บทที่ 407 ยังคงเป็นเด็กคนเดิม
บทที่ 407 ยังคงเป็นเด็กคนเดิม
เซี่ยจื่ออี้มองไปที่ฉินซูอวี้ด้วยดวงตาที่อยากจะฆ่าแกง และเธออยากจะก้าวไปฉีกกระชากฉินซูอวี้เป็นชิ้น ๆ เหลือเกิน
แต่เธอทำไม่ได้ เธอทำอะไรไม่ได้เลย
เธอยังต้องยิ้มและดูพวกเขาหัวเราะด้วยกันโดยแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
ในที่สุดสายตาของเธอก็ตกลงไปที่เซี่ยชิงหยวน
แผนทุกอย่างที่เธอจัดเตรียมไว้นาน กลับกลายเป็นว่าเซี่ยชิงหยวนได้ประโยชน์ไป
ไม่สิ ยังมีเวลาอีกนานที่จะทำมันต่อไป ตอนนี้ยังไม่มีการตัดสินผู้ชนะสักหน่อย
เซี่ยจื่ออี้หันหลังกลับและจากไปด้วยความไม่เต็มใจ
มีคนสังเกตเห็นการจากไปของเซี่ยจื่ออี้ แต่แทบจะในทันทีคนอื่น ๆ ก็ไม่มองอีกต่อไป
หากเซี่ยเจิ้งยังคงรักเซี่ยจื่ออี้เหมือนเดิม พวกเขาก็คงจะไม่กล้าทำเช่นนี้กับเธอหรอก
เพียงแต่ว่าในตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยจื่ออี้และเซี่ยเจิ้งนั้นเหมือนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ และเซี่ยเจิ้งยังปล่อยให้เรื่องซุบซิบที่เกี่ยวข้องกับเซี่ยจื่ออี้ดำเนินไปโดยไม่จัดการอะไร ซึ่งหมายความว่าเซี่ยเจิ้งได้แสดงจุดยืนของเขาที่ชัดเจนในเรื่องนี้แล้ว
ในเมื่อพ่อของเธอเองยังไม่ไยดี แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องประจบประแจงเธอด้วย?
นอกจากนี้สำหรับคนเจ้าเล่ห์อย่างเซี่ยจื่ออี้ เมื่อคบด้วยแล้วก็ต้องระวังว่าเธอจะแทงข้างหลังอยู่ตลอดเวลา ทำไมพวกเขาต้องเอาความกังวลแบบนั้นมาใส่ตัวเองด้วยล่ะ?
…
เมื่อเซี่ยจื่ออี้กลับถึงบ้าน ไฟในห้องนั่งเล่นก็เปิดขึ้น และเซี่ยเจิ้งก็นั่งอยู่บนโซฟาราวกับกำลังรอเธออยู่
เซี่ยจื่ออี้เก็บอารมณ์ของเธอและเดินไปหาอย่างมีความสุข “พ่อคะ”
เซี่ยเจิ้งเงยหน้าขึ้น “นั่งลง”
เห็นได้ชัดว่าเขามีอะไรจะพูดกับเธอ
เซี่ยจื่ออี้นั่งลงข้าง ๆ พลางคิดทบทวนว่าวันนี้เธอได้ทำอะไรที่ทำให้เซี่ยเจิ้งไม่มีความสุขหรือไม่
เซี่ยเจิ้งมองไปยังลูกสาว “คืนนี้ไปไหนมา?”
สีหน้าของเซี่ยจื่ออี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “หนูแค่ออกไปเดินเล่นน่ะค่ะ”
ดวงตาของเซี่ยเจิ้งฉายแววด้วยความผิดหวัง “จื่ออี้ ลูกยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะแต่งงานกับตระกูลฉีอีกเหรอ?”
ดูเหมือนว่าน่าจะมีใครสักคนมาพูดอะไรบางอย่างให้เซี่ยเจิ้งรู้สินะ
“พ่อคะ” เซี่ยจื่ออี้น้ำตาไหลทันที “หนูแค่ไปส่งของกับเผ่ยเยว่ มันไม่ใช่อย่างที่พ่อคิดเลยนะ”
ทุกอย่างยังไม่จบ และเธอไม่สามารถให้เซี่ยเจิ้งรู้ได้
เซี่ยเจิ้งถอนหายใจ “พ่อเลี้ยงลูกมาตั้งแต่เกิด พ่อจะไม่เข้าใจความคิดลูกได้ยังไง ลูกคิดว่าพ่อเชื่องั้นเหรอว่าลูกทำลงไปโดยไม่ได้คิดอะไรเลยน่ะ?”
