บทที่ 426 เลขาธิการเสิ่นหลงรักคุณชาย
บทที่ 426 เลขาธิการเสิ่นหลงรักคุณชาย
ทว่าความตกใจของฉีจิ่นจือก็สงบลงอย่างรวดเร็วในวินาทีถัดมา
เพราะเสิ่นอี้โจวสวมกางเกงขาสั้นข้างในผ้าเช็ดตัว
มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะที่ว่าที่เลขาธิการทั่วไปของสำนักงานมณฑลจะเปิดของลับของตัวเองในที่สาธารณะ?
ดวงตาของฉีจิ่นจือจ้องมองไปยังกล้ามเนื้อหน้าท้องของเสิ่นอี้โจว และจากนั้นก็มองไปที่หน้าอก แขน…แทบไม่มีไขมันส่วนเกินบนร่างกายของเสิ่นอี้โจวเลย ทั้งไหล่กว้างและเอวสอบอีก แม้แต่ผู้ชายอย่างเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกชม
ฉีจิ่นจือเลิกคิ้วและยิ้มให้เสิ่นอี้โจว “เลขาธิการเสิ่นดูแลตัวเองดีจริง ๆ”
เสิ่นอี้โจวยิ้ม “คุณชายฉีก็ไม่เลวเหมือนกัน”
ถ้ามองจากมุมมองของบุคคลที่หนึ่ง สถานการณ์แบบนี้ดูไม่ใช่เรื่องปกติเลย
คนคนนั้นอยู่ในสระอาบน้ำที่อยู่ข้าง ๆ และเขาเห็นเสิ่นอี้โจวถอดผ้าเช็ดตัวออกก่อนลงไปในสระอาบน้ำ
ในมุมมองของชายคนนั้น เขาเพียงเห็นฉากที่เสิ่นอี้โจวถอดผ้าเช็ดตัวออกแล้วก็มีชายอีกคนหนึ่งเดินมาบดบังการมองเห็นของเขาทันที
เมื่อมองอีกครั้ง เขาเห็นว่าเสิ่นอี้โจวลงไปแช่อยู่ในน้ำแล้ว และฉีจิ่นจือก็ยิ้มให้
ทั้งสองดูเหมือนพูดหยอกล้อกัน และสายตาของพวกเขาก็สบกัน
นี่ไม่ใช่การจีบกันใช่ไหม?
ชายที่อยู่สระอาบน้ำด้านข้างเฝ้ามองอย่างมืดหม่น ขณะที่เสิ่นอี้โจวเข้าใกล้ฉีจิ่นจือและโน้มตัวเข้าหา
ชายที่อยู่สระอาบน้ำด้านข้างหลับตาลงด้วยความสิ้นหวังทันที
โอ้ให้ตายเถอะ คราวนี้ใครจะช่วยเขาได้อีก?
หากเขารายงานเรื่องนี้กับฉีหยวนซาน เขาอาจจะตายจริง ๆ ก็ได้
เดิมทีเสิ่นอี้โจวไม่ได้อยากจะใกล้ชิดกับฉีจิ่นจือมากนัก แต่ไอน้ำในโรงอาบน้ำทำให้มองเห็นได้ยากจากระยะไกล
ยิ่งไปกว่านั้น ปานของฉีจิ่นจือยังอยู่ใต้น้ำและมันไม่ใช่ปานที่ใหญ่นัก ดังนั้นเสิ่นอี้โจวจึงทำได้แค่พยายามสร้างโอกาสให้ได้ดูอย่างใกล้ชิดเท่านั้น
ฉีจิ่นจือรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลก ๆ เช่นกัน แต่โชคดีที่หลังจากเสิ่นอี้โจวลงมาในน้ำ พวกเขาก็คุยกันเกี่ยวกับสถานการณ์ในมณฑลอวิ๋นเหมือนที่ผ่านมาและบรรยากาศก็เริ่มดีขึ้น
หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคุยกันไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เสิ่นอี้โจวก็พูดว่า “ผมเพิ่งจำได้ว่ามีอย่างอื่นต้องทำ วันนี้เรากลับกันเถอะ”
ฉีจิ่นจือพยักหน้า “ได้…”
แต่แล้วเสิ่นอี้โจวที่บอกว่าอยากกลับก่อนกลับยังคงนั่งอยู่ในสระอย่างนั้นเหมือนรูปปั้นไม่ขยับ
ร่างของฉีจิ่นจือลุกขึ้นมาได้ครึ่งทางจากสระอาบน้ำ “เลขาธิการเสิ่น?”
