บทที่ 406 ไร้ความหมาย
บทที่ 406 ไร้ความหมาย
เผ่ยเยว่มองไปยังเซี่ยจื่ออี้ บนใบหน้าของเธอไม่แสดงความเศร้ามากนัก “คนคนนั้นเพิ่งบอกว่าเลขาธิการเสิ่นส่งมาน่ะ”
เซี่ยจื่ออี้เลิกคิ้ว “เลขาธิการเสิ่นเป็นผู้ชาย เขาจะมีความคิดละเอียดถี่ถ้วนขนาดนี้ได้ยังไงล่ะ? จากสิ่งที่ฉันเห็น เห็นได้ชัดว่าคุณนายเสิ่นใช้ชื่อเลขาธิการเสิ่นขอให้ใครสักคนนำของมาให้เขามากกว่าต่างหาก”
เผ่ยเยว่ขมวดคิ้ว “คุณนายเสิ่นกับเลขาธิการเสิ่นเป็นสามีภรรยากัน การที่พวกเขาส่งของมาในนามของเลขาธิการเสิ่นแล้วมันแปลกตรงไหน? ยิ่งไปกว่านั้น การที่ลูกพี่ลูกน้องของฉันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลเสิ่น มันก็ควรเป็นสิ่งที่ลุงของฉันอยากเห็นไม่ใช่เหรอ?”
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการที่จะคุยหัวข้อนี้อีกต่อไป เผ่ยเยว่จึงมอบตะกร้าให้กับยามที่เธอเพิ่งขอความช่วยเหลือ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นคืนวันส่งท้ายปีแท้ ๆ แต่คุณยังทำหน้าที่เพื่อประชาชนอยู่อีก ขอบคุณที่ทำงานหนักนะคะ”
“มีเครื่องเคียงบางอย่างสำหรับกินคู่กับเหล้าอยู่ด้วย หยิบไปกินด้วยกันก็ได้นะคะ”
ยามหนุ่มสะดุ้งกับตะกร้าที่จู่ ๆ ก็ยื่นมาให้เขา และโบกมือปฏิเสธทันที “ไม่ครับ ๆ ผมรับไม่ได้หรอกครับ ผมจะรับของจากราษฎรได้ยังไง?”
เผ่ยเยว่ยิ้มกลับ “มันไม่สำคัญหรอกค่ะ แค่คิดว่าฉันไม่ใช่ราษฎร แต่เป็นญาติของฉีจิ่นจือก็พอ”
เธอชี้ไปในทิศทางที่ฉีจิ่นจือจากไปและแลบลิ้นออกมา “เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันเองน่ะค่ะ”
ทันใดนั้นยามหนุ่มก็ตระหนักได้ “อ้อ”
เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้ยินมาว่าหลานสาวของภรรยาท่านฉีหยวนซานมาอยู่ที่นี่ ไม่คาดคิดเลยว่าเธอคนนั้นคือคนที่อยู่ตรงหน้าเขานี่เอง
หญิงสาวมีรอยยิ้มที่แสนหวาน พูดจาไพเราะ และไม่มีท่าทีถือตัวใด ๆ
เมื่อเห็นยามรับตะกร้าไป เผ่ยเยว่ก็พยักหน้าให้เขาแล้วพูดกับเซี่ยจื่ออี้ว่า “กลับกันเถอะ”
ดวงตาของเซี่ยจื่ออี้ฉายแววประชดประชัน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ตอบว่า “ได้”
เรื่องในวันนี้ทำให้เธอรู้ว่าตัวเองประเมินเผ่ยเยว่คนนี้ต่ำเกินไปจริง ๆ
เดิมทีเธอคิดว่าเผ่ยเยว่โง่และหลอกง่ายเหมือนกับฉินซูอวี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย
และนั้นก็จริงเช่นกัน ลูกสาวของตระกูลเผ่ยจะโง่ได้ยังไงกันล่ะ?
