บทที่ 436 กอดเขาไปซะแล้ว ควรทำยังไงดีล่ะเนี่ย?
บทที่ 436 กอดเขาไปซะแล้ว ควรทำยังไงดีล่ะเนี่ย?
เซี่ยชิงหยวนรู้ดีว่าเผ่ยอิ่งหมายถึงอะไร
เธอยิ้ม “เพราะท้องอยู่มั้งคะ เลยมีความสุขทุกวันเลย”
เธอเอ่ยพลางผายท้องขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณว่าตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ หากถูกกระตุ้นหรือมาวุ่นวาย เธอก็จะไม่อยู่เฉยแน่นอน
เผ่ยเยว่ดึงเผ่ยอิ่งเอาไว้พร้อมขอร้อง “คุณป้าคะ”
เผ่ยอิ่งมองเผ่ยเยว่อย่างขุ่นเคือง ก่อนเอ่ยว่า “เธอน่ะใจอ่อน”
หลังพูดอย่างนั้น ก็เอ่ยกับเซี่ยชิงหยวนว่า “ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแค่คิดว่าลูกชายที่ไร้ความสามารถของฉันมักจะวิ่งโร่ไปที่บ้านของคุณอยู่เสมอ มันไม่ค่อยรื่นหูนักเมื่อได้ยินเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป”
“งั้นเหรอคะ?” เซี่ยชิงหยวน ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้ผ่านการเห็นชอบจากผอ.ฉีหรอกแล้วเหรอคะ? หากเป็นเรื่องที่ผอ.ฉียอมรับ แล้วยังจะมีใครกล้านินทาอีก คุณนายฉีไม่คิดอย่างนั้นเหรอคะ?”
เดิมทีเผ่ยอิ่งไม่ได้ต้องการตีตนเป็นศัตรูกับเซี่ยชิงหยวน เธอเพียงเห็นว่าสามีภรรยาคู่นี้มีความสัมพันธ์อันดีกับฉีจิ่นจือ จึงต้องการจะทำให้พวกเขาแตกแยกไปซะ
อีกทั้งหญิงสาวเองกำลังตั้งครรภ์ ถ้าหล่อนโกรธขึ้นมาจนเกิดเป็นเหตุร้าย เสิ่นอี้โจวต้องตามมาคิดบัญชีกับตนแน่
เผ่ยอิ่งบึนปาก ก่อนเอ่ย “ฉันก็แค่เตือนคุณนายเสิ่น ถ้าคุณนายเสิ่นไม่ชอบฟัง ก็ทำเป็นว่าฉันไม่ได้พูดถึงมันก็แล้วกันค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันเองก็ขอพูดกับคุณนายฉีสักประโยค กว่าจะหาตัวลูกชายเจอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จงปฏิบัติต่อเขาอย่างดี หรืออย่างน้อยก็อย่าสร้างเรื่องลำบากวุ่นวายให้เขาไปทุกที่เลยค่ะ เพราะถึงยังไง ในอนาคต คุณและผอ.ฉีก็ล้วนต้องพึ่งพาเขา คุณนายฉีว่าจริงหรือไม่คะ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าให้เผ่ยเยว่ภายใต้การจ้องมองด้วยแววตามืดครึ้มจากเผ่ยอิ่ง หญิงสาวเอ่ยต่อว่า “ฉันยังมีเรื่องที่บ้านที่ต้องไปจัดการ คงไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนพวกคุณ คุณเผ่ย หากมีเวลาว่างก็มาสังสรรค์ที่บ้านของฉันได้นะคะ”
หลังเอ่ยจบ เธอก็รีบหันหลังและเดินจากมา
อารมณ์ของเธอก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน จะมาลงมือเล่นงานเธอทำไม?
