บทที่ 482 อาจารย์ปี่ปฏิบัติต่อเธอดีกว่าคุณมาก
บทที่ 482 อาจารย์ปี่ปฏิบัติต่อเธอดีกว่าคุณมาก
ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงสามารถบริจาคเลือดได้ครั้งละ 400 ซีซี ทว่าหวังผิงซึ่งเป็นผู้สูงวัยอ่อนแอกลับบริจาคเลือดให้เธอถึง 800 ซีซี!
แล้วหลังจากที่หวังผิงบริจาคเลือดให้เธอล่ะ? แล้วเธอผ่านมันมาได้ยังไง? มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็นิ่งเงียบอยู่นาน
หรือพูดให้เจาะจงกว่านั้นคือในชั่วขณะหนึ่ง เธอไม่รู้จะใช้คำไหนมาบรรยายความรู้สึกของตัวเอง
สิ่งนี้ทำให้เธอนึกถึงวันที่ยอมต่อสู้ฟันฝ่าฟันทุกอย่างเพื่อให้กำเนิดลูกชายคนเล็ก ในตอนนั้นหวังผิงก็คิดแบบเดียวกันนี้เพื่อช่วยชีวิตเธอรึเปล่า?
เธอคิดมาโดยตลอดว่าหวังผิงรังเกียจตัวเองมากจนต้องพูดถ้อยคำร้าย ๆ เหล่านั้นกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ระหว่างทางจากหมู่บ้านซิ่งฮวากลับมายังมณฑลอวิ๋น เธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นานก็ไม่อาจกลบความโศกเศร้าในใจได้
แม้ว่าภายนอก เธอจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความเจ็บปวดที่เกิดจากคำพูดเหล่านั้นก็ไม่สามารถลบล้างได้
ครั้งหนึ่งเซี่ยชิงหยวนเคยคิดว่าหากหวังผิงรักเธอจริง ๆ ทำไมหญิงชราต้องใช้คำพูดแสนเจ็บปวดกับคนที่อยู่ข้างกายเธอด้วยล่ะ
หรือว่าในใจของเธอคิดว่า คนใกล้ตัวจะไม่มีวันจากไปไหน?
ไม่เลย
แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดเมื่อความผิดหวังทับถมไว้มากพอ กาลเวลาผ่านไปก็ยังพอจะบอกให้ตัวเองปล่อยวางได้
เซี่ยชิงหยวนเคยคิดว่าบางทีเธอและหวังผิงคงไม่ได้ติดต่อกันอีกแล้วในชั่วชีวิตนี้ มีเพียงชดเชยให้ด้วยเงินเท่านั้น นี่อาจเป็นการตอบแทนครั้งสุดท้ายสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก
แต่ตอนนี้เสิ่นอี้โจวบอกเธอว่าคนที่บริจาคเลือดให้ในตอนที่เธอตกเลือดอย่างรุนแรงคือหวังผิง
หลังจากที่เธอขีดเส้นกับหวังผิงไว้ในใจแล้วกลับมีพันธนาการแบบนี้ขึ้นมาอีกเนี่ยนะ?