…
ฉินซูอวี้กำลังเดินคนเดียวในเขตที่พักอาศัยอย่างเบื่อหน่าย
ในอดีต เวลานี้ของทุกปีเธอจะออกไปเที่ยวกับเซี่ยจื่ออี้ และเด็กสาวอีกหลายคนในวัยใกล้เคียงกัน แต่ตอนนี้…
เธอส่ายหัวและยิ้มกับตัวเอง
เธอสูญเสียชื่อเสียง และเซี่ยจื่ออี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน พวกเธอทั้งสองต่างสูญเสียกันทั้งนั้น
ขณะที่เดินอยู่ เธอก็ค่อย ๆ ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ตรงหน้า และตระหนักว่าเธอมาถึงประตูบ้านตระกูลเสิ่นโดยไม่รู้ตัว
ประตูลานบ้านของตระกูลเสิ่นเปิดอยู่ และเด็ก ๆ ก็วิ่งเข้าออกจากประตูกัน ถือดอกไม้ไฟในมือและโบกมือของพวกเขาอย่างมีความสุข
ชายหนุ่มที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนเดินตามหลังพวกเด็ก ๆ “ช้าลงหน่อย เจ้าพวกลูกกระต่ายน้อยช้าลงหน่อยสิ!”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีรอยยิ้มบนริมฝีปาก เห็นได้ชัดว่าเขาก็ชอบมันเหมือนกัน
เธอพบว่าตัวเองกำลังหัวเราะโดยไม่รู้ตัว จึงรีบหุบยิ้มและวางแผนที่จะจากไป
“เสี่ยวฉิน?” เฟิงหว่านและผู้หญิงหลายคนเดินออกมากับเซี่ยชิงหยวนจากประตูลานบ้าน เมื่อเห็นหญิงสาว พวกเธอก็ร้องเรียกไว้
ฉินซูอวี้หยุดและพยักหน้าไปทางพวกเธอ
เมื่อก่อนเธอเคยเกเรทั้งยังเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ ทว่าตอนนี้หญิงสาวแค่ระมัดระวังและถ่อมตัวเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบกับเซี่ยจื่ออี้แล้ว เซี่ยชิงหยวนมีความประทับใจในตัวฉินซูอวี้ที่ดีกว่า
ยกเว้นคำพูดหยาบคายที่ฉินซูอวี้เคยพูดออกมาเมื่อตอนอยู่ที่เตียนเฉิงเพราะเสิ่นอี้โจว ฉินซูอวี้ก็ไม่ได้ทำอะไรที่ร้ายกับเธอมากนัก
การแสดงความเมตตาต่อฉินซูอวี้ในช่วงเวลานี้มันดีกว่าการที่ยังคงคิดโกรธเคืองและคิดบัญชีต่อไป
เฟิงหว่านมีความคิดแบบเดียวกับเซี่ยชิงหยวน เมื่อกี้จึงหยุดเรียกฉินซูอวี้ไว้
เมื่อเปรียบเทียบกับเซี่ยจื่ออี้ที่มีความคิดแอบแฝงอยู่ตลอดแล้ว ฉินซูอวี้ที่ตรงไปตรงมานั้นยอมรับได้ง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “เราเพิ่งออกมาดูเด็ก ๆ จุดพลุดอกไม้ไฟกันน่ะ นอกจากนี้ยังมีอาหารในบ้านด้วย มาฉลองด้วยกันไหม?”
ฉินซูอวี้ตกตะลึงทันที เซี่ยชิงหยวนกำลังเชิญเธอเหรอ?
