บทที่ 460 ถูกจับตัว
บทที่ 460 ถูกจับตัว
ในระหว่างรับประทานอาหาร สามีภรรยาชราเพิ่งรู้ว่าเซี่ยชิงหยวนทำธุรกิจเสื้อผ้า และพวกเขาต่างก็ชื่นชมความสามารถของเธอ
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “สิ่งที่ฉันทำนั้นไม่ใช่อะไรเลยค่ะ เพียงแค่ฉันตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องของประเทศเท่านั้นเอง”
“ความเสียใจที่ใหญ่ที่สุดของฉันคือ ไม่สามารถเรียนต่อหลังจากจบมัธยมปลายได้น่ะสิคะ”
“ดังนั้นตอนนี้ฉันจึงกำลังพยายามเรียนด้วยตัวเอง และสามีของฉันก็คอยสนับสนุนอยู่ข้าง ๆ เพื่อดูว่าฉันจะเติมเต็มความฝันของตัวเองในการเรียนในมหาวิทยาลัยได้ไหม”
เติ้งจือหางยกนิ้วให้เซี่ยชิงหยวนและพูดว่า “แค่เธอมีความคิดแบบนี้ ฉันก็สนับสนุนแล้ว”
เสิ่นอี้โจวก็วางตะเกียบลงและมองไปยังเซี่ยชิงหยวนอีกสองสามครั้ง
เดิมทีเขาคิดว่าการอ่านเป็นสิ่งที่เธอทำเพื่อฆ่าเวลา แต่โดยไม่คาดคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เธอทำเพราะมีจุดประสงค์
เธอมีความฝันที่เขาไม่รู้มากแค่ไหนกันแน่?
ชายหนุ่มพลันรู้สึกผิดหวังในตัวเอง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเขารู้สึกเสียใจและเป็นทุกข์ที่เธอไม่สามารถเรียนหนังสือได้ในอดีต
แม่เฒ่าเติ้งยังพูดอีกว่า “ตาเฒ่า คุณไปเอาหนังสือทบทวนมาให้ฉันชุดหนึ่งทีสิ เพื่อเป็นการแสดงการสนับสนุนของคุณไง”
เติ้งจือหางตบต้นขาของเขาดังป๊าบแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ฉันมีหนังสือพวกนั้นหลายเล่มเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะให้ชุดที่สมบูรณ์ให้นะ”
เซี่ยชิงหยวนใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้แล้วพูดว่า “ขอบคุณศาสตราจารย์เติ้งและคุณยายเติ้งจริง ๆ ค่ะ”
เธอกะพริบตาไปที่เสิ่นอี้โจวราวกับจะพูดว่า ‘เป็นยังไงบ้าง ฉันไม่เลวใช่ไหม?’
เสิ่นอี้โจวยิ้มให้เธอและไม่พูดอะไรเลย
…
ฉู่ซิงอวี่ซื้อตั๋วรถไฟไว้ที่รอบบ่าย เซี่ยชิงหยวนก็คิดถึงคำพูดที่เธอบอกเหล่าไต้ล่าสุดว่าก่อนจากกัน ตนกับเสิ่นอี้โจวจะเลี้ยงอาหารเขา หญิงสาวจึงนัดกับเหล่าไต้ก่อนออกเดินทาง
เธอคิดว่าเหล่าไต้จะสวมรองเท้าแตะมาเหมือนเช่นเคย
โดยไม่คาดคิด เหล่าไต้ไปหาชุดสูทมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เขาผูกเนกไท ทาน้ำมันบนผม และเหน็บกระเป๋าหนังไว้ใต้วงแขนดูราวกับเศรษฐียุคใหม่
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนกระตุกทันทีเมื่อเห็นเขาเช่นนี้
เสิ่นอี้โจวยิ้มแย้ม “นี่คือเหล่าไต้งั้นเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวน “ใช่…”
เธออยากจะวิ่งหนีไปตอนนี้จริง ๆ จะทำยังไงดีเนี่ย?
