กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามีบทที่ 422 ชื่อโจวจิ่นจือ

บทที่ 422 ชื่อโจวจิ่นจือ

บทที่ 422 ชื่อโจวจิ่นจือ

บทที่ 422 ชื่อโจวจิ่นจือ

หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เธอก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังท้องอยู่ จึงหยุดวิ่งอย่างรวดเร็ว พลางจับราวบันไดแล้วค่อย ๆ เดินลงบันไดไปทีละขั้น

ทุกก้าวเท้าของเธอที่เหยียบลงบันได หัวใจมันก็เต้นรัวตามจังหวะไปด้วย ราวกับดินแดนที่แห้งแล้งมาเป็นเวลานานในที่สุดก็มีเม็ดฝนตกลงมา

ปี่เหลาซานที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารของเขาก็แทบจะสำลักทันทีเมื่อเห็นลูกศิษย์ของเขาเดินมาหา

เขายังคงถือตูดไก่ย่างไว้ในมือแล้วยื่นไปทางเซี่ยชิงหยวน “เธออยากกินอันนี้ด้วยเหรอ?”

เขาชอบกินตูดไก่ย่างมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่มีไก่ย่างอยู่บนโต๊ะอาหาร เซี่ยชิงหยวนจะคีบตูดไก่ให้เขา แต่เธอก็บอกเขาให้กินมันน้อยลงหน่อยเพราะมีปัญหาเรื่องต่อมน้ำเหลือง

เซี่ยชิงหยวนส่ายหัวก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “อาจารย์ มีบางอย่างที่หนูอยากจะเอาให้ดูค่ะ”

หลังจากพูดจบ เธอก็ยื่นหนูแกะสลักตัวเล็ก ๆ ที่ฉีจิ่นจือมอบให้เธอพร้อมกับกล่องให้กับปี่เหลาซาน

ปี่เหลาซานไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาก็รับมันมาดู “นี่เป็นของขวัญจากศิษย์น้องชายรึเปล่า?”

เขายังพูดติดตลกว่า “เด็กคนนี้นี่ขี้เหนียวจริง ๆ มอบของให้ศิษย์พี่หญิงตัวเองแค่งานแกะสลักไม้แค่นี้เท่านั้นเนี่ยนะ”

เซี่ยชิงหยวนตอบกลับ “อาจารย์คะ อันนี้ต่างหากค่ะที่มาจากฟู่หมาน”

จากนั้นเธอก็ยื่นกล่องที่ปี่ฟู่หมานให้ไว้ก่อนหน้านี้ออกมา

ปี่เหลาซานมองดูกล่องสองใบที่อยู่ตรงหน้าแล้วสับสน

ก่อนอื่นเขาดูที่ใต้กล่อง จากนั้นหยิบมันมาจากมือของเซี่ยชิงหยวนแล้วพลิกมันเพื่อตรวจสอบ

ทันใดนั้นดวงตาของเขาเบิกกว้าง จ้องมองลวดลายเมฆมงคลของทั้งสองอย่างใกล้ชิด และริมฝีปากของเขาก็สั่นด้วยความตื่นเต้น

มือที่มีรอยย่นของเขาสัมผัสกล่องของฉีจิ่นจือและลูบมันเบา ๆ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยชิงหยวนน้ำตาก็ไหลออกมา

เขาถามเซี่ยชิงหยวนอย่างสั่นเทาว่า “เธอได้กล่องนี้มาจากไหน?”

จากปฏิกิริยาของปี่เหลาซาน การเดาของเซี่ยชิงหยวนก็ได้รับการยืนยัน

เธอพูดว่า “ฉีจิ่นจือมอบให้ลูก ๆ ในท้องของหนูค่ะ”

ปี่เหลาซาน “ฉีจิ่นจือ ลูกชายคนเล็กของตระกูลฉี?”

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ใช่ค่ะ”

ปี่เหลาซานดูเหมือนเข้าไปอยู่ในภวังค์ความทรงจำ เขาตบต้นขาทั้งร้องไห้และหัวเราะในเวลาเดียวกัน “ฉันก็คิดอยู่เสมอว่าเขาดูคุ้นมาก ที่แท้กลับกลายเป็นเขาเองจริง ๆ!”

เดิมทีปี่เหลาซานเป็นช่างฝีมือ แต่ต่อมาเขาค่อย ๆ เข้าสู่ธุรกิจหยก

เขาสอนทักษะการแกะสลักให้แก่ฉีจิ่นจือและปี่ฟู่หมานเป็นการส่วนตัว นับตั้งแต่เขาได้พบกับฉีจิ่นจือครั้งแรก เขารู้สึกว่าได้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีบางอย่างที่คล้ายกับลูกศิษย์คนโตของเขาในตอนนั้นมาก

แต่หลังจากที่ฉีจิ่นจือรู้ตัวตนของเขาและปี่ฟู่หมานแล้วกลับยังทำสีหน้าสงบ เขาก็คิดว่าตัวเองคงคิดเพ้อไปเองเพราะความคิดถึงและจำคนผิด ทว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากเดินทางไปทั่วทุกแห่งหนกลับกลายเป็นว่าตอนนี้ได้เจอคนที่เขาตามหามาตลอดแล้วจริง ๆ

เซี่ยชิงหยวนก้าวมาข้างหน้าและจับมือที่สั่นเทาของชายชราไว้ “อาจารย์คะ นี่เป็นเรื่องที่ดีเลยนะ”

ปี่เหลาซานพยายามกลั้นน้ำตาและสำลัก “ฉันตามหาเขามาสิบสองปีแล้ว สิบสองปีแล้ว!”