เมื่อเห็นภรรยานิ่งเงียบไม่พูดจา เสิ่นอี้โจวจึงจับมือของเธอเอาไว้แล้วพูดว่า “หลังจากที่แม่คุณบริจาคเลือดให้ เธอก็หมดสติไปเลย หลังจากนั้นหลิงเยี่ยก็รีบพาชายหนุ่มคนหนึ่งจากกองทหารมาบริจาคเลือดให้แม่ จึงทำให้แม่อาการดีขึ้นบ้าง พ่อแม่ของคุณเดินทางจากหมู่บ้านซิ่งฮวามาที่มณฑลอวิ๋นก็เพื่อเฝ้าดูคุณคลอด จนถึงในท้ายที่สุดที่ถ่ายเลือดให้คุณ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความเพียรพยายามของเธอที่ทำเพื่อคุณ เธอจำต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามคำสั่งของหมอ แต่เธอก็ยังให้พ่อของคุณเข็นตัวเองมาเยี่ยมคุณที่ห้องผู้ป่วยและไปเยี่ยมลูกที่ห้องผู้ป่วยหนักทุกวัน เมื่อวานนี้เธอดีขึ้นมาบ้างแล้ว หมอจึงอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้น่ะ”
หากหวังผิงทำร้ายเซี่ยชิงหยวนมากเกินไปหรือทำอะไรที่ไม่อาจให้อภัยได้ เขาย่อมไม่คัดค้านหากเซี่ยชิงหยวนจะตัดความสัมพันธ์แม่ลูกกับเธอ
ด้วยสิ่งที่เขาเห็นคือเซี่ยชิงหยวนถูกหวังผิงทำให้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่ร่ำไป
ผู้หญิงที่เขารักนั้นมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนและงดงาม แม้ว่าเธอจะแสร้งทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าเขา แต่ก็สัมผัสได้ถึงความปรารถนาอันลึกซึ้งในความรักของแม่อย่างหวังผิง ซึ่งฝังอยู่ในกระดูกของเธอมาตั้งแต่เยาว์วัย
หากหวังผิงไม่ก้าวเข้ามาทำสิ่งนี้ก่อน ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เขาย่อมไม่มีวันร้องขอแทนเธอ แม้ว่าบุคคลนั้นจะเป็นแม่แท้ ๆ ของเซี่ยชิงหยวนก็ตาม
อาจเป็นเพราะการเป็นพ่อแม่ทำให้คนอ่อนโยนขึ้นละมั้ง
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของเธอแดงก่ำ น้ำเสียงขาดห้วง “แต่เธอ…”
เสิ่นอี้โจวลูบใบหน้าของภรรยาอย่างแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นและอ่อนโยน ”ไม่ว่าคุณต้องการทำอะไร ผมจะสนับสนุนคุณทุกอย่าง ที่ผมบอกเรื่องนี้กับคุณก็เพราะผมหวังว่าคุณจะไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเสียใจภายหลังในชีวิตนี้น่ะ”
ชีวิตนั้นยืนยาว ใครเลยจะคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้?
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นกับตาในชาติที่แล้วว่าหวังผิงร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจแค่ไหนเมื่อรู้ข่าวว่าเซี่ยชิงหยวนเสียชีวิต เขาจะให้โอกาสหญิงชราได้ยังไง?
หวังว่าเธอจะคว้าโอกาสในครั้งเอาไว้ได้และคืนดีกับเซี่ยชิงหยวน เพื่อไม่ให้จิตใจของเธอต้องเจ็บปวดอีกแล้วกัน
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันจะลองคิดดูนะ”
หลังเอ่ยจบ เธอก็ถูกเสิ่นอี้โจวดันตัวให้นอนลงบนเตียง “แม้จะเอนตัวนอนอยู่นานแล้วแต่ฉันก็นอนไม่หลับเลย คุณเล่าเรื่องลูกชายของเราให้ฉันฟังสักหน่อยสิ”
….
