บทที่ 434 ปลอดภัยราบรื่น และเป็นที่รัก
บทที่ 434 ปลอดภัยราบรื่น และเป็นที่รัก
เขาได้รับโทรศัพท์จากเผ่ยเยว่ว่าฉีหยวนซานสร้างปัญหาด้วยการไม่ยอมกินข้าวตั้งแต่ตอนเช้า
เผ่ยอิ่งก็ไม่สามารถโน้มน้าวเขาได้เช่นกัน เด็กสาวจนปัญญา ดังนั้นจึงต่อสายหาฉีจิ่นจือ
ฉีหยวนซานทำเสียงฮึดฮัด ก่อนจะพลิกตัวหันหลังให้ ไม่พูดไม่จา
ฉีจิ่นจือรู้ดีว่าชายชราทำตัวมีปัญหาแบบนี้ไปเพื่ออะไร
หากเป็นสถานการณ์ปกติ เขาจะไม่ใส่ใจเลยเสียด้วยซ้ำ ถึงอย่างไร ฉีหยวนซานก็ไม่อดอาหารประท้วงอย่างจริงจังเป็นแน่
แต่ด้วยพะว้าพะวังถึงครอบครัวของเซี่ยชิงหยวน รวมถึงปี่เหลาซาน เขาจึงไม่สามารถทำตัวเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีตได้
เขาได้แต่อดทน “บอกมาสิว่าต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมกินข้าว?”
ฉีหยวนซานเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “แกไปตัดขาดกับเสิ่นอี้โจวซะ แล้วฉันจะยอมกินข้าว”
ฉีจิ่นจือ “…”
เขาพูดว่า “ใครเป็นคนบอกคุณว่าผมมีความสัมพันธ์กับเสิ่นอี้โจว?”
ฉีหยวนซานไม่ได้ตอบอะไร
ที่หว่างคิ้วของฉีจิ่นจือฉายชัดถึงความหงุดหงิด “คุณให้คนตามผมในทุกวันสินะ”
ฉีหยวนซานพลิกตัวกลับมา “แกคิดจะทำอะไร?”
ฉีจิ่นจือหัวเราะเยาะ “คุณเรียกเขาออกมาก่อนสิ”
เมื่อเห็นว่าท่าทางของฉีจิ่นจือไม่ได้ดูล้อเล่น เขาจึงตะโกนไปทางประตูว่า “เข้ามา”
เพียงครู่เดียวก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้าประตูมา เขามีรูปร่างกลาง ๆ หน้าตาธรรมดา เป็นหน้าตาที่ดูธรรมดาหาได้ทั่วไปอย่างที่สุด หากโยนไปอยู่ท่ามกลางฝูงชน วินาทีถัดมาก็ไม่อาจหาเขาพบแล้ว
ชายคนนั้นโค้งคำนับให้ฉีหยวนซาน ก่อนจะโค้งคำนำอีกครั้งให้ฉีจิ่นจือ แล้วเอ่ยอย่างกระวนกระวาย “คุณชาย”
ฉีจิ่นจือไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร เขาก้าวไปข้างหน้าก่อนจะถีบเข้าที่ร่างของชายหนุ่มคนนั้น
ชายหนุ่มไม่ทันระวัง ทั้งยังไม่กล้าหลบเลี่ยง “โอ๊ย!” เขาร้องออกมาพร้อมรับเรื่องถีบนั้นอย่างจำยอม
ฉีหยวนซานเอ่ยตำหนิ “แกทำอะไรของแก!”
สีหน้าของฉีจิ่นจือเรียบนิ่ง “ผมกำลังสั่งสอนคนบางคนว่าถ้าพวกเขาทำงานนี้ไม่ดี พวกเขาควรจะเก็บข้าวของแล้วออกไปซะ”
เขามองชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา “แกได้ยินฉันสารภาพความในใจกับเสิ่นอี้โจวเหรอ?”
ชายคนนั้นส่ายหน้า
ฉีจิ่นจือเอ่ยต่อ “แกเห็นฉันกับเสิ่นอี้โจวทำเรื่องที่เกินขอบเขตกันรึไง?”
ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าอีกครั้ง
ในท้ายที่สุดแล้ว การแช่ในอ่างอาบน้ำก็เป็นเรื่องที่ปกติมากในภาคเหนือ
ฉีจิ่นจือเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความพินิจพิเคราะห์ “ในเมื่อฉันกับเสิ่นอี้โจวไม่ได้พูดหรือทำอะไรเลย แล้วทำไมแกถึงไปบอกนายท่านของแกว่าฉันกับเสิ่นอี้โจวเป็นชู้รักกัน?”
เมื่อเผชิญกับคำถามของฉีจิ่นจือ ชายหนุ่มพลันรู้สึกถึงเหงื่อที่แตกพลั่ก เขาก้มศีรษะลงโดยไม่กล้าพูดอะไร
ดูเหมือนเขาจะกระทำความผิดครั้งใหญ่แล้วจริง ๆ
ฉีหยวนซานกระแอมในลำคอแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องพูดถึงเขาแล้ว ถ้าอย่างนั้นทำไมแกถึงอยู่กับเขาตลอดเวลาล่ะ?”