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าวันนี้เสิ่นอี้โจวแปลกไปแบบนี้นะ?
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “เอาละ ไปกันเถอะ”
ฉีจิ่นจือไม่มองอีกฝ่ายอีกต่อไป เขาลุกขึ้นจากสระอาบน้ำและวางแผนที่จะหยิบผ้าเช็ดตัวจากอีกด้านหนึ่งมาพันรอบตัวเขาก่อน
เสิ่นอี้โจวถือโอกาสมองดูหน้าท้องส่วนล่างของฉีจิ่นจือ และทันใดนั้นเขาก็เห็นปานที่รูปลักษณ์คล้ายเมฆมงคลสีแดงอ่อนปรากฏขึ้นบนผิวหนังที่มีหยดน้ำเกาะอยู่!
เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้วลับ ๆ โดยไม่ให้ใครเห็นและเดินตามออกไป
ทว่าเมื่อชายที่อยู่สระอาบน้ำด้านข้างที่แอบดูอยู่เห็นฉากนี้ เขาก็แทบจะเอาหัวโขกขอบสระอาบน้ำทันที
ดูเหมือนว่าไม่เพียงแต่คุณชายของเขาเท่านั้นที่สนใจเลขาธิการเสิ่น แต่เลขาธิการเสิ่นก็ยังหลงรักคุณชายหนุ่มของเขาด้วย!
ไม่อย่างนั้นเลขาธิการเสิ่นคงไม่พยายามมองเป้าคุณชายของเขาขนาดนั้นสิ
เขาไม่อยากเผชิญกับความเป็นจริงอีกต่อไป และทิ้งตัวลงไปในน้ำอย่างหมดอาลัย
ปล่อยให้เขาจมน้ำตายแบบนี้ยังดีกว่าถูกฉีหยวนซานรัดคอจนตาย!
…
“กลับมาแล้วเหรอ?”
ทันทีที่เสิ่นอี้โจวกลับมาถึงบ้าน เซี่ยชิงหยวนก็รีบเดินปรี่เข้าหาทันที เธอบีบไหล่ให้เขาแสดงความเอาใจใส่อย่างมาก
เมื่อมองดูดวงตาที่กระตือรือร้นของเซี่ยชิงหยวนแล้ว เสิ่นอี้โจวก็จงใจไม่พูด แต่หลับตาลงและเพลิดเพลินกับการบริการของเธอ
เซี่ยชิงหยวนบีบไหล่เขาอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นว่าเสิ่นอี้โจวไม่แสดงท่าทีที่จะพูดหญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะเสริมกำลังมือของเธอเข้าไป “เป็นยังไงบ้าง? ปานอยู่ตรงนั้นไหม?”
ปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานก็มารวมตัวกันเช่น พวกเขาต่างจ้องที่เสิ่นอี้โจวอย่างคาดหวัง
ในความเป็นจริง ด้วยข้อมูลที่พวกเขารู้และเห็นกันอยู่ชัด ๆ จากหน้าตาของฉีจิ่นจือแถมยังเคยใช้ชื่อ ‘โจวจิ่นจือ’ ตอนอยู่ที่กว่างโจว พวกเขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องเป็นคนที่พวกเขาตามหามาตลอดแน่นอน แต่แค่พวกเขากังวลว่าฉีจิ่อจืออาจจะไม่ยอมรับ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมีหลักฐานไปยืนยันเพิ่ม ซึ่งก็คือปานและนี่จะทำให้ฉีจิ่นจือไม่มีข้อแก้ตัวที่จะบ่ายเบี่ยงได้
แต่ใจหนึ่งพวกเขาก็กังวลเช่นกันว่าหากฉีจิ่นจืออ้างว่านั่นคือรอยสักที่สักมาในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันก็คงเป็นเรื่องยากที่จะพูดอะไรได้อีก
ในภาพยนตร์ฮ่องกง พวกอันธพาลเหล่านั้นก็ล้วนมีรอยสักขนาดใหญ่บนร่างกายไม่ใช่เหรอ?