เซี่ยชิงหยวนปลอบใจเขา “ตอนนี้สวรรค์เมตตาแล้ว และในที่สุดอาจารย์ก็พบเขาแล้วค่ะ”

ปี่เหลาซานน้ำตาไหลอีกครั้ง “แต่ทำไมเขาจำฉันกับฟู่หมานไม่ได้ล่ะ?”

ตอนที่ฉีจิ่นจือจากไปเป็นตอนที่อายุสิบสองปี ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะจำพวกเขาไม่ได้

ปี่เหลาซานหยุดพูดแล้วเช็ดน้ำตาอีกครั้ง “เขาคงยังโทษฉันอยู่เลยไม่อยากจำฉันได้รึเปล่า?”

เมื่อเห็นปี่เหลาซานมีความสุขมากเพียงชั่วครู่และเศร้าใจในนาทีต่อมา เซี่ยชิงหยวนก็กังวลว่าร่างกายชราของเขาจะทนกับความเจ็บปวดทางใจไม่ไหว เธอจึงปลอบเขาว่า “หนูเกรงว่าเขาจะมีเหตุผลบางอย่างของตัวเองนะคะ”

อดีตของฉีจิ่นจือและความพัวพันของตระกูลฉีมันกลายเป็นอุปสรรคสำหรับฉีจิ่นจือที่จะเปิดเผยตัวตนกับปี่เหลาซาน

ปี่เหลาซานร้องไห้และสาปแช่ง “ไม่ว่าเขาจะยากลำบากแค่ไหน คิดว่าฉันและฟู่หมานจะเป็นตัวถ่วงเขาเหรอ?”

แม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้ แต่เขาก็รู้อยู่ในใจว่าฉีจิ่นจือไม่ใช่คนแบบนั้น

ฉีจิ่นจือเป็นเด็กที่บริสุทธิ์และใจดีที่สุด ดังนั้นจะทำเป็นไม่รู้จักเขาเพราะเรื่องเหล่านี้ได้ยังไง เกรงว่ามันคงเป็นเรื่องจริงอย่างที่เซี่ยชิงหยวนพูดว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลบางอย่าง

เซี่ยชิงหยวนซึ่งเดาอะไรบางอย่างได้แล้วพูดว่า “อาจารย์คะ มีบางอย่างเกี่ยวกับฉีจิ่นจือที่หนูยังไม่ได้บอกอาจารย์ค่ะ”

หัวใจของปี่เหลาซานบีบรัด “เกิดอะไรขึ้น?”

เซี่ยชิงหยวนเรียบเรียงคำพูดของเธอเองก่อน และคิดว่าจะบอกปี่เหลาซานเกี่ยวกับอดีตของฉีจิ่นจือได้อย่างไรในแบบที่ยอมรับได้ง่ายที่สุด

เธอลังเลและพูดว่า “หนูเคยเจอเขามาก่อนตอนที่หนูไปเมืองกว่างโจว ตอนนั้นเขายัง…เป็นนักเลงในเมืองกว่างโจวอยู่ค่ะ”

เธอสังเกตเห็นว่าดวงตาของปี่เหลาซานแข็งค้างและการหายใจหนักขึ้น

เขาพ่นลมหายใจออก “ไม่เป็นไร พูดต่อไปเถอะ อาจารย์ทนได้”

เซี่ยชิงหยวนคิดอยู่พักหนึ่งและตัดสินใจไม่พูดถึงเหตุการณ์ที่เธอเห็นในโรงแรม เพราะอันที่จริงเธอก็ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์นั้นเหมือนกัน ถ้าเธอพูดออกไปอย่างผิด ๆ มันจะทำให้ฉีจิ่นจือดูแย่กว่าเดิม

เธอพูดต่อว่า “มีข่าวลือทั้งดีและไม่ดีเกี่ยวกับตัวตนของเขา แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ต่อมาเมื่ออี้โจวและหนูมาที่มณฑลอวิ๋น เขาก็มาที่นี่ในฐานะลูกชายคนเล็กของฉีหยวนซาน ซึ่งบอกว่าไปอาศัยอยู่ต่างมณฑลมาก่อนหน้านี้ค่ะ”

“จากนั้นหนูได้ยินจากอี้โจวมาเท่านั้น ดูเหมือนว่าคุณนายเผ่ยจะไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดของเขา ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่ได้มีชีวิตที่ดีนักในตระกูลฉี”

หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนพูดจบ ปี่เหลาซานก็ไม่ได้พูดอะไรเป็นเวลานาน