ฉีจิ่นจือมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วจึงเอ่ยตอบ “ผมชอบครอบครัวของพวกเขา”
ฉีหยวนซาน: “หืม?”
ฉีจิ่นจือ “ครอบครัวของพวกเขามีน้ำใจมากกว่าใคร ๆ”
เขาเงียบลงครู่หนึ่ง “แม้แต่ชาที่พวกเขาชงที่บ้านก็ยังรสชาติดีเป็นพิเศษ อาหารที่พวกเขาทำก็มีกลิ่นควันฟืนที่ให้ความรู้สึกของบ้าน”
นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจ เมื่อเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมา แววตาของเขาก็อ่อนลงโดยไม่รู้ตัว
ฉีหยวนซานยังจำได้ตอนที่เอ่ยถามชายหนุ่มครั้งแรกได้ เขาบอกว่าเป็นเพราะอาหารที่ครอบครัวของเสิ่นอี้โจวทำนั้นอร่อยมาก ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ?
เขาลูบจมูก “ฉันจะไปหาพ่อครัวมือดีมาสักคน แกจะกลับมาไหม?”
ฉีจิ่นจือเอ่ย “ฝีมือจะดีแค่ไหนก็ไม่เท่าทำด้วยหัวใจ ไม่ว่าอาหารจะอร่อยแค่ไหน แต่มันจะไปมีความหมายอะไรหากคนร่วมโต๊ะต่างเย็นชาหมางเมินหรือสาดน้ำรดกันล่ะ?”
คำตอบนี้ทำเอาฉีหยวนซานพูดไม่ออก
เขาไม่สามารถทำให้เผ่ยอิ่งปฏิบัติต่อฉีจิ่นจืออย่างดีได้ และเขาก็ไม่สามารถทำให้ฉีจิ่นจือเคารพเผ่ยอิ่งได้เช่นกัน นี่เป็นปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขได้ตลอดไป
เขาเอ่ยขึ้นว่า ”แกจะสมาคมกับตระกูลเสิ่นต่อไปก็ได้ แต่แกต้องสัญญากับฉันมาข้อหนึ่ง ว่าหลังจากฉันออกจากโรงพยาบาลแล้ว แกจะอยู่บ้านและกลับบ้านทุกวัน”
ฉีจิ่นจือมองเขาอย่างเรียบเฉย “ตาเฒ่า การผูกผมไว้ข้างตัวจะทำให้ผมสนิทกับคุณงั้นเหรอ?”
ในขณะที่ฉีหยวนซานคิดว่าฉีจิ่นจือจะปฏิเสธ ฉีจิ่นจือก็พยักหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ผมเข้าใจแล้ว”
จากนั้นเขาจึงหันหลังและเดินออกไป “อย่าประท้วงอดอาหารแบบนี้อีกล่ะ เพราะถ้าหากคุณหิวโซจนตายไปก็ไม่มีใครร้องไห้ให้คุณหรอก”
หลังจากนั้นเขาก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง
อารมณ์ดี ๆ ของฉีหยวนซานที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ พลันถูกคำพูดของชายหนุ่มทำลายให้กลายเป็นโกรธเคืองขึ้นมาอีกครั้ง
ลูกน้องของเขายิ้มแล้วเดินขึ้นปลอบใจ “คุณชายเองก็เป็นห่วงท่านนะครับ”
ฉีหยวนซานหยิบหมอนของเขาแล้วเขวี้ยงใส่ลูกน้อง “ออกไปให้พ้น! ไร้ประโยชน์!”
…
เมื่อฉีจิ่นจือออกมาจากประตูห้องพักผู้ป่วยก็พบกับเผ่ยเยว่ ซึ่งรออยู่ด้านนอก
เขาพยักหน้าให้เธอ ก่อนจะหันหลังและจากไป
“ฉีจิ่นจือ” เผ่ยเยว่ร้องเรียกเขาเอาไว้
เธอก้าวไปตรงเข้าไปหาเขาแล้วเอ่ย “ช่วงนี้นายสบายดีใช่ไหม?”