ทันทีที่เซี่ยโยว่หมิงช่วยพยุงหวังผิงออกมาจากห้องพักผู้ป่วยของเซี่ยชิงหยวน หวังผิงก็สูญเสียรัศมีความทระนงตนที่เธอเพิ่งแสดงไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อร่างกายของเธออ่อนลง หญิงชราก็เอนตัวไปหาร่างของเซี่ยโยว่หมิง
ในขณะที่เซี่ยโยว่หมิงกำลังตื่นตกใจ หวังผิงก็คว้าแขนของเขาเอาไว้แล้วพูดว่า “ตาเฒ่า อย่าเอะอะโวยวายไป ฉันสบายดี”
ในตอนเช้าที่ตื่นนอน เธอยังมีอาการเวียนหัวเล็กน้อย แต่เมื่อนึกได้ว่าหมอบอกว่าเซี่ยชิงหยวนอาจจะฟื้นในวันนี้ จึงต้องตามไปที่นั่นเช่นกัน
ท่าทางในห้องพักผู้ป่วยเมื่อครู่นั้นก็ดูแข็งแกร่งไม่น้อย
เมื่อมองดูผู้เป็นภรรยาซึ่งเกาะแขนของเขาไว้ด้วยใบหน้าซีดเซียว คำพูดที่เขาตั้งใจจะเอ่ยโน้มน้าวเธอก็ถูกกลืนกลับลงท้องไปโดยพลัน
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “นี่ ผมช่วยมา”
เอ่ยแล้วก็เอนตัวเข้าไปใกล้หวังผิงมากขึ้น เพื่อที่เธอจะได้เดินได้มั่นคงขึ้นอีกหน่อย
เมื่อทั้งสองเดินออกมาจากแผนกทารกแรกเกิด เลี้ยวเข้ามุมหนึ่งก็มาถึงห้องดูแลทารกแรกเกิด หวังผิงหยุดฝีเท้าลงพร้อมดึงเซี่ยโยว่หมิงเอาไว้ “ดูหลานก่อนแล้วค่อยกลับเถอะ”
วันนี้เมื่อมาโรงพยาบาล เพียงยืนอยู่ครู่เดียวเธอก็มีอาการเวียนหัวเล็กน้อยแล้ว ทั้งยังตาพร่ามัว เพราะงั้นในช่วงบ่ายคาดว่าเซี่ยโยว่หมิงคงไม่ยอมปล่อยให้เธอกลับมาอีกแน่ แต่เธออยากจะเห็นหลาน ๆ ตัวน้อยอีกครั้งก่อนน่ะสิ
เซี่ยโยว่หมิงเองนั้นน้อยครั้งที่จะเอ่ยห้ามปราบ “เอาเถอะ เดี๋ยวผมไปยื่นคำร้องเองสักครู่แล้วกัน”
ตอนนี้คาดว่าทั้งมณฑลไม่มีหมอหรือพยาบาลคนไหนที่ไม่รู้จักครอบครัวของพวกเขาแล้ว
คำร้องขอในการเข้าเยี่ยมในได้รับอนุญาตอย่างรวดเร็ว ทั้งสองช่วยพยุงกันไปยังห้องผู้ป่วยหนัก
เฒ่าชราสองคนซึ่งมีผมสีดอกเลายืนออกันอยู่ที่หน้าหน้าต่างกระจก พยายามจะระบุตัวตนว่าเด็กคนไหนคือหลานของตัวเอง
นางพยาบาลที่ประจำการอยู่ข้างใน ซึ่งคุ้นเคยกับพวกเขาดีจึงหันกลับมาพร้อมชี้คางไปยังทารกในอ้อมแขนของเธอ
เมื่อมองดูคิ้วและดวงตาที่สวยงามคู่นั้นที่ถูกล้อมรอบด้วยผิวสีม่วงอมแดงแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือหลานชายตัวน้อยอย่างไม่ต้องสงสัย
พยาบาลเดินไปยังหน้าต่างกระจกโดยอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะหันหน้าของเด็กน้อยไปทางด้านข้างเพื่อให้พวกเขามองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เธอวางคางของเด็กไว้บนบ่า และใช้มือข้างหนึ่งทำเป็นรูปครึ่งวงกลม แล้วตบเบา ๆ จากบนลงล่างเพื่อให้เขาเรอ
