บทที่ 430 เสิ่นอี้โจวอยู่บนฉีจิ่นจืออยู่ล่าง
บทที่ 430 เสิ่นอี้โจวอยู่บนฉีจิ่นจืออยู่ล่าง
ป้าอู๋ที่นอกประตูพูดว่า “คุณผู้ชายคะ เมื่อกี้ลูกพี่ลูกน้องของคุณชายฉีโทรมาบอกว่าคุณชายฉีอาจจะไปทำอะไรเข้า คุณท่านฉีเลยกำลังมาที่บ้านของเราด้วยความโกรธอย่างมากเลยค่ะ เธอขอให้คุณผู้ชายและคุณนายเตรียมตัวให้พร้อมค่ะ”
ผู้คนในห้องตกใจและมองหน้ากันทันที
เซี่ยชิงหยวนตอบกลับ “เราเข้าใจแล้วค่ะ ป้าอู๋ไปทำงานต่อเถอะค่ะ”
ปี่เหลาซานดึงปี่ฟู่หมานออกไปทันที “เราสองคนควรไปซ่อนตัวก่อนนะ”
พวกเขาไม่รู้ว่าฉีหยวนซานได้รับข่าวอะไรมา แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกำลัง ‘โกรธ’ เพราะงั้นการมาที่นี่แบบนี้คือคิดจะฆ่าผู้คนรึเปล่า?
เขาไม่ต้องการให้ฉีจิ่นจือติดอยู่ตรงกลาง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหลีกเลี่ยงอีกฝ่ายก่อน
ฉีจิ่นจือรู้สึกอึดอัดทันทีที่เห็นปี่เหลาซานเป็นแบบนี้
แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว มันไม่เหมาะกับพวกเขาที่จะเปิดเผยตัวตนจริง ๆ นั่นแหละ
เขาพูดกับปี่เหลาซานว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์กลับห้องของตัวเองก่อนเถอะ พอเสร็จธุระแล้ว ผมจะไปหาอาจารย์กับน้องชายอีกทีนะ”
ปี่ฟู่หมานพยักหน้า “เราจะรออยู่ที่นี่ให้พี่กลับมานะ”
ปี่เหลาซานกับปี่ฟู่หมานรีบออกจากห้องไปด้วยกัน และเซี่ยชิงหยวนก็เดินตามหลังไป
ปี่เหลาซานหันกลับมาแล้วพูดกับเธอว่า “เธอควรอยู่ที่นี่ด้วยกันและแกล้งทำเป็นว่าพวกเธอกำลังคุยกันนะ”
เนื่องจากฉีจิ่นจือกลายเป็นพ่อทูนหัวของเด็กแล้ว จึงสมเหตุสมผลมากที่ฉีจิ่นจือจะคุยอยู่กับเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจว
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็พยักหน้าและพูดว่า “ตกลงค่ะ”
ในขณะเดียวกันนี้ก็มีเสียงที่ชั้นล่างและหนึ่งในนั้นก็พูดเสียงดังเป็นพิเศษ ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากฉีหยวนซาน
จากนั้นก็มีเสียงคนเดินขึ้นมาชั้นบน ป้าอู๋หยุดเขาไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงต้องเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น “ผู้อำนวยการฉีคะ คุณผู้ชายกับคุณนายกำลังคุยกับคุณชายฉีที่ชั้นบน หากคุณต้องการเจอพวกเขาก็เพียงแค่เรียกพวกเขาก็พอเถอะค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนผลักปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานที่ยังอยู่ตรงประตูอย่างรวดเร็ว แล้วกระซิบ “อาจารย์ไปที่ห้องข้าง ๆ เพื่อซ่อนก่อนแล้วกันค่ะ”
ห้องของปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานนั้นอยู่ใกล้กับบันได หากพวกเขากลับไปที่ห้องของตัวเองตอนนี้จะได้เจอกับฉีหยวนซานแน่นอน
ส่วนเสิ่นอี้โจวก็รีบดึงเซี่ยชิงหยวนให้นั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเขาในบริเวณใกล้เคียงกัน
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนนั่งลงแล้ว เสิ่นอี้โจวก็วางแผนจะนั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ แต่โดยไม่คาดคิด เมื่อเขาหันกลับมาก็ดันชนเข้ากับฉีจิ่นจือที่เดินเข้ามาใกล้โดยไม่คาดคิ พวกเขาชนกันอย่างกะทันหันและเซไปชนกล่องไม้สองกล่องที่อยู่ด้านข้างโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทั้งสองเอื้อมมือออกไปหยิบมันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
แต่จากนั้นหลังเข่าพวกเขาก็ชนกับโซฟา ไม่รู้ใครล้มก่อน แต่พอตอบสนองทั้งสองก็ล้มลงพร้อมกันแล้ว
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่หลังจากล้มลง มันกลายเป็นท่าที่เสิ่นอี้โจวอยู่ด้านบนและฉีจิ่นจืออยู่ด้านล่าง
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่คนสองคนที่อยู่ตรงหน้าเธอ “…”
เสิ่นอี้โจว “…”
ฉีจิ่นจือ “…”
ในเวลาเดียวกัน ประตูห้องหนังสือก็ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน เสียงของฉีหยวนซานก็หยุดลง ทันใดนั้นแม้แต่ป้าอู๋ก็ปิดปากของเธอด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
ฉีหยวนซานเกือบเป็นลม
เส้นเลือดที่คอของเขาปรากฏขึ้น และเขาก็ตะโกนด้วยความโกรธว่า “พวกนายกำลังทำอะไรกันอยู่หะ!”