ก่อนหน้านี้เธอไม่มีตำแหน่งหน้าที่จะไปพูดอะไรให้ฉีจิ่นจือ แต่ตอนนี้ชายหนุ่มเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเธอ ในเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาหาเธออีก แน่นอนว่าเธอย่อมไม่สามารถกล้ำกลืนความเจ็บช้ำไว้ได้
ไม่ว่าฉีจิ่นจือจะไม่ชอบตระกูลเผ่ยมากเพียงใด แต่ถึงยังไงเผ่ยอิ่งก็ถือว่าเป็นแม่ของเขา ด้วยนิสัยของฉีจิ่นจือ เขาย่อมไม่ทำอะไรเธอ แต่หากทั้งสองคนสามารถเข้ากันได้ บางทีเผ่ยอิ่งอาจจะยังสามารถใช้ชีวิตวัยชราของเธอได้อย่างสงบสุข
เรื่องนี้ล้วนเป็นความผิดของฉีหยวนซานทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวอะไรกับฉีจิ่นจือ และแม้แต่เผ่ยอิ่งเองก็เป็นคนน่าสงสารที่ถูกหลอกลวงคนหนึ่งเช่นกัน
เธอเพียงหวังว่าเผ่ยอิ่งจะไตร่ตรองเรื่องนี้ได้โดยเร็ว และเลิกมองฉีจิ่นจือด้วยความโกรธ หน้าตาบูดเบี้ยวไม่น่าดูเสียที
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ดีไม่น้อย จึงฮัมเพลงไประหว่างทางที่กลับบ้าน
ด้านหลังของเธอ เผ่ยอิ่งชี้ไปยังแผ่นหลังของเซี่ยชิงหยวน และพูดกับเผ่ยเยว่ว่า “หึ นี่คือคุณนายเสิ่นที่เธอบอกว่าเป็นปัญญาชนทั้งมีคุณธรรมสูงส่ง ควรคู่กับมิตรภาพอันแน่นแฟ้นงั้นสิ?”
สีหน้าของเผ่ยเยว่ดูลำบากใจ “คุณป้าคะ หนูคิดว่าคุณนายเสิ่นพูดถูกนะคะ”
วันนี้เป็นเผ่ยอิ่งเป็นฝ่ายเข้าไปยั่วยุเซี่ยชิงหยวนก่อน และเซี่ยชิงหยวนเองก็ไม่ได้พูดอะไรที่เกินไป
การอาศัยอยู่ในตระกูลฉีโดยที่ต้องเห็นสามคนในครอบครัวปฏิบัติต่อกันแบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่ทำให้เธออึดอัดอย่างมาก
“พูดถูกงั้นเหรอ?” เผ่ยอิ่งรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่หลานสาวของเธอไม่เข้าข้างตัวเอง
เผ่ยเยว่รู้ว่านี่เป็นโอกาสที่จะแสดงความคิดเห็นของตน จึงเอ่ยโน้มน้าวว่า “ตั้งแต่ฉีจิ่นจือกลับมา แม้ว่าคุณป้าจะมีท่าทีแบบนั้นกับเขา แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรคุณป้าเลยใช่ไหมคะ? นอกจากหน้าตาที่ดูเย็นชาไปบ้าง หนูคิดว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลย และเป็นไปได้ว่าเมื่อก่อนคุณป้าอาจจะเข้าใจเขาผิดก็ได้”
เผ่ยอิ่งโกรธมากจนจิ้มไปยังหน้าผากของเยวเยว่ “ฉันคิดว่าเธอคงหลงใหลในตัวเขาเข้าแล้วมากกว่า กล้าดียังไงมาพูดแทนเขา!”
เธอไม่ได้ก้าวต่อไป แต่หันหลังและเดินกลับแทน
เผ่ยเยว่ทำได้เพียงไล่ตามไป “คุณป้า”
หญิงสาวคงต้องอดทนไว้อีกสักหน่อย หากมันเป็นไปไม่ได้จริง ๆ เธอก็จะกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อรักษาชีวิตตัวเองจากการถูกบรรยากาศในครอบครัวนี้แช่แข็งจนตาย
…
เดิมทีอาเซียงคิดว่าหากไปพักที่บ้านของเฮ่ออวี้เฟิง เธอจะมีโอกาสได้พบหน้าเขามากขึ้น เพื่อที่เธอจะได้แสดงความเป็นตัวเองออกมา
แต่ความจริงกลับไม่เหมือนที่เธอคิด
เฮ่ออวี้เฟิงออกไปข้างนอกแต่เช้าและกลับบ้านดึก เขายุ่งมากเสียจนไม่ได้พบใคร แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือตัวเธอเองกลับยุ่งกว่าเขาเสียอีก