เหล่าไต้ยื่นมือออกไปหาเสิ่นอี้โจวอย่างโอ่อ่า “สวัสดีครับ!”
เสิ่นอี้โจวทักทายกลับโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “สวัสดีครับ”
จากนั้นเหล่าไต้ก็พูดกับพนักงานเสิร์ฟ “น้อง! เอาอาหารที่แพงที่สุดทั้งหมดในร้านมาให้ฉันหน่อย!!”
พอเห็นแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “เหล่าไต้ ช่วยทำตัวเป็นปกติทีเถอะ”
เหล่าไต้ “…”
เขาถามเซี่ยชิงหยวนกลับด้วยเสียงเบา “อะไร คิดว่าฉันกำลังแสดงอยู่รึไง?”
เซี่ยชิงหยวนเหนื่อยใจ “ไม่รู้ตัวเลยรึไงว่ากำลังทำตัวเหมือนพวกคนถูกหวยเพิ่งเคยมีเงินน่ะ!”
เหล่าไต้ “…”
เขาอยากจะลูบผมซึ่งเป็นนิสัย แต่เมื่อจำได้ว่าทาน้ำมันไว้ก็รีบห้ามตัวเอง “ปัดโธ่ ฉันแค่พยายามรักษาหน้าให้เธอไม่ใช่เหรอ? ฉันต้องทำให้สามีของเธอเห็นสิว่าคู่หูที่มักจะติดต่อกับเธอเป็นคนมีน้ำใจดีแค่ไหนน่ะ!”
เขารู้จากเซี่ยชิงหยวนว่าเสิ่นอี้โจวเป็นข้าราชการระดับสูงของมณฑล ต่อหน้าคนแบบนี้ ถ้าเขาใส่เสื้อผ้าธรรมดา ๆ มา เขาคงถูกมองอย่างดูถูกใช่ไหม?
เหล่าไต้จึงคิดใส่ชุดสูทนี้ที่ยืมมาจากลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วยซ้ำ
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นฉันควรจะขอบคุณใช่ไหมเนี่ย?”
เหล่าไต้หมดความปรารถนาที่จะแสร้งทำต่อและพูดว่า “ก็ได้ ๆ ลืมมันไปซะเถอะ”
เสิ่นอี้โจวกล่าวขึ้น “ผมมักจะฟังชิงหยวนพูดถึงคุณอยู่บ่อย ๆ ว่าคุณไม่เพียงแต่มีความเฉียบแหลมทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการออกแบบเสื้อผ้าด้วย”
เมื่อเหล่าไต้ได้ยินสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกมีความสุขและพูดตอบกลับโดยไม่รู้ตัว “ไม่ ไม่ ผมไม่กล้าอวดอ้างตัวเองขนาดนั้นหรอก เลขาธิการเสิ่นต่างหากที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเป็นถึงข้าราชการระดับสูง…”
เหล่าไต้ชะงักกะทันหันไม่รู้จะใช้คำไหนต่อดี
เซี่ยชิงหยวน “…”
เธอใช้มือปิดหน้าตัวเองและเริ่มกินอาหารอย่างจริงจัง
เซี่ยชิงหยวนกินของตัวเอง ส่วนเหล่าไต้นั้นเธอจะปล่อยให้เขาทำตามที่อยากจะทำไป
หลังอาหาร เหล่าไต้ดึงเซี่ยชิงหยวนออกไปแล้วพูดว่า “สามีของเธอยอดเยี่ยมมากจริง ๆ ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม เขาสามารถพูดคุยตอบโต้ได้หมดเลย”
เขาพูดโอ้อวดมากจนหลายครั้งไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ แต่เสิ่นอี้โจวก็คอยช่วยพูดเปลี่ยนเรื่องอย่างรู้จังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงความลำบากใจ
ไม่สามารถเล่นตลกกับคนที่อยู่ในตำแหน่งระดับสูงได้จริง ๆ
เซี่ยชิงหยวนเหลือบมองเขา “นั่นคือเหตุผลที่ฉันบอกว่าอย่าแสร้งทำไง!”
