บทที่ 438 ถ้าอย่างนั้นก็อย่าให้เธอรู้สิ
บทที่ 438 ถ้าอย่างนั้นก็อย่าให้เธอรู้สิ
ฉีจิ่นจือลืมตาขึ้น เหลือบมองพ่อของเขาแล้วพูดเบา ๆ ว่า “นี่คือใบสมัครที่ผมยื่นให้คณะกรรมการพรรคมณฑลยูนนานและรัฐบาลมณฑล ซึ่งจะส่งต่อไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ในเมืองหลวงและกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของเมืองหลวง ตราบใดที่ผมมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขและผ่านการคัดกรอง คุณก็ไม่มีอำนาจที่จะหยุดผมได้”
เมื่อเห็นฉีจิ่นจือมีความมุ่งมั่นอย่างมาก ฉีหยวนซานก็รู้สึกตื้อชาทั้งร่างกาย
เขาระงับอารมณ์และถามว่า “เอาละ บอกฉันหน่อย ทำไมถึงอยากเข้าร่วมกองพลสอดแนม?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของฉีจิ่นจือก็ผ่อนคลายลงในที่สุด
เขายิ้มราวกับล้อเลียนตัวเอง “เพราะว่าผมก็อยากเป็นคนดีเหมือนกัน”
คำพูดของเขาทำให้ฉีหยวนซานตกตะลึงเป็นเวลานาน
เมื่อขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ มือของเขาเปื้อนเลือดทั้งจากของศัตรูและสหาย
บางทีมันอาจจะเป็นเวรกรรม ลูกชายคนโตที่ซื่อตรงของเขาเสียชีวิตในภารกิจเพื่อประเทศ และลูกชายคนเล็กที่เพิ่งเจอตัวกลับเป็นพวกอันธพาลข้างถนน
เขารู้สึกรังเกียจอย่างยิ่งกับสิ่งที่เจอและพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลบประวัติแย่ ๆ ทุกอย่างเกี่ยวกับลูกชายคนเล็กของเขา แต่วันหนึ่งลูกชายคนเล็กกลับบอกว่าอยากจะเป็นคนดีจริง ๆ
เขาหลับตาและหายใจเข้าลึก ตอนนี้ใบหน้าของเขาราวกับแก่ขึ้นหลายปีในทันที
เขาหันหลังกลับและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ขอฉันคิดดูก่อนสักสองสามวัน”
ฉีจิ่นจือรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะได้คำตอบในวันนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรอีกต่อไป
หลังจากกล่าวลา เขาก็เปิดประตูแล้วออกไป
…
วันต่อ ๆ มา ฉีจิ่นจือไปกินมื้อเย็นที่บ้านตระกูลเสิ่นเกือบทุกวัน
บางครั้งเขาเล่นกับเสิ่นอี้หลิน บางครั้งเขาก็มองดูเซี่ยชิงหยวนในห้องครัวอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของเขาลุ่มลึกราวกับว่าต้องการที่จะสลักเหตุการณ์ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเข้าไปในใจ
เซี่ยชิงหยวนล้อเลียนเขาว่า “พี่ใหญ่มาที่นี่ทุกวันเลย ไม่กลัวว่าผู้อำนวยการฉีจะโกรธอีกเหรอ?”
ฉีจิ่นจือส่ายหัว “ฉันได้อธิบายให้เขาเข้าใจแล้ว เพราะงั้นมันจะไม่มีการเข้าใจผิดกันอีก”
วันหนึ่งเมื่อฉีจิ่นจือเข้ามา เซี่ยชิงหยวนกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้โยกในสนาม เธอก้มหน้าลงและลูบท้องของตัวเอง พลางยิ้มเบา ๆ ขณะที่ฮัมเพลงไปด้วย
ตั้งแต่ตั้งครรภ์ สีหน้าของเธอก็อ่อนโยนขึ้นและดูเปล่งประกายของความเป็นแม่
ฉีจิ่นจือได้ยินเพลงคุ้นเคย ‘สะพานยาย(外婆桥)’ ร้องเป็นสำเนียงเซี่ยงไฮ้
เขย่าแล้วสั่น เขย่าแล้วสั่น
เขย่าไปที่สะพาน
ยาย ยายเรียกฉันว่าเด็กดี
ซื้อกิ้งก่าแล้วเผา
หัวไม่สุก และหางไหม้ไฟ
ยกหางแล้วเผาอีกครั้ง
หลานชายจะสนุกกับการกินมัน
…
เพลงกล่อมเด็กนี้ครั้งหนึ่งเคยถูกฮัมโดยโจวโม่เมื่อตอนที่เธอยังไม่ได้เสียสติ
ด้วยการฮัมเพลงของเซี่ยชิงหยวน ความทรงจำดี ๆ บางอย่างเกี่ยวกับโจวโม่ก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขา ฉีจิ่นจือยืนอยู่ที่ประตูบ้านอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองและเห็นเขา เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน “ศิษย์พี่ใหญ่?”