จากนั้นเขาพูดอย่างเคร่งขรึม “หลังจากปีใหม่ ลูกย้ายไปอยู่ที่บ้านลุงของลูกในเมืองหลวงซะ อยู่ที่นั่นลุงเขาจะดูแลลูกเอง ส่วนเรื่องงาน พ่อได้ทำเรื่องย้ายลูกไปที่นั่นแล้ว”
เซี่ยจื่ออี้ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเซี่ยเจิ้งถึงกับต้องการส่งเธอไปจากที่นี่จริง ๆ “พ่อคะ! พ่อทำแบบนี้กับหนูไม่ได้นะ!”
เธอจับมือของเซี่ยเจิ้งไว้แน่น “แม้ว่าหนูจะทำผิดพลาดไปหลายอย่าง แต่พ่อก็ทำแบบนี้กับหนูไม่ได้! ตอนนี้เราอยู่ในยุคไหนแล้ว พ่อใช้วิธีเผด็จการแบบนี้กับหนูได้ยังไง?”
ถูกย้ายไปอยู่เมืองหลวงนั้นฟังดูดี แต่คนที่เธอเรียกว่าลุงไม่ว่าจะมีตำแหน่งทางราชการสูงแค่ไหนก็ยังถูกควบคุมโดยภรรยาของเขาที่บ้านอย่างเชื่อฟัง แล้วเขาจะดูแลเธอได้ยังไง? ปล่อยให้เธอดูแลตัวเองยังดีกว่าอีก
เซี่ยจื่ออี้รู้สึกตื่นตระหนกมากจนลืมว่าคำพูดดังกล่าวที่พูดออกไปจะส่งผลต่อเซี่ยเจิ้งอย่างไรหากคนอื่นได้ยิน
ดวงตาของเซี่ยเจิ้งเต็มไปด้วยความผิดหวัง เขาเอนหลังบนโซฟา และถอนหายใจอย่างหนัก ในทันใดนั้น ร่างกายของเขาดูเหมือนจะแก่ขึ้นอีกมากกว่าสิบปี
น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของชายชรา และเขาก็พยายามรั้งตัวเองไว้ “จื่ออี้ ลูกโตแล้วจริง ๆ และพ่อควบคุมลูกไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”
เขายืนขึ้นอย่างสั่นเทาและโบกมือ “งั้นก็เท่านี้เถอะ จากนี้ไปลูกอยากทำอะไรก็ทำเลย แต่พ่อมีคำขอเดียวเท่านั้น อย่าทำอะไรในนามของพ่ออีก พ่อเป็นข้าราชการที่ซื่อตรงมาตลอดชีวิต พ่อไม่ต้องการให้บั้นปลายการรับราชการของพ่อต้องดับลงอย่างไร้ค่า”
หลังจากพูดคำเหล่านี้ มันดูเหมือนว่าเขาใช้พลังของทั้งชีวิตไปหมดสิ้นแล้ว
เขาจับไม้ค้ำและเดินขึ้นบันไดไปทีละขั้น
เซี่ยจื่ออี้ตะโกนออกมาจากด้านหลัง “พ่อคะ หนูเป็นลูกสาวของพ่อนะ! พ่อทำแบบนี้ไม่เห็นแก่แม่ของหนูบ้างเหรอ?”
ทันใดนั้นร่างของซี่ยเจิ้งก็กระตุก เขากุมหัวใจก่อนจะก้าวพลาดและล้มลงอย่างแรง
“พ่อคะ!” เซี่ยจื่ออี้ตกใจและวิ่งเข้ามาช่วยทันที
เซี่ยเจิ้งปิดตาของเขาแน่นในเวลานี้และใบหน้าก็ซีดขาว
แม่บ้านได้ยินเสียงร้องจึงรีบเดินออกมาดู และเมื่อเธอเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ตกใจอย่างมาก
เซี่ยจื่ออี้ร้องไห้พลางตะโกน “ยังยืนนิ่งทำซากอะไรอยู่อีก? รีบช่วยฉันส่งเขาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!”
…
ฉีจิ่นจือกลับเข้าไปในสำนักงานพร้อมตะกร้าและเพื่อนร่วมงานของเขาก็รุมเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว “พี่ฉี คนจากที่บ้านส่งของอร่อยมาให้เหรอ?”