เสิ่นอี้โจวจับมือของเซี่ยชิงหยวน และส่งสัญญาณให้เธอไม่ต้องนวดอีกต่อไป
ภายใต้สายตาที่วิตกกังวลของทุกคน เสิ่นอี้โจวพยักหน้าและพูดเบา ๆ ว่า “ใช่”
“เยี่ยมเลย!” เซี่ยชิงหยวนตะโกนด้วยความดีใจ
ปี่เหลาซานปาดน้ำตาแล้วพูดว่า “เด็กคนนี้คงทนทุกข์ทรมานที่ข้างนอกนั่นมามาก ไม่งั้นเขาคงจะไม่แกล้งทำเป็นจำฉันไม่ได้แบบนี้ แต่ในที่สุดตอนนี้เขาก็ดีขึ้นแล้ว”
นับตั้งแต่เขาได้รู้เกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของฉีจิ่นจือในเมืองกว่างโจวเมื่อคืนนี้ หัวใจของปี่เหลาซานก็ตึงเครียดอยู่เสมอ
เขาไม่รู้เลยว่าลูกศิษย์คนแรกของเขารอดชีวิตภายใต้ลูกพี่เตาปาคนนั้นได้อย่างไรตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ปี่ฟู่หมานยิ่งกังวลมากขึ้น “ผมจะไปหาพี่ใหญ่ของผม!”
เซี่ยชิงหยวนรีบหยุดปี่ฟู่หมาน “นายอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นสิ ไม่งั้นเขาไม่มีทางยอมรับแน่นอน”
ถ้าปี่ฟู่หมานไปหาฉีจิ่นจือตอนนี้ เขาจะถูกปฏิเสธแน่
ปี่ฟู่หมานกังวลขึ้นมา “ถ้างั้นเราควรทำยังไงดีล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “เรื่องนี้เรายังคงต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาในระยะยาวด้วยนะ”
เนื่องจากฉีจิ่นจือเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้จักปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมาน ก็แปลว่าเขากำลังประสบปัญหาของตัวเองอยู่ นอกจากสิ่งที่พวกเขารู้แล้ว ก็ต้องมีบางอย่างที่พวกเขาไม่รู้
เสิ่นอี้โจวพูดว่า “ผมรู้บางอย่างเกี่ยวกับตระกูลฉี”
เมื่อเสิ่นอี้โจวถูกย้ายมาทำงานที่นี่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจตรวจสอบ แต่ก็มีคนริเริ่มบอกเขาเกี่ยวกับตระกูลฉีเช่นกัน
คนเราจำเป็นต้องรู้เรื่องความลับของผู้มีอำนาจว่ามีอะไรบ้าง ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะไม่รู้ว่าคุณตายตอนไหนอย่างไรก็ได้
ทุกคนนั่งลงด้วยกัน รอฟังการอธิบายของเสิ่นอี้โจว
เสิ่นอี้โจวเคาะนิ้วของเขาบนโต๊ะแล้วพูดว่า “ตามการวิเคราะห์ของผม มีอย่างน้อยสองเหตุผลที่ทำให้ฉีจิ่นจือไม่เต็มใจที่จะจำทุกคนได้”
“ประการแรก ประสบการณ์ที่เขามีหลังจากถูกพาตัวไปจากอาจารย์จะต้องเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากพูดถึง และเขาเชื่อว่าประสบการณ์ที่เขาเผชิญและทำลงไปเหล่านั้นเป็นเรื่องยากที่อาจารย์จะยอมรับได้ในความคิดของเขา”
“อย่างที่สองคือเขากังวลเกี่ยวกับตระกูลฉี ต้องเข้าใจว่าเพื่อที่จะพาเขามาจากเมืองกว่างโจว ฉีหยวนซานได้เผาทั้งโรงแรมและแม้แต่เหล่าลูกน้องของฉีจิ่นจือก็ถูกสั่งกำจัด ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง
เธอได้ยินว่าฟู่ชุนไจ่ตามหาฉีจิ่นจืออยู่ตลอด แต่ต่อมาก็ไม่มีใครได้ข่าวของฟู่ชุนไจ่อีกเลย ฉีหยวนซานน่าจะเป็นคนลงมือจัดการอะไรลงไปสักอย่างกับเรื่องนี้แน่ๆ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฉีจิ่นจือเกลียดฉีหยวนซานมาก นอกจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ของเขาแล้ว ยังต้องมีเรื่องของฟู่ชุนไจ่ที่เกี่ยวข้องด้วย
เธอยังคงจำใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฉีหยวนซานเมื่อเธอพบเขาครั้งแรกได้ เธอไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วชายชราคนนั้นจะเป็นคนโหดเหี้ยมขนาดนี้
โชคดีที่ฉีจิ่นจือไม่ปล่อยให้ฉีหยวนซานรู้ว่าเธอเคยพบเขาที่เมืองกว่างโจว ไม่เช่นนั้นเธออาจกลายเป็นวิญญาณในยมโลกไปแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าของเซี่ยชิงหยวนเปลี่ยนไป เสิ่นอี้โจวก็จับมือของเธอเพื่อทำให้ภรรยาผ่อนคลาย
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ฉันสบายดี พูดต่อไปเถอะ”
เสิ่นอี้โจวจับมือของเซี่ยชิงหยวนและพูดว่า “นอกเหนือจากที่เราต้องกดดันให้เขายอมรับตัวตนจริง ๆ ของเขาแล้ว เรายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ ซึ่งก็คือบอกให้เขารู้ว่าเราปกป้องตัวเองได้ หรืออีกนัยหนึ่ง เราพูดคุยเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับอาจารย์ได้อย่างสมเหตุสมผลด้วย”
ปี่เหลาซานครุ่นคิด “จริง ๆ แล้ว เราปกปิดเรื่องความสัมพันธ์ไม่ให้คนภายนอกรู้ก็ได้ แค่บอกว่าจิ่นจือสนใจหยกและไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉัน ไม่แปลกที่เขาจะมาเป็นเพื่อนกับฉันได้”
ตราบใดที่ฉีจิ่นจือยอมรับว่าจำตัวเองได้และไม่หนีไปไหนอีกต่อไป เรื่องอื่น ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ต่อให้เขาไม่ได้เป็นอาจารย์
เซี่ยชิงหยวนและปี่ฟู่หมานพยักหน้าแล้วพูดว่า “เราคิดว่านี่เป็นไปได้”
ในที่สุดเสิ่นอี้โจวก็ตัดสินใจ “ถ้าอย่างนั้นเราจะเชิญเขามานั่งที่บ้านในอีกสองวันข้างหน้า แล้วคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน”
แน่นอนว่าคนส่งคำเชิญย่อมต้องเป็นเสิ่นอี้โจว
แทบจะในทันทีที่ส่งคำเชิญไป ฉีจิ่นจือก็ตกลง แต่ก่อนที่เขาจะไปบ้านตระกูลเสิ่น เขาก็ถูกฉีหยวนซานกักตัวไว้เสียก่อน
ในสำนักงานชั้นบนสุดของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะประจำมณฑล ฉีหยวนซานจ้องเขม็งที่ฉีจิ่นจือด้วยสีหน้าเศร้าหมอง บรรยากาศเต็มไปด้วยการกดดัน
ฉีจิ่นจือยืนอยู่หน้าโต๊ะ มองลงไปที่โต๊ะอย่างเงียบ ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉีหยวนซานมาพบเขาโดยตรงที่สำนักงานความมั่นคงสาธารณะ
ฉีหยวนซานยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นว่าฉีจิ่นจือไม่ยอมพูดอะไร
เขาตบโต๊ะแล้วพูดอย่างรุนแรงว่า “บอกฉันสิ แกต้องการอะไร!”