ฉีจิ่นจือกลับมาได้สติอีกครั้งและต้องการถามว่าเซี่ยชิงหยวนเรียนสำเนียงเซี่ยงไฮ้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าเซี่ยชิงหยวนเคยพูดว่าคุณยายของเธอเป็นคนที่มาจากเซี่ยงไฮ้
เขาหยิบถุงเมล็ดพืชออกมาจากกระเป๋าแล้วพูดว่า “นี่คือดอกฟู่หลางน่ะ”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกประหลาดใจ “พี่เอามันมาจากไหนเนี่ย?”
เธอบังเอิญพูดถึงมันโดยไม่ได้ตั้งใจในระหว่างการสนทนาบนโต๊ะอาหารเมื่อวันก่อน และวันนี้ฉีจิ่นจือก็เอามันมาให้เธอเสียแล้ว
ฉีจิ่นจือยิ้ม “บังเอิญมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่มีอยู่ ฉันก็เลยขอแบ่งจากเขามาน่ะ”
สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ผิด แต่กว่าเขาจะขอแบ่งมาได้ก็ต้องผ่านปัญหามากมายเพื่อให้ได้มาไม่น้อย
เซี่ยชิงหยวนไม่สงสัยและยิ้ม “ขอบคุณค่ะ ฉันชอบมันมากเลย”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเธอ ฉีจิ่นจือก็ยิ้มอย่างเต็มที่
เขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มของเธอแบบนี้อีกแล้ว ช่างน่าเสียดายจริง ๆ
เซี่ยชิงหยวนเห็นดวงตาของเขาเหมือนมีน้ำตาคลอ จึงเอ่ยถาม “พี่เป็นอะไรไป?”
ฉีจิ่นจือหันหลังกลับ พลันซ่อนอารมณ์ของเขาไว้แล้วพูดว่า “มีฝุ่นเข้าตาเมื่อกี้นี้น่ะ”
เซี่ยชิงหยวนมองไปรอบ ๆ และเห็นว่ามีใบไม้ที่ปลิวไปตามลม ลมฤดูใบไม้ผลิค่อนข้างแรง เธอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “อืม มีลมแรงนิดหน่อยจริงด้วย”
ฉีจิ่นจือก้าวเข้ามา “เธออยากปลูกดอกไม้นี้ที่ไหนล่ะ ฉันจะปลูกให้เอง”
ฤดูใบไม้ผลิเป็นเวลาที่เหมาะสมในการปลูกดอกฟู่หลาง
เซี่ยชิงหยวนดึงสติกลับมาอีกครั้ง “ฉันว่าจะแบ่งปลูกในสวนและแบ่งเอาไปปลูกที่ประตูร้านด้วยน่ะ”
ป้าอู๋ที่แถวนั้นยิ้มและพูดว่า “ฉันเพิ่งพรวนดินในสนามด้านหน้านี่เลยค่ะ เมื่อสองวันก่อนคุณผู้หญิงกำลังกังวลอยู่เลยว่าจะปลูกอะไร”
ฉีจิ่นจือยิ้มแล้วพูดว่า “ตกลง”
เขาถอดเสื้อคลุมออก พับแขนเสื้อขึ้นก่อนจะขุดหลุมเล็ก ๆ ด้วยจอบอันเล็ก โรยเมล็ดพันธุ์ แล้วฝังไว้ด้วยชั้นดินบาง ๆ
เมล็ดพันธุ์ก็เหมือนกับหัวใจที่โดดเดี่ยวและแห้งแล้งของเขา ทำได้เพียงปกป้องพวกมันไว้อย่างเงียบ ๆ ด้วยวิธีนี้เท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนมองด้วยความอยากจะทำเอง แต่เธอก็รู้ว่าฉีจิ่นจือจะไม่ปล่อยให้เธอทำอะไรแน่ จึงพูดว่า “วันนี้อยู่กินข้าวเย็นที่บ้านก่อนเถอะ มีกุ้งกระจกที่พี่ชอบด้วยนะ ส่วนอี้โจวเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว พี่กับเขาจะได้คุยเล่นกันด้วยไง”
ฉีจิ่นจือพยักหน้า “เอาสิ”
…
หลังอาหารเย็น เสิ่นอี้โจวและฉีจิ่นจือคุยกันในห้องหนังสือตามปกติ
“นายจะไปอยู่กองพลต่อต้านยาเสพติด?” เสิ่นอี้โจวขมวดคิ้วและด้วยความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปเพราะอีกฝ่ายกับภรรยาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ทั้งเสิ่นอี้โจวและฉีจิ่นจือจึงพูดคุยอย่างเป็นกันเองมากขึ้น