เซี่ยชิงหยวนตกใจกับเสียงตะโกนมากจนอดไม่ได้ที่จะหดคอ
เสิ่นอี้โจวกับฉีจิ่นจือช่วยกันยืนขึ้น พลางปัดฝุ่นที่ตัวเอง
สีหน้าของเสิ่นอี้โจวยังคงเหมือนเดิมและเขาก็เอ่ยทักทาย “ผู้อำนวยการฉี”
ฉีจิ่นจือเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิมแล้วมองฉีหยวนซานอย่างสบาย ๆ “คุณมาทำอะไรที่นี่?”
ฉีหยวนซานรู้สึกเหมือนเลือดลมของเขากำลังจะตีกลับและไม่สามารถพูดอะไรได้อยู่ครู่หนึ่ง
เสิ่นอี้โจวขยิบตาให้ป้าอู๋ และป้าอู๋ก็ออกไปก่อนจะปิดประตูให้สนิท
เสิ่นอี้โจวยื่นมือออกไปหาฉีหยวนซานแล้วพูดว่า “ผู้อำนวยการฉีมาที่นี่ในตอนค่ำแบบนี้ คุณมีเรื่องสำคัญที่จะหารือกับผมรึเปล่าครับ? ทำไมเราไม่มานั่งคุยกันก่อนล่ะ?”
ฉีจิ่นจือชิงพูดแทรก “ไม่ต้องวุ่นวายไปหรอก เขาน่าจะมาที่นี่เพื่อพบผมน่ะ”
จากนั้นฉีจิ่นจือก็พูดกับฉีหยวนซานว่า “พวกเรากลับไปกันก่อนดีไหม?”
โดยปกติแล้วฉีหยวนซานคงจะมีความสุขมากถ้าได้ยินฉีจิ่นจือใช้คำว่า ‘กลับกัน’ แต่ตอนนี้ประโยคนี้มันดูเหมือนเป็นการปกป้องเสิ่นอี้โจวซะเหลือเกิน
ลูกชายของเขากำลังกลัวว่าเขาจะปฏิบัติต่อเสิ่นอี้โจวอย่างโหดร้ายหรือทำอะไรสักอย่างใช่ไหม?
ฉีหยวนซานจ้องเขม็งที่ฉีจิ่นจือแล้วพูดว่า “ฉันยังไม่กลับ!”
หลังจากพูดอย่างนั้นเขาก็นั่งลงบนโซฟา
ห้องหนังสือที่บ้านบางครั้งก็ใช้เป็นห้องประชุม มันมีโซฟาหลายตัววางเข้าชุดกัน มีโซฟาเดี่ยว 2 ตัวตั้งอยู่ตรงข้ามกับโซฟาขนาดสองคนนั่ง ซึ่งมีขนาดไม่กว้างมากนัก
เซี่ยชิงหยวนนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวแล้ว และฉีหยวนซานก็นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวอีกตัวที่อยู่ใกล้เขาที่สุด
ฉีจิ่นจือถอนหายใจและนั่งลง
เสิ่นอี้โจวก็ถือโอกาสนั่งข้างฉีจิ่นจือ
เมื่อมองดูคนสองคนที่นั่งอยู่โซฟาตัวเดียวกัน ฉากนี้ช่างบาดตาฉีหยวนซานอย่างอธิบายไม่ถูก ฉีหยวนซานโกรธกับความคิดของตัวเองมากจนตบโต๊ะอีกครั้ง “นายสองคนนั่งแยกกันเดี๋ยวนี้เลย!”