ในตอนเช้าตรู่ ออกไปดูนิทรรศการกับเหล่าไต้ ตามเขาไปยังโรงงานต่าง ๆ ทั้งยังไปเดินสำรวจรอบ ๆ โรงงานทอผ้าในฝอซาน เมื่อพวกเขากลับมา ถ้าไม่ใช่เพราะเฮ่ออวี้เฟิงยังไม่กลับมา ก็คงเป็นเธอที่เหนื่อยมากจนเผลอหลับไป
สิ่งที่เธอต้องชื่นชมเกี่ยวกับเหล่าไต้ก็คือแม้ว่าเขาจะหมุนไปมาเหมือนลูกข่างในทุกวัน แต่เขายังคงเต็มไปด้วยพลัง
เหล่าไต้กล่าวว่า “พี่สาวเซี่ยของเธอโทรหาฉันในวันส่งท้ายปีเก่าและชักชวนให้ฉันร่วมหุ้นด้วยน่ะ เธอรู้ไหมว่าการเป็นผู้ถือหุ้นหมายความว่ายังไง? นี่เป็นสำนวนการพูดของคนต่างชาติเลยนะ แต่เธอก็พูดถูกเช่นกัน ในชีวิตคนเราจะต้องต่อสู้เพื่ออุดมคติของตัวเองอยู่เสมอ เพราะแบบนี้ฉันถึงจะติดตามเธอไปตลอดชีวิตไงล่ะ”
อาเซียงกินบะหมี่คำใหญ่ ก่อนเอ่ยว่า “ฉันเองก็จะติดตามพี่เซี่ยไปตลอดชีวิตเหมือนกันค่ะ”
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มุมมองชีวิตของเธอได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง อีกทั้งความรู้สึกอยากเพิ่มคุณค่าและปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนพลันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเธอ
หญิงสาวซดน้ำซุปแล้วเอ่ย “พี่เซี่ยเป็นแบบอย่างที่ดีของฉันในการเรียนรู้มากเลยค่ะ”
เธอไม่เพียงแต่ต้องเรียนรู้วิธีการตัดเย็บเสื้อผ้าเท่านั้น แต่ยังต้องอ่านและเขียนเพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เสียจนลืมเรื่อง รัก ๆ ใคร่ ๆ ไปชั่วขณะหนึ่ง
เหล่าไต้ตบมือเธอพร้อมรอยยิ้ม “ยอดเยี่ยม!”
อาเซียงรีบกินบะหมี่ในชามให้หมด จากนั้นจึงพูดบอก “ยากนักที่จะได้กลับมาเร็วแบบวันนี้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็แยกย้ายกันเลยนะคะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
หลังเอ่ยจบ หญิงสาวก็วางเงินไว้บนโต๊ะและรีบออกไป
เหล่าไต้ไม่ทันได้โต้ตอบจึงตะโกนไล่หลังไปว่า “เรื่องอะไรกัน รีบร้อนขนาดนี้เลย?”
อาเซียงเอ่ยพร้อมโบกมือโดยไม่หันกลับมา “เรื่องสำคัญค่ะ”
ในยามที่ยุ่งก็ลืมมันไปสิ้น พอมีเวลาว่างก็พลันคิดขึ้นมาได้
ยังมีเจ้าปลาไม้ทึ่มที่รอให้เธอไปปรากฏตัวตรงหน้า เพื่อให้เห็นถึงการมีตัวตนของเธออยู่
ในตอนที่อาเซียงกลับไปถึงบ้านของเฮ่ออวี้เฟิงนั้นก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว
เธอหยิบกุญแจที่คุณแม่เฮ่อมอบให้ออกมาแล้วเปิดประตู พลางสังเกตว่าข้างในไม่มีเทียนจุดอยู่
อาเซียงรีบวิ่งเข้าไป “คุณป้าเฮ่อ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าคะ?”
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงครวญครางเล็กน้อยดังมาจากทางเข้าโรงเก็บฟืน “สาวน้อย ฉันอยู่ตรงนี้”
อาเซียงมองตามไปยังต้นเสียง ก่อนจะเห็นร่างหนึ่งซึ่งนอนอยู่ที่ทางเข้าประตูโรงเก็บฟืนกำลังพยายามเอื้อมมือมาหาเธอ
อาเซียงรีบวิ่งเข้าไป “คุณป้าเฮ่อ เกิดอะไรขึ้นคะ?”
