี่สาวคังว่าตอนที่ลูกชายคนเล็กเกิดนั้นมีน้ำหนักน้อยกว่าพี่สาวเพียง 100 กรัม แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความแตกต่างระหว่างทั้งสองมีมากกว่านั้น
ขณะที่เซี่ยชิงหยวนกำลังจะพูด น้ำตาก็ไหลออกมา
นี่คือลูกชายคนเล็กของเธอ ซึ่งเป็นลูกชายคนเล็กที่เธอให้กำเนิดในแบบที่ยอมตายถวายชีวิต
เธอวางมือบนผนังกระจก อยากสัมผัสเขา เมื่อพบว่าทำไม่ได้จึงกัดริมฝีปากและร้องไห้เงียบ ๆ
เสิ่นอี้โจวรู้สึกเศร้ามากขึ้นมาเมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนเป็นแบบนี้
เขาไม่กล้าบอกเธอว่าเมื่อวานในปากของลูกชายคนเล็กยังต้องใส่ท่ออยู่เลย แต่เช้านี้ถูกถอดออกแล้วหลังจากที่ค่อย ๆ หายใจได้เอง
เขาทำได้เพียงกอดเธอไว้ในอ้อมแขน แล้วปล่อยให้น้ำตาของเธอเปียกเสื้อผ้าของเขาเท่านั้น
…
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนเห็นลูกชายของเธอ ไม่เพียงแต่ไม่หดหู่ใจ แต่เธอยังกระตือรือร้นมากขึ้นอีกด้วย
แม้กำลังกินข้าวอยู่ หรือแม้ว่าเธอเกือบจะอาเจียนหลังกินข้าว เธอก็ยังคงยืนกรานที่จะกินอาหารคำแล้วคำเล่าต่อไป
หลังคลอดบุตรไม่เพียงแต่การทำงานต่าง ๆ ของร่างกายยังไม่ฟื้นตัว แต่ความอยากอาหารจะมีไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเมื่อก่อนอีกด้วย
เซี่ยชิงหยวนบังคับตัวเองเช่นนี้ ทำให้เสิ่นอี้โจวรู้ว่าเธอต้องการฟื้นตัวเร็วขึ้นเพื่อพาลูกกลับบ้าน
แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งต่าง ๆ กลับไม่เป็นไปตามที่เธอคาดหวัง
ในวันที่เธอได้ออกจากโรงพยาบาลก็ได้รับแจ้งว่าลูกชายคนเล็กจะต้องอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการอีกสักสองสามวัน
หมอฟ่านพูดว่า “ทารกเพิ่งกลับมาหายใจเองได้ไม่กี่วัน เรายังจำเป็นต้องเฝ้าสังเกตต่ออีกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีความเสี่ยงก่อน จึงจะสามารถตกลงให้คุณพาเขากลับบ้านได้ค่ะ”
ทุกคนอยากจะขอร้องหมอเพื่อเอาเด็กกลับอีกครั้ง แต่เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “ได้เลยค่ะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณหมอได้เลย ฉันขอบคุณคุณหมอมากนะคะ”
หลังจากคลอดบุตรแล้ว แม่จำเป็นต้องกลับบ้านโดยทิ้งลูกไว้คนเดียวในโรงพยาบาล สถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครอยากเจอมากไปกว่าคนเป็นแม่อีกแล้ว
แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฟังการจัดเตรียมของหมอ
…
รถแล่นไปจนถึงประตูบ้าน ทันทีที่รถหยุด ผู้คนที่รออยู่ที่ประตูก็รวมตัวกันรอบ ๆ
หวังผิงก้าวเข้ามาข้างหน้าแล้วเอาผ้าห่มบาง ๆ คลุมศีรษะของเซี่ยชิงหยวนก่อนจะพูดว่า “อย่าให้ลมพัดถูกตัวนะ”
จากนั้นเธอก็มองไปที่เสิ่นอี้โจว ซึ่งอยู่ข้างหลังหนึ่งก้าวและกำลังอุ้มทารกอยู่แล้วพูดต่อว่า “เธอกับครอบครัวของเธอสามคนก้าวข้ามเตาอั้งโล่ แล้วจากนั้นพวกเธอจะปลอดภัยนับจากนี้ไป!”