ฉีจิ่นจือพยักหน้ารับ “สบายดี”
เผ่ยเยว่เอ่ยโน้มน้าว “ฉันได้ยินจากคุณป้าว่าสุขภาพของลุงเขยในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ค่อนข้างแย่ลง อีกทั้งเขาเองก็เป็นคนอวดดี จึงอาจจะไม่อยากบอกนายเท่าไหร่นัก ถ้านายพอมีเวลาก็กลับมาเยี่ยมเขาหน่อยนะ”
ฉินจิ่นจือไม่ได้ตอบโต้ถ้อยคำของเผ่ยเยว่โดยตรง
เขามองเธอแล้วพูดว่า ”ฉันเป็นหนี้เธอในเรื่องนี้ ถ้าเธอเอ่ยปากบอกฉันในวันข้างหน้า ฉันย่อมไม่ปฏิเสธเธอแน่นอน ส่วนเรื่องที่เหลือ ฉันคิดว่ามันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ เมื่อก่อนความสัมพันธ์ของฉันและทุกคนในตระกูลเผ่ยเป็นยังไง ในอนาคตก็จะเป็นไปเช่นนั้น จะไม่มีทางเปลี่ยนไปแม้เพียงสักนิดเพียงเพราะเรื่องนี้”
ใบหน้าของเผ่ยเยว่ฉายให้เห็นความเก้อเขินเล็กน้อย “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น และฉันไม่ได้ต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อพยายามควบคุมนายหรืออะไรเลย ฉันเพียงแต่เป็นห่วงนายด้วยใจจริงก็เท่านั้น”
สีหน้าท่าทีของฉีจิ่นจือไม่แปรเปลี่ยน เขาเอ่ยว่า “ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ฉันไม่ต้องการ”
เมื่อเอ่ยจบก็พยักหน้าให้เธอ แล้วเดินจากไป
เผ่ยเยว่มองไปยังแผ่นหลังอันเด็ดเดี่ยวของฉีจิ่นจือก็พลันรู้สึกลำบากใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เรื่องที่เขาเกลียดตระกูลเผ่ยนั้นเธอสามารถเข้าใจได้ แต่ตระกูลเผ่ยจะเป็นฝ่ายผิดได้ยังไง?
คุณป้าของเธอสูญเสียลูกชายแท้ ๆ และมารู้ว่าสามีของตัวเองมีลูกชายนอกสมรสอีกคนหนึ่งอยู่ลับหลัง ทั้งยังต้องการรับเขากลับเข้ามาในครอบครัวให้เป็นลูกชายแท้ ๆ ของตัวเอง แถมยังให้สถานะแก่ชายหนุ่มอีก คุณป้าของเธอจะไม่เกลียดเขาได้ยังไงล่ะ? แล้วตระกูลเผ่ยจะไม่รู้สึกขุ่นเคืองได้ยังไง?
แต่ที่น่าสับสนก็คือตระกูลเผ่ยกลับยอมรับ
เผ่ยเยว่ถอนหายใจ
ปมนี้เกรงว่าคงไม่มีวันคลาย
…
ฉีจิ่นจือได้รับโทรศัพท์จากเซี่ยชิงหยวน จึงทราบว่าปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานจะออกเดินทางในอีกสองวัน หลังเลิกงาน เขาจึงหอบหิ้วสุราสองขวดไปยังบ้านตระกูลเสิ่น
เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวดื่มน้ำชาอยู่ข้าง ๆ ในขณะที่ปี่เหลาซานและศิษย์ทั้งสองดื่มเหล้ากันแก้วแล้วแก้วเล่า
โดยส่วนใหญ่แล้วปี่เหลาซานเป็นผู้พูด ฉีจิ่นจือและปี่ฟู่หมานเป็นผู้ฟัง เขาเดินพูดเรื่อยเจื้อย ก่อนจะไปพูดคุยกับฉีจิ่นจือ จากนั้นหันไปหาปี่ฟู่หมาน เดินไปมาจนทั่ว แล้วก็พลันนึกถึงเซี่ยชิงหยวน
หลังจากดื่มเหล้า ดวงตาของปี่เหลาซานก็พร่ามัว บ่งบอกว่าเขาเมาเสียแล้ว
ฉีจิ่นจือลุกขึ้นเพื่อช่วยเขา “อาจารย์ อาจารย์ดื่มมากไปแล้ว เดี๋ยวผมพาเข้าไปพักผ่อนนะครับ”
ปี่เหลาซานโบกมือ “ฉันไม่ได้เมา” เขาสะอึกและจับมือของฉีจิ่นจือไว้ “เธอผ่านมาสิบสองปีนี้มาได้ยังไง ถ้าเธอไม่อยากพูดถึงมัน ฉันก็จะไม่ถาม ในตอนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของฉันที่ไม่ปกป้องเธอและปี่ฟู่หมานให้ดี คงไม่ง่ายเลยกว่าที่เธอจะเอาชีวิตรอดภายใต้เงื้อมมือของลูกพี่เตาปามาได้ ดังนั้นไม่ว่าเธอจะเคยทำอะไรลงไปก่อนหน้านี้ ก็อย่าได้รู้สึกผิดหรือแบกภาระนั้นไว้กับตัวเองเลย”
ในขณะที่เอ่ย น้ำตาก็พลันไหลเอ่อ “อาจารย์เพียงแต่ปรารถนาให้เธอห่างไกลจากความเจ็บปวดทรมาน ปลอดภัยราบรื่น และเป็นที่รักก็เท่านั้น”