คนทั้งหมดในสำนักงานมาดูสิ่งที่อยู่ในตะกร้ากันทันที
ฉีจิ่นจือหัวเราะและดุว่า “ห้ามแตะต้องมันนะ”
คนที่มีสายตาเฉียบคมสังเกตเห็นห่อขนมที่มีสีสันสดใสในตะกร้าแล้วหัวเราะ “พี่ฉีชอบกินขนมแบบนี้มากเลยเหรอ?”
เขาถอนหายใจ “แหม ๆ การกินเนื้อดีกว่าตั้งเยอะเลยนะ”
มีคนพูดติดตลกขึ้นมา “นี่เป็นของขวัญจากคนรักของพี่ฉีรึเปล่า?”
ทันทีที่เขาพูดจบก็ถูกตบหลังทันที “นายโง่รึไง นายเคยเห็นพี่ฉีมีคนรักตั้งแต่เมื่อไหร่หะ?”
“ไหนดูสิ…เอ่อ นี่ก็น่าจะเป็นของขวัญจากคนรักของพี่ฉีจริง ๆ แหละ”
ฉีจิ่นจือยิ้มอย่างหายากและหยิบเงินออกจากกระเป๋าของเขา “ออกไปข้างนอกแล้วซื้อเนื้อมาเพิ่มไป”
เมื่อพูดอย่างนั้นแล้วเขาก็ถือตะกร้าเดินไปข้าง ๆ เปิดผ้าที่คลุมตะกร้าขึ้นด้วยความตื่นเต้นในใจ
อย่างแรกเลยชามที่หุ้มที่กันความร้อนอย่างดีปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา และข้างใต้มีเตาถ่านขนาดเล็กที่เหลือเพียงขี้เถ้าวางอยู่
เขาเคยเห็นชามแบบนี้จากระยะไกลในร้านของเซี่ยชิงหยวน มันเป็นชามที่เธอมักจะใช้ดื่มซุป
หน้าของเขาเริ่มอ่อนโยนและเอื้อมมือออกไปแตะชามซุปอย่างแผ่วเบา
ความร้อนระอุของชามไม่อาจทำให้เขาปล่อยมือจากมันได้เลย
ในทางกลับกัน เขากลับโลภมากยิ่งขึ้นและใช้ทั้งฝ่ามือโอบกุมมันไว้
ความร้อนทำให้ผิวหนังของเขาเจ็บแสบ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้หัวใจของเขาอบอุ่น
เมื่อเปิดฝาชามซุป กลิ่นที่คุ้นเคยก็ลอยมากระทบจมูก
เขาเห็นซุปไก่สีทอง พร้อมด้วยเก๋ากี่สีแดงสองสามลูก อินทผาลัมสีแดงดำและน่องไก่ขนาดใหญ่ลอยอยู่ในนั้น
เซี่ยชิงหยวนเคยปรุงซุปนี้ให้เขาตอนที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
เธอสับเนื้อไก่ในซุปไก่เป็นชิ้นขนาดกลาง ยกเว้นน่องไก่
หญิงสาวชี้ไปที่น่องไก่ในซุปแล้วพูดกับเขาว่า “ในครอบครัวของฉัน ปู่ของฉันและพี่รองมักจะได้กินน่องไก่กัน ส่วนฉันกับพี่ใหญ่มักจะได้กินแต่ส่วนปีกไก่บน ซึ่งเราเรียกมันว่าน่องเล็กของไก่น่ะ”
“แต่ปู่ของฉันมักจะไม่เต็มใจที่จะกินมัน จึงแอบเหลือน่องไก่ไว้ให้ฉัน ดังนั้นตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ฉันจึงชอบกินน่องไก่มากที่สุด”
เขามองน่องไก่ด้วยดวงตาที่เริ่มรู้สึกร้อน
เขาสูดจมูกพยายามกลั้นน้ำตาที่ไหลออกมา
กุมชามซุปแล้วก้มศีรษะลงเพื่อจิบมัน ซึ่งก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคย
ชายหนุ่มเงยหน้ามองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ส่องสว่างด้วยดอกไม้ไฟ พลางรู้สึกว่าหัวใจที่มืดมนและเย็นชาของเขามันเหมือนมีแสงที่ส่องสว่างลงมาอาบไล้
หากไม่ใช่ว่าเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าเมื่อสิบสองปีที่แล้ว เขาคงจะยังเป็นเด็กคนเดิมที่ถูกพาออกมาจากความมืดมิดโดยปี่เหลาซานสินะ
—————————————————-