เหล่าไต้เอามือปิดหน้าตัวเอง “ฉันผิดไปแล้วจริง ๆ”
…
เติ้งจือหางไม่ผิดคำพูดเลยแม้แต่น้อยกับสิ่งที่เขาสัญญาไว้เมื่อคืนก่อน เขาส่งชุดหนังสือให้เซี่ยชิงหยวนในวันรุ่งขึ้นก่อนที่พวกเธอจะจากไป
คนที่มาส่งหนังสือให้นั้นเป็นนักศึกษาของเติ้งจือหาง อีกฝ่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ศาสตราจารย์เติ้งบอกให้ผมเรียกคุณว่า ‘รุ่นพี่หญิง’ อาจารย์ฝากคำพูดมาด้วยครับ เขาหวังว่าจะได้เห็นชื่อของรุ่นพี่หญิงในใบแจ้งการรับเข้ามหาวิทยาลัยก่อนที่เขาจะเกษียณน่ะครับ”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกกดดัน แต่ก็ยังพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะพยายามให้หนักนะคะ”
ตงวั่งชุนมองอย่างรู้สึกอึดอัดและถามฉู่ซิงอวี่ “คุณนายเสิ่นสนิทกับศาสตราจารย์เติ้งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ฉู่ซิงอวี่ไม่อยากพูดอธิบายอะไรมากนัก “ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
พอเห็นแบบนั้น ตงวั่งชุนก็กัดริมฝีปากและลังเลที่จะพูดต่อ
…
เมืองฮ่องกง
มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกกระท่อมใกล้ชายหาด
ฉีจิ่นจือลุกขึ้นจากเตียงและแตะแผลบาดเจ็บที่เอว
เขากัดฟันและเดินไปเปิดประตู แง้มครึ่งหนึ่งโผล่ออกไปแค่ครึ่งใบหน้าเท่านั้น
ผู้มาเยือนลดปีกหมวกลงแล้วพูดว่า “หัวหน้าไห่สั่งให้คุณไปหา”
ฉีจิ่นจือตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “เข้าใจแล้ว”
เขาเดินตามผู้มาเยือนลงจากภูเขา ขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วขับผ่านถนนไปถึงตรอกในบริเวณร้างผู้คนและถึงบ้านที่หมายในที่สุด
เริ่มตั้งแต่ประตูมีคนเฝ้าประตูทุก ๆ สองสามเมตร เมื่อพวกเขาเห็นฉีจิ่นจือ สีหน้าดุร้ายบนใบหน้าของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
ฉีจิ่นจือเดินไปจนสุดทาง โดยมีชายคนหนึ่งซึ่งมีรอยแผลเป็นบนใบหน้าถือธูปสามดอกและกำลังบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
พอหนึ่งในลูกน้องเห็นฉีจิ่นจือก็พูดออกมา “หัวหน้าไห่ครับ พี่โจวมาถึงแล้วครับ”
ชายที่ได้ชื่อว่าไห่เยี่ยหันกลับมานั่งบนเก้าอี้ไม้ลูกแพร์ตรงกลางห้องโถง มองที่ฉีจิ่นจือด้วยสายตาเย็นชาแล้วพูดว่า “เมื่อวานนี้แก๊งจับผู้ชายคนหนึ่งที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แอบมองเราได้ เราทุบตีมันจนเจียนตายแต่ปากมันแข็งมาก วันนี้ฉันเรียกนายมาที่นี่เพราะบางทีนายอาจรู้อะไรเกี่ยวกับชายคนนั้นบ้างก็ได้น่ะ”
หลังจากพูดจบเขาก็กระดิกนิ้วสั่งคนของตนให้ลากชายคนหนึ่งที่ร่างกายอาบเลือดเข้ามา
หัวใจของฉีจิ่นจือเต้นรัวทันทีเมื่อได้ยินว่าไห่เยี่ยบอกว่าจับใครบางคนได้
เมื่อบุคคลนั้นถูกลากเข้ามาและฉีจิ่นจือเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยเลือด เขาก็ตกใจมากจนเกือบเสียอาการ!
……………………………………………