เซี่ยชิงหยวน “?”
เสิ่นอี้โจว “?”
ฉีจิ่นจือ “…”
ฉีจิ่นจือไม่ต้องการขัดแย้งกับฉีหยวนซานที่นี่จึงพูดว่า “ไม่สะดวกหรอก ที่นี่มีสตรีมีครรภ์”
ฉีหยวนซานเหลือบมองเซี่ยชิงหยวนที่กำลังหลบสายตามองไปด้านข้าง และเขายิ่งโกรธมากขึ้น
แต่เมื่อเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงและกำลังตั้งครรภ์ เขาก็พยายามควบคุมเสียงของตัวเองอย่างเต็มที่พลางพูดว่า “คุณนายเสิ่น คุณไม่สนใจเลยเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้น “เรื่องอะไรเหรอคะ?”
ทำไมวันนี้ฉีหยวนซานดูไม่ปกติเลย?
เธอคิดว่าฉีหยวนซานรู้เรื่องเกี่ยวกับปี่เหลาซานและจะมาจับคน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
แต่แล้วทำไมฉีหยวนซานถึงได้ดูโกรธขนาดนี้ล่ะ?
เธอเหลือบมองที่เสิ่นอี้โจวโดยไม่รู้ตัว และเสิ่นอี้โจวก็ยิ้มอ่อนโยนให้เธอเป็นการตอบ
ใช่แล้ว ถ้าเสิ่นอี้โจวไม่กังวลก็หมายความว่าสถานการณ์ไม่ร้ายแรง ดังนั้นเธอจึงสามารถแสร้งทำต่อไปได้
การมองของเซี่ยชิงหยวนที่เสิ่นอี้โจวถูกตีความผิดโดยฉีหยวนซาน เขาเข้าใจไปว่าเธอกำลังดูการแสดงออกของเสิ่นอี้โจว
ฉีหยวนซานพูดทันทีว่า “ตอนนี้เป็นจีนใหม่แล้ว ท่านประธานพรรคบอกว่าผู้หญิงสามารถครองท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่ง คุณไม่ต้องกลัวเขาหรอก ถ้าเขากล้าแตะต้องคุณแม้แต่ปลายเล็บ ผมจะสนับสนุนคุณเอง แม้ว่าผมจะต้องไปฟ้องถึงเมืองหลวงก็ตาม!”
เขาแตะต้องเสิ่นอี้โจวไม่ได้ แต่เป็นไปได้เหรอที่พวกเบื้องบนจะปล่อยให้เสิ่นอี้โจวทำตัวแบบนี้ต่อไป?
นี่เป็นเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่!
เขายิ้มให้เซี่ยชิงหยวนและสีหน้าก็ดุร้ายยิ่งขึ้นเพราะความโกรธที่ไม่อาจระงับได้ “ต่อให้คุณไม่คิดถึงตัวเอง แต่คุณก็ควรคิดถึงลูกในท้องของคุณบ้างนะ คุณอยากโดนนินทาหลังคลอดหรือไง?”
เซี่ยชิงหยวนยิ่งสับสนมากขึ้น
ใครสามารถบอกเธอได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉีหยวนซาน
ฉีจิ่นจือทนฟังไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจึงพูดหยุดไว้ “คุณกำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไรกับคุณนายเสิ่นน่ะ?”
เสิ่นอี้โจวยังพูดเสริมอีกว่า “ผู้อำนวยการฉี หากคุณมีอะไรจะพูด คุณก็ควรพูดออกมาตรง ๆ กับผมได้เช่นกันนะครับ ในตอนนี้ผมไม่เข้าใจคุณจริง ๆ”
เมื่อได้ยินชายหนุ่มสองคนพูดสอดประสานกัน ฉีหยวนซานรู้สึกเหมือนหัวใจของเขากำลังจะแตกสลาย
เขามองดูชายหนุ่มทั้งสองคน ใบหน้าเริ่มซีดเผือด
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “เอาละ งั้นฉันออกไปก่อนก็แล้วกัน พวกคุณจะได้คุยกันอย่างสะดวกมากขึ้นดีไหมคะ?”
—————————————————-