เด็กน้อยดูราวกับว่าเพิ่งดื่มนมมาอย่างอิ่มหมีพีมัน ดวงตาของเขาหลับสนิท ริมฝีปากก็พึมพำเบา ๆ ราวกับว่ายังคงดูดนมอยู่ในขณะที่นอนหลับ
ดวงตาของหวังผิงจับจ้องไปยังมือของนางพยาบาลที่ตบเบา ๆ บนหลังหลานชายตัวน้อยของเธอ ทุกครั้งที่พยาบาลตบหลังหลานเบา ๆ หัวใจของเธอนั้นสั่นสะท้าน
หลานชายตัวน้อยของเธอคนนี้คือคนที่ลูกสาวต่อสู้อย่างหนักเพื่อให้ได้มา ไม่รู้ว่ามือของพยาบาลหนักหรือไม่ จนเธอเห็นแล้วอดรนทนไม่ไหวจนอยากจะผลักประตูเปิดเข้าไป แล้วอุ้มทารกตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนตัวเอง
แน่นอนว่าในครั้งแรกที่เห็นหลายชาย หญิงชราเกือบจะทำเช่นนั้นจริง ทว่าถูกเซี่ยโยว่หมิงเอ่ยห้ามไว้อย่างสุดกำลัง
ทันทีที่เซี่ยโยว่หมิงเห็นการเปลี่ยนแปลงในแววตาของภรรยา เขาก็รู้ได้ทันทีว่าในใจเธอกำลังคิดอะไร
เขารีบดึงเธอเอาไว้ “ที่นี่คือโรงพยาบาลนะ ถ้าคุณหุนหันพลันแล่นเหมือนกับครั้งที่แล้ว ครั้งหน้าพวกเราคงไม่ได้รับอนุญาตให้เขามาเยี่ยมหลานอีกแล้วแหละ”
หวังผิงถอนสายตากลับมาอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะจ้องมองไปยังเซี่ยโยว่หมิงด้วยความไม่พอใจ “ฉันจับตาดูการทำงานของเธออยู่ เด็กตัวเล็กขนาดนี้จะตบแบบนั้นได้ที่ไหนกัน?”
เซี่ยโยว่หมิงมองไปยังพยาบาลโดยไม่รู้ตัว แต่โชคดีที่พยาบาลคนนั้นมุ่งความสนใจไปที่การดูแลเด็ก จึงไม่ได้สังเกตว่าพวกเขาพูดอะไร
โชคดีที่พวกเขาถูกกั้นด้วยกระจกและประตูในห้องผู้ป่วยหนัก หากพยาบาลได้ยินเข้าก็ไม่รู้เลยว่าเธอจะคิดยังไงกับพวกเขาบ้าง
เขาถอนหายใจอีกครั้ง “คุณช่วยเปลี่ยนวิธีการพูดของคุณหน่อยได้ไหม? คำพูดแบบนี้ของคุณรังแต่จะทำให้คนขุ่นเคืองนะ”
แน่นอนว่าเจตนาที่อยู่ในใจของเธอนั้นดี แต่ทุกครั้งหวังผิงกลับชอบที่จะกล่าวบอกออกมาในแบบที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบ แล้วแบบนี้ใครจะชอบเธอกัน?
ตอนนี้หวังผิงร่างกายอ่อนแอ ห่างไกลจากรัศมีกดดันเฉกเช่นเมื่อก่อน เธอส่งเสียงฮึดฮัดจากจมูก “นิสัยของฉันก็เป็นแบบนี้ มาตอนนี้คุณทนไม่ไหวแล้วสิ? ทำไมคุณไม่ไปเสียตั้งนานแล้วล่ะ?”
เซี่ยโยว่หมิงเห็นว่าเธอเริ่มก่อปัญหาอีกครั้งจึงเอ่ย “ผมไม่มีอะไรที่ทนไม่ไหว แต่คุณเคยคิดถึงความรู้สึกของลูกสาว ลูกเขย และสะใภ้บ้างไหม? เดิมทีผมกังวลว่าลูกสาวของเราจะถูกครอบครัวสามีทำให้น้อยเนื้อต่ำใจ แต่ตอนนี้เมื่อมองดูแล้ว ผมเองต่างหากที่เป็นคนจิตใจต่ำต้อย ผมต้องขอโทษด้วยแล้วกันที่ต้องบอกว่าแม้แต่อาจารย์ปี่ก็ยังปฏิบัติต่อเธอดีกว่าคุณเป็นร้อยเท่าเลย”
“เป็นไปได้ยังไง…” จู่ ๆ เสียงของหวังผิงก็เงียบไป ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย “คุณพูดจริงเหรอ?”
……………………………………………