บทที่ 472 ลูกของเธอไม่น่าจะเลวร้ายนัก
บทที่ 472 ลูกของเธอไม่น่าจะเลวร้ายนัก
ร่างกายของเซี่ยจื่ออี้แข็งอยู่กับที่ ไม่อาจเดินกลับหรือเดินต่อได้
มือของเธอที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวจับกระโปรงไว้แน่น และใช้แรงใจมหาศาลเพื่อควบคุมความเกลียดชังในดวงตาของตน
เซี่ยชิงหยวนทำให้เธออับอายอย่างเปิดเผยจริง ๆ !
เธอหันกลับมาและยิ้มอย่างอ่อนแรง “ขอบคุณคุณนายเสิ่นที่เตือนฉันนะคะ”
จากนั้นทุกคนก็มองหญิงสาวเดินกลับมาทีละก้าว
เฟิงหว่านหยิบตะกร้าบนโต๊ะขึ้นมา พลันยืนขึ้นแล้วยื่นให้เซี่ยจื่ออี้ “ขอบคุณคุณเซี่ยสำหรับวันนี้นะคะ”
เซี่ยจื่ออี้พยักหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอหยิบตะกร้าแล้วจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันมองคนอื่นเลย
เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้น เฟิงหว่านก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจึงยิ้มเยาะ “บ้าอะไร ฉันทนคนแบบนี้ไม่ไหวที่สุดแล้วนะ”
เธอมองไปที่เซี่ยชิงหยวน “คุณไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ผู้หยิงคนนั้นกลับยังทำแบบนั้นอีก ใครไม่รู้คงคิดว่าคุณทำอะไรลงไปแน่”
พอพูดคำสุดท้าย เฟิงหว่านก็มองพวกผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้วยกันแล้วพูดต่อ “พวกคุณก็ใจอ่อนเกินไป ไม่รู้เลยว่ากำลังโดนแสดงละครใส่อยู่ด้วยซ้ำ”
สาว ๆ ทุกคนต่างเห็นด้วยอย่างกระอักกระอ่วน
“คุณนายเสิ่นใจดีเกินไปแล้วค่ะ”
“คุณเซี่ยไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ”
”คราวหน้าต้องระวังให้มากกว่านี้แล้วสิ”
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้หยุดเฟิงหว่านในครั้งนี้ และปล่อยให้เธอระบายความโกรธของตัวเองไป
เฟิงหว่านเห็นการแสดงแบบมากมายตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก และแม่ของเธอก็อ่อนแอเช่นกัน เธอทนทุกข์ทรมานมากมายเมื่อตอนที่ยังเด็ก จึงโกรธเซี่ยจื่ออี้มากยิ่งขึ้น “ไม่มีใครคิดจะขวางเธอหรอกถ้าอยากจะเป็นใหญ่ แค่พยายามทำให้ดีที่สุดด้วยตัวเองซะสิ แต่ทำไมต้องมาทำร้ายคนอื่นแบบนี้ด้วย”
“ฉันเกลียดที่สุดคือคนที่ไม่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและมักจะทำชั่วลับหลังเนี่ยแหละ!”
“ผู้อาวุโสเซี่ยเป็นข้าราชการที่ดีและซื่อสัตย์มาตลอดชีวิต ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมลูกสาวของเขาถึงเป็นแบบนี้ ฉันคิดว่า…”
“เฟิงหว่าน…” เซี่ยชิงหยวนลูบหลังมือของอีกฝ่าย “ฉันเข้าใจว่าคุณอยากจะช่วยฉันระบายความโกรธ ขอบคุณนะคะ”
เซี่ยชิงหยวนพูดขณะใช้สายตาเพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายไม่พูดอีก
ถ้าการพูดมันไปเกี่ยวข้องกับเซี่ยเจิ้งก็ไม่ควรที่จะไปต่อ
เฟิงหว่านเข้าใจและถอนหายใจ “คุณใจดีเกินไปแล้วนะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและไม่พูดอะไร
อันที่จริงในบรรดาผู้หญิงที่อยู่ในเขตที่พักอาศัยไม่มีใครที่ใจดีจริง ๆ หรอก
หากเฟิงหว่านรู้ว่าเธอเคยใช้ประโยชน์จากความคิดเห็นจากสังคมเพื่อเอาชนะเซี่ยจื่ออี้ได้อย่างไร เฟิงหว่านคงไม่พูดว่าเธอเป็นคนใจดีอีกต่อไปแน่
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็รู้สึกดีมากที่ได้รับการปกป้องแบบนี้
เฟิงหว่านเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้เร็วมาก
เธอยิ้มอย่างรวดเร็วอีกครั้ง “อย่าพูดถึงเรื่องที่ไม่มีความสุขเหล่านั้นเลยดีกว่า เรามาพูดถึงเรื่องอื่นกันเถอะ”
ทุกคนที่นั่งอยู่ด้วยขณะนี้ต่างเป็นคนฉลาดและพวกเธอก็เปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว
เมื่อพูดถึงเด็ก ๆ ที่บ้าน เฟิงหว่านถามเซี่ยซิงหยวนว่า “ชิงหยวน ดูท้องของคุณสิ ใกล้กำหนดคลอดแล้วใช่ไหม?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ตอนที่ฉันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเมื่อไม่กี่วันก่อน หมอเองก็บอกด้วยว่าอีกไม่นานแล้วค่ะ”
เธอจับท้องและกังวลเล็กน้อย “ฉันอยากจะคลอดให้เสร็จเร็ว ๆ เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องรู้สึกกังวลอยู่ทุกวัน”
นี่หมายความว่าลูกแฝดจะคลอดก่อนกำหนดไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมถึงไม่มีการเคลื่อนไหวจากลูก ๆ ในท้องของเธอเลยล่ะ?