เธออยู่ข้าง ๆ และรออย่างเงียบ ๆ

หลังจากนั้นไม่นานเธอได้ยินปี่เหลาซานถอนหายใจอย่างหนัก “ฉันเข้าใจแล้ว”

เมื่อเทียบกับตอนที่เขารู้ครั้งแรกว่าฉีจิ่นจือเป็นลูกศิษย์คนโต แสงในดวงตาของปี่เหลาซานค่อย ๆ จางลง และมันก็เหมือนเขาสูญเสียความหวังไป

ดูเหมือนเขาจะหลงอยู่ในความทรงจำ และค่อย ๆ พูดถึงเหตุการณ์ตอนที่เขารับฉีจิ่นจือมาอุปการะเลี้ยงดูเมื่อตอนนั้น

เมื่อตอนนั้นที่ปี่เหลาซานพบกับฉีจิ่นจือ เขายังคงเป็นช่างฝีมือเร่ร่อน และธุรกิจหยกของเขาเพิ่งเริ่มต้น

เขากำลังจะไปหาอะไรกิน แต่เมื่อเดินผ่านสุสานสาธารณะ เขาได้พบกับฉีจิ่นจือซึ่งมีอายุเพียงเจ็ดขวบ

โจวโม่เพิ่งเสียชีวิตในเวลานั้น พวกเพื่อนบ้านช่วยอุ้มเธอมายังบริเวณสุสานสาธารณะแล้วจากนั้นก็เมินเฉยต่อทั้งแม่และลูกชาย

ตอนนั้นฉีจิ่นจือใช้ทั้งแท่งไม้และมือเปล่าขุดหลุมให้โจวโม่

ขณะนั้นฝนตกหนักมาก ทั่วทั้งร่างกายของเด็กชายเปียกปอนไปหมด มันเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงและเสื้อผ้าบาง ๆ ของเด็กชายที่แนบกับร่างกายก็ยิ่งทำให้เห็นเด่นชัดว่าผอมมากขนาดไหน

บางทีอาจเป็นเพราะดวงตาที่นิ่งงันของเด็กชายนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง มันได้ดึงดูดปี่เหลาซาน เขาจึงเดินเข้าไปถามเด็กชายว่า “เด็กน้อย ญาติของเธออยู่ที่ไหน?”

ฉีจิ่นจือเหลือบมองเขาไม่พูดอะไร และยังคงขุดหลุมด้วยมือเปล่าต่อไป

มือเล็กๆ ของเด็กชายถูกหินหยาบ ๆ ขูด นิ้วเต็มไปด้วยโคลนและเลือดสดสีแดง ฉีจิ่นจือดูเหมือนจะไม่รู้สึกเจ็บปวดและไม่กะพริบตาเลย

ในการเดินทางที่ผ่านมา ปี่เหลาซานได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย หลายครั้งเขาเห็นเด็ก ๆ ร้องไห้หาพ่อแม่อย่างสิ้นหวัง แต่ก็ไม่มีใครเหมือนฉีจิ่นจือที่สงบนิ่ง แต่มองแล้วบีบหัวใจเหลือเกิน

เขาถอนหายใจ “ช่างเถอะ มันคงเป็นโชคชะตาที่ทำให้ฉันได้พบเธอสินะ”

ขณะที่พูด เขาก็หยิบของในกระเป๋าออกมา มันเป็นพลั่วแบบพับได้ขนาดพอดีมือแล้วพูดพร้อมกับยิ้มให้ฉีจิ่นจือ “ให้ฉันช่วยเถอะ”

หลังจากพูดอย่างนั้นเขาก็ขุดหลุมให้ฉีจิ่นจือ

ฉีจิ่นจือมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าและขอบคุณปี่เหลาซานด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ขอบคุณครับ”

ปี่เหลาซานช่วยอุ้มโจวโม่ลงไปในหลุมที่ขุดไว้ ปิดทับด้วยดิน เอาท่อนไม้ที่แตกหักมาปักไว้บนหลุมแล้วถามว่า “นี่คือแม่ของเธอหรือเปล่า?” เธอชื่ออะไร?”

ฉีจิ่นจือพูดอย่างเฉยเมย “โจวโม่ โม่ที่ใส่ใจกันและกัน”

โจวโม่บอกเขาตั้งแต่ตอนที่เขายังเล็กว่า เมื่อตอนที่คุณตาของเขาเลือกชื่อโจวโม่ เขาหวังเพียงว่าลูกสาวจะเป็นคนที่สามารถค้นหาคนที่อยากอยู่ด้วยและเข้ากันได้

ตอนนี้เมื่อย้อนคิดไปแล้วมันก็เป็นเรื่องน่าขันจริงๆ

ปี่เหลาซานใช้มีดแกะสลักชื่อของโจวโม่แล้วถามว่า “เด็กน้อย เธออะไร?”

ฉีจิ่นจือเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วพูดย้ำชัดทุกคำว่า “โจวจิ่นจือ”

—————————————————-

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Score 10
Status: Completed
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี ...ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด! เรื่องย่อ หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

Options

not work with dark mode
Reset