หญิงสาวพยายามช่วยเธอ แต่คุณแม่เฮ่อขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงแล้วร้องโอ๊ยออกมา “แก่แล้วก็ไร้ประโยชน์แบบนี้แหละ ฉันพยายามเข้าครัวไปหยิบฟืน แต่ดันล้ม แล้วลุกไม่ขึ้นน่ะ”
หญิงชราล้มลงมาทับกระดูกก้นกบแล้วพูดว่า “ฉันเจ็บที่บริเวณนี้มากเลย”
ในตอนที่อาเซียงยังเด็ก เธอมักจะเดินตามพ่อของเธอขึ้นไปบนภูเขา ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บและรอยฟกช้ำอยู่บ้าง เธอเกรงว่าท่าทางที่คุณแม่เฮ่อล้มนั้นจะไม่ดีต่อร่างกาย
เธอเอ่ยปลอบโยน “รอฉันสักครู่นะคะ ฉันจะไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านและพาไปโรงพยาบาลค่ะ”
เอ่ยจบก็รีบวิ่งออกไป
คุณแม่เฮ่อต้องการหยุดเธอไว้และบอกว่าแค่ใช้เหล้าดองบีบนวดสักหน่อยก็พอแล้ว แต่ทันทีที่ออกแรง อาการปวดเฉียบพลันก็พุ่งทะลุมาที่บริเวณก้นกบของตนอีกครั้ง
หญิงชราเจ็บปวดมากจึงกัดฟันแน่นจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดได้
…
ในตอนที่เฮ่ออวี้เฟิงมาถึงโรงพยาบาล แพทย์ก็ดูแลรักษาแม่ของเขาเรียบร้อยแล้ว
โดยแพทย์ได้จ่ายยาให้ พร้อมกับให้คุณแม่เฮ่อพักรักษาตัวอยู่ที่โรพยาบาลสองวัน แล้วจึงจะกลับบ้านได้
เฮ่ออวี้เฟิงมองไปยังอาเซียงที่กำลังยุ่งอยู่และพูดว่า “เรื่องวันนี้ต้องขอบคุณเธอแล้ว”
คุณแม่เฮ่อพลันเอ่ยขึ้นมาจากเตียงพยาบาล “ลูกควรจะขอบคุณอาเซียงนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เกรงว่าแม่ก็ยังคงนอนอยู่บนพื้นนั่นแหละ”
อากาศในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่เมืองกว่างโจวนั้นไม่ได้หนาวเย็น แต่พื้นมักเปียกชื้น และนั่นเป็นสิ่งผู้สูงอายุกลัวมากที่สุด
อาเซียงยิ้มอย่างเขินอาย “ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ เป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว”
หลังเอ่ยจบ ก็พลันรู้สึกว่าว่าคำตอบของเธอดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่ก็สายเกินไปที่จะเปลี่ยนคำพูด ดังนั้นจึงทำได้เพียงยิ้มเพื่อคลายความเขินอายเพียงเท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน หญิงสาวก็สาปแช่งตัวเองอยู่ในใจ ทำไมเมื่อได้พบกับเฮ่ออวี้เฟิง ความฉลาดของเธอก็หายไปหมดสิ้นเลยนะ
เฮ่ออวี้เฟิงไม่ได้คิดมากขนาดนั้นและยืนกรานว่า “การแสดงความขอบคุณเป็นสิ่งจำเป็น รอให้แม่ของฉันออกจากโรงพยาบาลก่อนนะ แล้วฉันจะขอบคุณเธอให้เหมาะสมอีกครั้ง”
พอได้ยินแบบนั้น อาเซียงก็เอ่ยตอบอย่างกระมิดกระเมี้ยน “ค่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณแม่เฮ่อ ซึ่งฟังการสนทนาระหว่างทั้งสองนั้นฉายชัดยิ่งขึ้น หญิงชรากล่าวว่า “นี่ก็ดึกแล้ว ลูกควรส่งอาเซียงกลับไปพักผ่อนก่อนได้แล้วนะ”
อาเซียงไม่ใช่คนในตระกูลเฮ่อ การจะอยู่ที่นี่ต่อย่อมไม่ใช่เรื่องสมควรนัก เธอจึงไม่ได้ดื้อรั้นแต่อย่างใด เพียงบอกคุณแม่เฮ่อว่าให้พักผ่อนให้ดี จากนั้นจึงออกมาจากโรงพยาบาลพร้อมเฮ่ออวี้เฟิง
วันนี้เฮ่ออวี้เฟิงขี่มอเตอร์ไซค์ และด้วยขาที่ยาว เขาจึงขึ้นไปบนจักรยานยนต์แล้วทำท่าทางให้อาเซียงขึ้นมา
มอเตอร์ไซค์คันนี้เป็นมอเตอร์ไซค์ที่เฮ่ออวี้เฟิงดัดแปลงขึ้นเอง จึงทำให้สูงกว่ามอเตอร์ไซค์ทั่วไปค่อนข้างมาก อาเซียงต้องใช้ทั้งมือและเท้าในการปีนขึ้นไป
เฮ่ออวี้เฟิงกล่าวว่า “จับดี ๆ นะ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาเซียงถึงใช้ปลายนิ้วจับปลายเสื้อของเขาไว้
วินาทีต่อมารถก็ทะยานออกไป
อาเซียงตกใจมากจนกอดเอวของเฮ่ออวี้เฟิงด้วยความกลัว
และเมื่อได้สติรู้ตัว ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำราวกับกุ้งยังไงอย่างนั้น
กอดเขาไปซะแล้ว ควรทำยังไงดีล่ะเนี่ย?