เดิมทีเธอไม่อยากคิดอะไรมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
พอใกล้ถึงวันครบกำหนดแล้ว เสิ่นอี้โจวยิ่งไม่กล้าเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ เขารีบกลับบ้านเกือบทุกวันหลังเลิกงาน
เฟิงหว่านยิ้ม “อย่ากังวลไปเลยค่ะ เมื่อถึงเวลาเด็ก ๆ จะออกมาพบคุณอย่างไม่มีปัญหาแน่นอน ตอนที่ฉันให้กำเนิดเหนียนซีก็ช้ากว่าวันนัดตั้งหนึ่งสัปดาห์แหนะ”
เซี่ยชิงหยวนถอนหายใจ “ฉันแค่หวังว่าเมื่อถึงเวลา พวกเขาลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง สวยหรือน่าเกลียดก็ไม่สำคัญเลยค่ะ”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนพูดเช่นนี้ พวกเธอทั้งหมดก็หัวเราะ
มีคนพูดติดตลกว่า “ถ้ายึดจากคุณและเลขาธิการเสิ่น เด็ก ๆ จะไม่น่าเกลียดอย่างแน่นอนค่ะ”
“ใช่ค่ะ บางทีพวกเขาอาจจะมีเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงกลุ่มใหญ่วิ่งตามหลังในอนาคตก็ได้นะ!”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มตอบ “ไม่น่าจะถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าเธอกับเสิ่นอี้โจวเป็นคนดี ดังนั้นลูก ๆ ที่พวกเขาให้กำเนิดก็น่าจะไม่เลวร้ายมากนัก
แต่ต่อมาเธอพบว่าตัวเองวางใจเร็วเกินไป
…
เซี่ยจิ่งเยว่ไปที่สำนักงานหมู่บ้านในตอนเช้าเพื่อโทรหากงเหลียนซิน
“อะไรนะ เธอเพิ่งขอลาเหรอ? เธอบอกไหมครับว่าเธอไปไหน?” เซี่ยจิงเยว่เริ่มวิตกกังวลทันที
อีกฝ่ายเป็นเสมียนในร้านที่กงเหลียนซินทำงาน เขาพูดว่า “เธอไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดน่ะ แต่ดูเหมือนว่าเธอลาไปหลายวันแล้วแหละ”
เซี่ยจิ่งเยว่วางสายโทรศัพท์อย่างเร่งรีบ และกลับบ้านเพื่อบอกเซี่ยโยว่หมิงกับหวังผิงเกี่ยวกับเรื่องนี้
เซี่ยโยว่หมิงยังขมวดคิ้ว “มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”
เซี่ยจิ่งเยว่เดินไปรอบ ๆ ห้อง “ผมควรโทรหาบ้านพ่อตาและแม่ยายเพื่อถามดีไหม?”
“ลูกจะรีบโทรไปทำไม?” หวังผิงหยุดเขา “ลูกยังไม่ทันได้รู้เรื่องอะไรเลย การโทรไปหาบ้านพ่อแม่ของเธอแบบนี้มันจะเป็นการทำให้พวกเขากังวลยิ่งขึ้นนะ”
หวังผิงพูดอย่างครุ่นคิด “รอดูไปก่อน เนื่องจากเธอขอลากะทันหัน ดังนั้นควรจะเป็นเรื่องฉุกเฉินอะไรสักอย่าง ถ้ายังไม่มีข่าวพรุ่งนี้ลูกค่อยโทรไปที่บ้านพ่อแม่ของเธอเพื่อสอบถามแล้วกัน”
เซี่ยจิงเยว่รู้สึกว่าหวังผิงพูดถูกและรู้ว่าไม่ควรรีบร้อน เขาจึงตอบว่า “ตามนั้นก็ได้ครับ”
ใบหน้าของหวังผิงดูไร้อารมณ์มาก “ฉันจะไปทำอาหารเช้านะ”
เธอพูดแล้วเดินไปที่ห้องครัว
เซี่ยจิ่งเยว่ถามอย่างลังเล “พ่อครับ แม่ไม่ได้โกรธใช่ไหม?”
พวกเขากำลังจะเดินทางไปมณฑลอวิ๋นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้วไม่ใช่เหรอ?
คราวนี้แผนหยุดชะงักและยังไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับกงเหลียนซินหรือไม่
พวกเขาทำได้เพียงหวังว่าหลานทั้งสองคนของพวกเขาจะไม่ซนออกมาก่อนกำหนดเท่านั้นก็พอ