ขณะที่พูด เธอก็คอยประคองเซี่ยชิงหยวนให้เดินไปหาเตาอั้งโล่
หลินตงซิ่วช้าไปหนึ่งก้าวและคว้าได้แต่อากาศ
เธอไม่สนใจ ยิ้มแล้วเดินตามไป
หลังจากข้ามเตาอั้งโล่และมาถึงประตูหลัก เซี่ยชิงหยวนก็พบว่ามีกิ่งสนมากมายห้อยอยู่ที่ประตู
ปี่เหลาซานอธิบายว่า “แม่ของเธอเก็บมาเมื่อเช้านี้น่ะ ของพวกนี้หาไม่ง่ายเลยนะ”
หลายพื้นที่ในมณฑลยูนนาน มีความเชื่อว่าควรเอากิ่งสนสดมาแขวนอยู่ที่ประตูห้องนอนหรือบ้านของแม่ลูกอ่อน
ประการแรกเพื่อเตือนผู้คนว่ามีทารกอยู่ในบ้านอย่าวุ่นวาย ประการที่สองใช้ประโยชน์จากกิ่งสนที่เขียวชอุ่มเพื่ออธิษฐานขอให้ทารกกับแม่ปลอดภัยและเป็นคนดีมีโชคลาภ ประการที่สามคือต้นสนเป็นพืชที่เต็มไปด้วยหยาง ซึ่งสามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายและหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและเดินตามเข้าไปในบ้าน
เธอถูกพาไปที่ห้องนอนและถูกวางลงบนเตียงก่อนที่หวังผิงจะยอมปล่อย
เมื่อเห็นว่าในที่สุดเธอก็มีโอกาสพูด หลินตงซิ่วจึงลุกขึ้นยืนและพูดอย่างระมัดระวัง “ชิงหยวน เราได้ตุ๋นซุปปลาไว้ที่บ้านแล้ว และมีต้มเครื่องในเนื้อวัวหัวไชเท้าที่นำกลับมาจากร้านด้วย ตอนนี้ลูกอยากกินหน่อยไหม?”
หวังผิงเข้ากับคนง่ายแถมมีความสามารถมาก
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาภายในบ้าน หวังผิงได้ทำความสะอาดบ้านร่วมกับพวกเขา ทำให้บ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างมาก ซึ่งเธอชื่นชมไม่น้อย
ดังนั้นต่อหน้าหวังผิง หลินตงซิ่วจึงรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่เธอไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว
หวังผิงทำให้เธอตกอยู่ภายใต้ความกดดันจริง ๆ
ก่อนที่เซี่ยชิงหยวนจะทันได้ตอบ หวังผิงก็ยิ้มและพูดว่า “หรือบางทีลูกอยากกินอย่างอื่นแล้วให้แม่ทำอาหารให้ลูกไหม?”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มให้หลินตงซิ่ว “ขอบคุณค่ะแม่ แต่ตอนนี้หนูยังไม่หิว เอาไว้รอตอนเที่ยงช่วยเอามาให้หนูหน่อยก็แล้วกันนะคะ”
จากนั้นเธอหันไปหาหวังผิงอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอจางหายไป “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ”
ทัศนคติที่แตกต่างกันของเซี่ยชิงหยวนที่มีต่อคนทั้งสองทำให้หวังผิงไม่สามารถยิ้มได้อีกต่อไป
แต่ขณะที่กำลังจะเปิดปาก เธอก็นึกถึงคำเตือนของเซี่ยโยว่หมิงในวันนั้นและอดทนต่อมัน
หวังผิงรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย จึงพูดว่า “งั้นแม่จะลงไปดูซุปข้างล่างนะ”
พูดจบเธอก็กำลังจะออกไป
เสิ่นอี้โจวเห็นความโศกเศร้าของหวังผิง จึงหยุดเธอไว้ “แม่ครับ เมื่อกี้ตอนที่ผมอุ้มลูก ผมได้กลิ่นอะไรบางอย่าง แม่ช่วยดูให้ผมหน่อยได้ไหม?”
เมื่อพูดถึงหลานสาวของเธอ รอยยิ้มของหวังผิงก็กลับมา
เธอรีบอุ้มหลานสาวมาแล้วพูดว่า “ฉันจะทำเอง ฉันจะทำเอง”
ปี่เหลาซานและคนอื่น ๆ อีกสองสามคนเฝ้าดูอย่างตื่นเต้น เมื่อหวังผิงพาทารกน้อยออกไป พวกเขาก็ตามไปดูด้วยรอยยิ้ม มองดูทารกน้อยถูกเปลี่ยนผ้าอ้อม
เสิ่นอี้โจวเหลือบมองเซี่ยชิงหยวนและยิ้มด้วยความรัก “ผมจะไปห้องหนังสือเพื่อทำงานก่อนนะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ได้ค่ะ” จากนั้นก็มองไปที่เปลข้าง ๆ
เปลขนาดเล็กเป็นสีไม้สีอ่อนและทำโดยเสิ่นอี้โจวเอง
เคยมีเปลเล็ก ๆ สองเปลวางชิดกัน บางทีเพราะกลัวจะทำให้เธอเสียใจ ตอนนี้จึงมีแค่เปลเดียวก่อน
เธอเชื่อว่าอีกไม่นานเปลเล็ก ๆ สองอันก็จะประกอบเข้าด้วยกันอีกครั้ง