บทที่ 465 คนที่เป็นผู้ปลูกดอกไม้นี้อยู่ที่ไหนกัน?
บทที่ 465 คนที่เป็นผู้ปลูกดอกไม้นี้อยู่ที่ไหนกัน?
ได้ยินดังนั้น หัวใจของเซี่ยจิ่งเยว่พลันบีบรัดขึ้น “ภรรยา คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง?”
กงเหลียนซินส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความผิดหวัง “เซี่ยจิ่งเยว่ คุณสามารถหลอกตัวเองและคนอื่น ๆ ต่อไปได้เรื่อย ๆ ได้ แต่ฉันไม่”
“เป็นเวลาเกือบแปดปีแล้วที่ฉันแต่งงานกับคุณมา คอยถามตัวเองว่าฉันดีเพียงต่อทุกคนในตระกูลเซี่ยของพวกคุณหรือเปล่า”
“แต่แล้วฉันล่ะ? ฉันได้อะไร?”
“ตั้งแต่ปีที่แล้ว คุณสัญญากับฉันว่าจะพาลูก ๆ ไปอาศัยอยู่ในเมือง จนถึงตอนนี้ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว และทุกครั้งที่ฉันหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา คุณก็จะเอาเรื่องพ่อแม่สุขภาพไม่ค่อยดีมาบิดพลิ้วอยู่เรื่อย”
“ฉันหวังให้คุณจะเข้าใจสักอย่างหนึ่งว่าเราแต่งงานแล้วนะ และมีครอบครัวเล็ก ๆ ของเราเอง คุณต้องดูแลครอบครัวเล็ก ๆ ของตัวเองให้ดีก่อนจึงจะสามารถดูแลพ่อแม่ได้สิ”
“หากคุณจะบอกว่าน้องรองกำลังลำบาก พวกเราจึงมาช่วยดูแลพ่อแม่ก็ไม่มีปัญหา แต่คุณกลับขอให้ฉันวางครอบครัวตัวเองลง แล้วไปช่วยทุกคน ขอโทษที ฉันทำไม่ได้”
“หากคุณต้องการแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ของคุณ ฉันย่อมไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องคัดค้าน แต่หากคุณจะขอให้ฉันเอาตัวเองไปผูกอยู่กับตระกูลเซี่ยเหมือนกับคุณ ฉันเองก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน”
“หรือคุณอยากให้ฉันติดตามคุณไปและใช้ชีวิตอันน่าสับสนมึนงงแบบนี้ไปตลอดชีวิตนี้งั้นเหรอ? นี่คือชีวิตที่คุณสัญญาว่าจะมอบให้ฉันในตอนแรกงั้นเหรอ?”
กงเหลียนซินถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังเอ่ยจบ
ใคร ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันทั้งนั้น อย่างนั้นก็ปล่อยให้เธอเป็นคนเลวเสียเถอะ
ผู้คนต่างคิดว่าชีวิตแต่งงานของเธอนั้นดียิ่ง จึงไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงสร้างเรื่องวุ่นวายแบบนั้น ทว่าสำหรับเธอแล้ว นี่ไม่ใช่การสร้างเรื่องวุ่นวาย แต่เป็นการแสวงหาชีวิตในอนาคตต่างหาก
หากยังคงอาศัยอยู่ในชนบทต่อไป อนาคตในวันหน้าก็แทบจะมองไม่เห็นเสียด้วยซ้ำ พวกเขาคู่สามีภรรยาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินเพื่อทำไร่ทำนาทำมาหากิน ลูก ๆ ของพวกเขาจะต้องลำบากตรากตรำ ซ้ำยังจะเดินรอยตามพวกเขาเสียอีก
เธอไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นแม่พระ เธอแค่อยากพยายามอย่างหนักเพื่อลูก ๆ ของเธอในตอนที่ตัวเองยังมีแรงจะสู้
เซี่ยจิ่งเยว่ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์นิ่งเงียบอยู่นาน
เขาคิดว่านี่คงเป็นถ้อยคำที่อยู่ในใจของกงเหลียนซินมาโดยตลอด