เฟิงหว่านเองก็พูดว่า “ใช่ มาคุยเล่นด้วยกันเถอะ”
ผู้หญิงคนอื่น ๆ เมื่อถูกนำโดยเซี่ยชิงหยวนและเฟิงหว่าน และเห็นทั้งสองคนพูดแบบนี้ พวกเธอก็เห็นด้วยไปโดยปริยาย
ดวงตาของฉินซูอวี้แดงก่อนจะตอบว่า “อะ อื้ม”
เธอคิดว่าตัวเองจะไม่ได้การต้อนรับในเขตที่พักอาศัยเสียแล้ว
ด้วยการเพิ่มฉินซูอวี้เข้ามา ทำให้เฟิงหว่านเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาจากเรื่องเด็ก ๆ มาเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นและเครื่องประดับ ทำให้ฉินซูอวี้มีส่วนร่วมได้ง่ายขึ้น
บางคนยังหยอกล้อฉินซูอวี้ “เสี่ยวฉิน คุณจะหาคู่เมื่อไหร่เหรอคะ?”
ฉินซูอวี้พลันหน้าแดงขึ้นมา “ฉันยังไม่มีแผนเลยค่ะ”
เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ ทุกคนก็หัวเราะ “คุณจะอายอะไรกันกับเรื่องแบบนี้ล่ะ ผู้ชายยังแต่งงานเมื่อโตขึ้นเลย ผู้หญิงก็ควรแต่งงานเมื่ออายุมากขึ้นเช่นกันสิ ตอนเราอายุเท่าคุณ เราทุกคนต่างก็มีลูกกันแล้วนะ!”
ขณะที่พูดคุยกันแบบนี้ หลายคนก็หัวเราะอีกครั้ง
ฉินซูอวี้หน้าแดงอย่างมากและก้มหัวลง
เซี่ยจื่ออี้บังเอิญเห็นเหตุการณ์นี้เข้า ตอนที่เธอจงใจพาเผ่ยเยว่เดินไปรอบ ๆ เขตที่พักอาศัย
เซี่ยจื่ออี้มองไปยังฉินซูอวี้ที่ยืนอยู่กับทุกคน ดวงตาของเธอมืดลงและกลายเป็นเย็นชาในท้ายที่สุด
ทำไมฉินซูอวี้ถึงอยู่ที่นี่?
เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกเธอสองคนเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวด้วยกัน แต่ทำไมตอนนี้เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกทุกคนเมินใส่ล่ะ? แต่ฉินซูอวี้กลับสามารถเข้าร่วมวงสังคมในเขตที่พักอาศัยได้แล้ว?
ทำไม!
ดวงตาที่โกรธแค้นมากขึ้นของเธอสบกับเซี่ยชิงหยวนที่กำลังมองดูอยู่เข้าพอดี
รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏบนริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวน ก่อนจะละสายตาหันไปคุยกับคนอื่นต่อ
นี่เป็นการเมินเฉยต่อเธอโดยสิ้นเชิง
เฟิงหว่านเองก็สังเกตเห็นเซี่ยจื่ออี้และเผ่ยเยว่เช่นกัน
เธอไม่รังเกียจที่จะเห็นความตื่นเต้นและยิ้มให้เผ่ยเยว่ “นั่นใช่หลานสาวของผู้อำนวยการฉีหรือเปล่าน่ะ?”
เธอโบกมือให้เผ่ยเยว่ “มาเถอะค่ะ มาคุยด้วยกันสิ”
เผ่ยเยว่ก็ยิ้มเช่นกันก่อนจะตอบว่า “ค่ะ”
วินาทีถัดมา มันกลายเป็นว่าเซี่ยจื่ออี้เฝ้าดูเผ่ยเยว่เดินไปหากลุ่มของเซี่ยชิงหยวน แต่ตัวเธอกลับถูกทิ้งไว้คนเดียว
เธอต้องการเอื้อมมือออกไปจับเผ่ยเยว่ แต่อีกฝ่ายจากไปแล้วโดยไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่นิดเดียว
ฉินซูอวี้ก็เงยหน้าขึ้นในเวลานี้และเห็นเซี่ยจื่ออี้
หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นแล้วยิ้มอย่างดูถูกไปทางเพื่อนเก่าของเธอ
เซี่ยจื่ออี้เคยหัวเราะเยาะเธอและวางแผนมานานมากมาย แต่ตอนนี้ทุกสิ่งกลับกลายไร้ความหมายไปเสียแล้ว