ฉีจิ่นจือพยักหน้า “ฉีหยวนซานยอมอ่อนข้อแล้วน่ะ คาดว่าอีกไม่นานคำสั่งโอนย้ายจะออกมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแน่”
เสิ่นอี้โจวขมวดคิ้วขึ้น “ช่วงเวลานี้การไปที่นั่นมีโอกาสรอดน้อยมากเลยนะ”
มณฑลยูนนานตั้งอยู่ชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศติดกับเวียดนาม ลาว พม่า ตามแนวชายแดนยาวโดยพื้นฐานแล้วไม่มีเส้นกั้นทางธรรมชาติ ชายแดนบางจุดมีเพียงสันทุ่งหรือลำธารที่เป็นเขตแดนเท่านั้น นับเป็นทางสะดวกของพวกโจรมาก
สามเหลี่ยมทองคำตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มน้ำและล้อมรอบด้วยภูเขา มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และเป็นเรื่องยากมากที่บุคคลภายนอกจะพิชิตได้ เจ้าพ่อค้ายาได้เงินจำนวนมากจากการขายยา ใช้เงินซื้ออาวุธและอุปกรณ์ ชาวบ้านส่วนใหญ่หาเลี้ยงชีพจากสิ่งนี้ ทหารและพลเรือนเอื้อประโยชน์กันและค่อย ๆ กลายเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครสนใจ
อิทธิพลของสามเหลี่ยมทองคำแทรกซึมและแพร่กระจายมายังแผ่นดินใหญ่ของประเทศผ่านมณฑลยูนนาน โดยถือว่าประเทศเป็นตลาดที่กว้างใหญ่ มีการพยายามปลูกฝิ่นจำนวนมากในมณฑลยูนนานด้วย สถานการณ์ตอนนี้รุนแรงมาก
ดังนั้นกองพลสอดแนมต่อต้านยาเสพติดแห่งกระทรวงความมั่นคงสาธารณะมณฑลสิบสองปันนา จึงได้ออกใบสมัครกำลังพลและก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1982 โดยถือเป็นกองพลต่อต้านยาเสพติดกองพลแรกที่ก่อตั้งขึ้นในจีนใหม่
ฉีจิ่นจือยิ้มและพูดว่า “ฉันเป็นลูกผู้ชายไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างฉันยังเป็นข้าราชการของประเทศด้วย ยิ่งกว่านั้น ด้วยตัวตนก่อนหน้านี้ของฉัน มันก็เหมาะสมที่สุดแล้วใช่ไหมล่ะ?”
โจวจิ่นจือคือหัวหน้าแก๊งของเมืองกว่างโจวผู้โหดเหี้ยม เขาสามารถสร้างเรื่องราวว่าตัวเองถูกตามล่าโดยศัตรูและแอบซ่อนตัวจนต้องหนีไปสามเหลี่ยมทองคำได้ ด้วยวิธีนี้ จะง่ายกว่ามากที่จะได้รับความไว้วางใจจากผู้คน
เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกใต้ดินมาถึงยี่สิบสี่ปี และเขาคิดว่าคงจะอยู่แบบนั้นไปตลอดชีวิต
แต่หลังจากที่เขาได้พบกับเซี่ยชิงหยวน เสิ่นอี้โจว และพบปี่เหลาซานกับปี่ฟู่หมาน สิ่งนี้ก็ทำให้เขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ปี่เหล่าซานพูดในคืนนั้นเมื่อเมา มันทำให้เขาคิดว่าเขาอยากจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนดียิ่งขึ้นด้วยนามของโจวจิ่นจือ
เสิ่นอี้โจวมองฉีจิ่นจืออย่างเงียบ ๆ สักพักโดยรู้ว่าเขาไม่สามารถโน้มน้าวอีกฝ่ายได้ “ถ้าชิงหยวนรู้ ฉันเกรงว่าเธอจะเสียใจนะ”
ฉีจิ่นจือยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าให้เธอรู้สิ”