เขารู้สึกราวกับตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขาเป็นลูกคนโตของครอบครัว ย่อมได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กว่าให้ดูแลน้อง ๆ รวมถึงต้องมีความรับผิดชอบในฐานะพี่ใหญ่
ทำให้ในตอนที่เซี่ยจิ่งเฉินยังคงทำงานบนรถไฟ กงเหลียนซินจึงเสนอให้ย้ายไปอยู่ในเมือง แต่เขารู้สึกว่าครอบครัวของน้องชายต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงบอกกับกงเหลียนซินว่าให้รออีกสักหน่อย
ต่อมา เซี่ยจิ่งเฉินหย่าร้างกับภรรยา เขากังวลว่าพ่อแม่จะต้องรับหน้าที่เลี้ยงดูหลานสองคนโดยไม่มีใครดูแล จึงจำต้องยืนกรานว่าให้ชะลอเรื่องย้ายถิ่นออกไปก่อน
กงเหลียนซินเองก็ผลักเรื่องนี้กลับมาอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังนิ่งเงียบมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาระเบิดเอาในครั้งนี้
เขารู้สึกเสียใจต่อภรรยาและลูก ๆ รวมถึงพ่อแม่ของเขา และไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
ปากของเขาเอ่ยพึมพำว่า “เหลียนซิน ผมขอโทษ”
กงเหลียนซินเมื่อได้ยินคำขอโทษของเขาก็พลันรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังตายลงอย่างช้า ๆ
เธอยิ้มเยาะออกมาเบา ๆ “ตอนนี้ สิ่งที่คุณเหลือให้ฉันมีเพียงคำว่า ‘ขอโทษ’ ใช่ไหม?”
เซี่งจิ่งเยว่ตกตะลึงกับคำถามนี้ เขาไม่สามารถตอบคำถามของกงเหลียนซินได้อยู่พักใหญ่
เมื่อคืนนี้ หวังผิงมีอาการปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง
เขาพาเธอไปยังสถานีอนามัยเพื่อให้น้ำเหลือ ส่วนเซี่ยโยว่หมิงนั้นอยู่บ้านกับเด็ก ๆ
เขากลับมาพร้อมกับหวังผิงในช่วงกลางดึก เซี่ยโยว่หมิงที่คอยดูแลเด็ก ๆ ก็ผล็อยหลับไปบนเก้าอี้แล้ว
เมื่อมองดูพ่อที่แก่ชราและแม่ที่ป่วยของตัวเอง แล้วเขาจะแล้งน้ำใจได้ยังไง?
เขาก็เคยโน้มน้าวให้เซี่ยโยว่หมิงไปอยู่ในเมืองกับพวกเขาเหมือนกัน แต่หวังผิงกลับไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เซี่ยโยว่หมิงเองก็บอกว่าเขาคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่นี่ ให้พวกเขาสองคนสามีภรรยาไปด้วยกันก็พอ
เมื่อผัดผ่อนไปหนึ่งครั้ง ก็ผัดผ่อนมาเรื่อย ๆ จนถึงจุดนี้
กงเหลียนซินฟังความเงียบงันจากปลายสายแล้วจึงสั่นศีรษะ กลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น ก่อนจะวางสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
เธอปาดน้ำตาแล้วเดินออกจากตู้โทรศัพท์ จากนั้นจึงก้าวไปตามทางที่แสงแดดสาดส่อง
พรุ่งนี้เป็นเทศกาลโพสุ่ยเจี๋ยหรือสงกรานต์ คาดว่าที่ร้านก็น่าจะยุ่งอยู่พอควร เธอควรรีบทำงานของวันนี้ให้เสร็จสิ้น จะได้กลับไปพักให้เร็วสักหน่อย
…
ในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคมตามปฏิทินของชนเผ่าไตคือเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งโดยปกติจะจัดขึ้นหลังเทศกาลเชงเม้งราวสิบวัน
การเฉลิมฉลองนั้นกินเวลาสามถึงเจ็ดวัน โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การสาดน้ำ การไปตลาดนัดก๋านไป๋ แข่งเรือมังกร สรงน้ำพระ สวดมนต์ การแสดงร้องเพลงจางฮา การแสดงระบำนกยูง ระบำช้างเผือก และกิจกรรมอื่น ๆ
ในวันเทศกาลสงกรานต์ ชาวชนเผ่าไตจะแต่งกายตามเทศกาล นำน้ำสะอาดไปที่วัดเพื่อสรงน้ำพระพุทธรูป จากนั้นจึงนำกลีบดอกไม้ที่เก็บมาจากภูเขาใส่ในน้ำ แล้วจึงเริ่มสาดน้ำกัน สายน้ำที่สาดออกไปเปรียบดั่งสัญลักษณ์ของความมงคล ความสุข และสุขภาพที่ดี อีกทั้งหยดน้ำที่ใสเป็นประกายบนมือของคนหนุ่มสาวยังเป็นสัญลักษณ์ของความรักอันหอมหวานอีกด้วย
บนท้องถนน นอกจากชาวชนเผ่าไตแล้ว แม้แต่ชาวฮั่นเองก็เข้าร่วมในขบวนแห่สาดน้ำด้วยเช่นกัน ทุกพื้นที่เต็มไปน้ำที่ชำระบาปและพรจากสายน้ำ ก่อให้เกิดทะเลแห่งความสุข
เซี่ยชิงหยวนฟังเสียงอึกทึกจากภายนอก พลางวางปากกาลง แล้วเอ่ยกับพนักงานในร้านว่า “พวกเธอเองก็ออกไปร่วมสนุกเถอะ ไม่ได้ต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันหรอก”
เมื่อพนักงานทั้งสองได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งออกไปด้วยท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยความเบิกบานใจในทันที แต่ยังไม่ทันจะฝ่าเข้าไปในฝูงชนก็ถูกผู้คนที่ตาแหลมคมมือว่องไวสาดน้ำใส่เข้าเสียแล้ว พวกเธอไม่ได้สนใจอะไร ต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เซี่ยชิงหยวนเดินมาที่หน้าต่างกระจกของร้านเพื่อมองดูบรรยากาศที่คึกคักด้านนอก มุมปากของเธอก็อดไม่ได้ที่จะยกขึ้นเล็กน้อย
ลูกที่อยู่ในท้องของหญิงสาว บางทีอาจสัมผัสได้ถึงความครึกครื้นจึงเตะท้องเธอ
ไม่รู้ว่าเด็กน้อยคนไหนที่เตะแรงนักจนทำขึ้นรอยให้เห็นบนหน้าท้อง ทำเอาเซี่ยชิงหยวนพลันส่งเสียง “อืม!” ต่ำ ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
เธอเอื้อมมือไปวางยังจุดที่ขึ้นรอยเมื่อครู่นี้ และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นเด็กสองคนที่ซนจริง ๆ เลย”
ในทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มนเผ่าไตคนหนึ่งก็วิ่งมาทางเธอเพื่อหลบเลี่ยงน้ำที่สาดกระเซ็น
เขาหยุดลงอย่างแรงที่หน้าร้านจนเกือบจะชนเข้ากับดอกฟู่หลางที่เซี่ยชิงหยวนย้ายไปไว้ข้างกำแพง
เซี่ยชิงหยวนก็ตกใจมากจนเกือบจะกรีดร้องออกมา โชคดีที่ชายหนุ่มสามารถค้ำมือของเขาไว้กับกระจกได้ทัน
เมื่อเขาชายตาขึ้นมองเซี่ยชิงหยวน ดวงตาของเขาฉายแววตกตะลึงระคนประหลาดใจ จากนั้นจึงมองไปยังท้องของเธอ ก่อนที่เขาจะยกยิ้มเพื่อเป็นการขอโทษเธอแล้ววิ่งหนีไปอีกครั้ง
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังดอกฟู่หลางที่อยู่ตรงหน้าต่างกระจกก็ใจลอยไปชั่วขณะ
ดอกฟู่หลางในตอนนี้นั้นแตกใบใหม่มากมาย เหมือนปวยเล้งสีเขียวขจี และหญิงสาวแน่ใจว่าอีกไม่นานก็จะเติบโตเป็นดอกตูมของฟู่หลางให้ได้ยลโฉม
เพียงแต่ช่วงเวลาที่ดอกไม้จะบานนั้นไม่ไกลจากนี้นัก ทว่าคนที่เป็นผู้ปลูกดอกไม้นี้อยู่ที่ไหนกันนะ?