บทที่ 392 เพื่อนเก่า
บทที่ 392 เพื่อนเก่า
ก่อนที่ฉีจิ่นจือจะเข้าใกล้ ปี่ฟู่หมานก็เห็นเขาซะก่อน
สายตาขี้เกียจของเด็กหนุ่มมองผ่านเขา และก็ยังคงทะเลาะกับปี่เหลาซานต่อไป
อีกฝ่ายจำเขาไม่ได้
อันที่จริงเมื่อตอนนั้นที่เขาจากมา ปี่ฟู่หมานยังเป็นเด็กเพียงสี่หรือห้าขวบ ดังนั้นเด็กหนุ่มจะจำเขาได้ยังไง
แม้แต่ปี่เหลาซานก็อาจจะจำเขาตอนนี้ไม่ได้เช่นกัน
12 ปีผ่านมาแล้ว เด็กหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นตอนนี้ได้เติบโตขึ้นและไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
และปี่เหลาซานก็เปลี่ยนจากชายหนุ่มหลังตรงเป็นชายชราในวัยหกสิบเศษหลังค่อม
ฉีจิ่นจือมองไปยังเครื่องประดับหยกที่ปิดตาซ้ายของชายชรา เขาพยายามอดกลั้นน้ำตาและความเจ็บปวด เขาไม่สามารถพูดคำว่า ‘อาจารย์’ ได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
เป็นเขาเองที่ทำให้อาจารย์สูญเสียดวงตา
เขาจำได้ว่าตัวเองติดตามปี่เหลาซานเมื่อตอนที่เขายังเด็ก และลามะคนหนึ่งก็ทำนายดวงชะตาให้เขา
เขาคือคนที่ถูกลิขิตให้อยู่คนเดียว มีญาติน้อย และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว
ครั้งนั้นพระลามะได้แนะนำปี่เหลาซานว่า “ท่านไม่ใช่ผู้อุปถัมภ์ที่ถูกกำหนดให้มีชะตาเกื้อหนุนกันและกันกับเด็กคนนี้ มันมีเพียงแต่จะเกิดผลเสียหายแก่ท่านเท่านั้นหากยังดื้อรั้นต่อไป”
ครั้งนั้นปี่เหลาซานได้แต่ยิ้ม “ข้าพเจ้าปี่เหลาซานไม่เคยเห็นใครที่น่าสงสารขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เขาสูญเสียพ่อแม่ไปหมดแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งเขาไปได้อย่างไร”
ผลลัพธ์ต่อมาก็คือปี่เหลาซานสูญเสียดวงตาข้างหนึ่งเพราะเขาดั่งที่พระลามะคนนั้นพูดไว้
เมื่อมองไปยังอาจารย์และศิษย์น้องที่อยู่ไม่ไกล ฉีจิ่นจือใช้กำลังทั้งหมดของเขาเพื่อควบคุมตัวเองที่จะไม่เดินเข้าไปหา
เมื่อไม่มีเขา ชีวิตของปี่เหลาซานดีขึ้นกว่าเดิมมาก
ชายหนุ่มคิดว่าเขาควรจะยอมจำนนต่อชะตากรรมของตน
คนที่เขาตามหาทั่วประเทศอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่เขาไม่กล้าที่จะทักอีกฝ่ายอีกต่อไป
ฉีจิ่นจือกลั้นน้ำตาที่กำลังไหลออกมา หลับตา สูดหายใจเข้าลึกแล้วหันหลังกลับ
“คุณชายฉี?” แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าเซี่ยชิงหยวนจะปรากฏตัวต่อหน้าเขาในวินาทีถัดมา
เขาไม่มีเวลากลั้นน้ำตาอีกแล้ว และน้ำตาก็ร่วงหล่นต่อหน้าเธอ
เซี่ยชิงหยวนมองน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาของฉีจิ่นจือด้วยความงุนงง
ทำไมเขาถึงร้องไห้ล่ะเนี่ย?
เธอขมวดคิ้ว “คุณชายฉี คุณเป็นอะไร…”
“ชิงหยวน” เสิ่นอี้โจวที่กำลังเดินตามมาเรียกเธอจากด้านหลัง
เขาเดินมาด้านข้างและสวมเสื้อคลุมบนตัวของภรรยา “ตอนกลางคืนมันหนาวมาก เดี๋ยวคุณจะเป็นหวัดนะ”
ในขณะที่คลุมเสื้อให้เซี่ยชิงหยวนเขาก็พยักหน้าให้ฉีจิ่นจือ
เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างเขินอาย “ฉันมีความสุขมากจนลืมเรื่องนี้ไปเลยน่ะ”
เมื่อสักครู่นี้มีคนจากสำนักงานรักษาความปลอดภัยเขตที่อยู่อาศัยโทรมาขณะดูดอกไม้ไฟในลานบ้าน โดยบอกว่ามีชายชราและเด็กหนุ่มคู่หนึ่งรอเธออยู่ที่ประตูใหญ่โดยบอกว่าพวกเขาเป็นเพื่อนเก่าของเธอ
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินประโยคนี้ เธอก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องเป็นปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมาน!
ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจที่จะดูดอกไม้ไฟอีกต่อไปและรีบวิ่งมาที่ประตูใหญ่
เมื่อนึกขึ้นได้ถึงจุดประสงค์ที่เธอออกมา หญิงสาวก็รีบมองไปทางข้างหลังฉีจิ่นจือ
ปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานได้ยินการเคลื่อนไหว จึงมองมาด้วย
ปี่เหลาซานตะโกนอย่างมีความสุขกับยามที่ประตู “ดูสิ คนของเรามาแล้ว”
เสิ่นอี้โจวรีบส่งสัญญาณให้ยามปล่อยพวกเขาเข้ามา และก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับกระเป๋าเดินทางของปี่เหลาซานกับปี่ฟู่หมาน
เซี่ยชิงหยวนวิ่งไปอย่างตื่นเต้น “อาจารย์! อาหมานน้อย!”
หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดการประท้วงของปี่ฟู่หมาน “ผู้หญิงคนนี้นี่ ผมเคยบอกคุณแล้วไงว่าอย่าเรียกผมแบบนั้น”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ทำให้ดวงตาของฉีจิ่นจือเบิกกว้าง
เซี่ยชิงหยวนเรียกปี่เหลาซานว่า ‘อาจารย์’ ?
ถัดจากเขา เธอก็กลายเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์จริงๆ งั้นเหรอ?
ในหัวของเขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหึ่งและมันก็ไม่ตอบสนองอะไรเลย
“คุณชายฉี คุณอยากไปกินอาหารที่บ้านเราไหม?” ขณะที่ชายหนุ่มกำลังตกใจ เสิ่นอี้โจวก็เรียกเขา
คิ้วของเสิ่นอี้โจวอ่อนโยนและมองด้วยรอยยิ้ม
เสิ่นอี้โจวสังเกตเห็นกระเป๋าเดินทางในมือของฉีจิ่นจือแล้ว และไม่ได้ถามว่าทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่เพียงลำพังเมื่อทุกครอบครัวกำลังกินมื้อเย็นอยู่
เซี่ยชิงหยวนยังคงจับมือปี่เหลาซานด้วยมือข้างหนึ่งและจับปี่ฟู่หมานด้วยมืออีกข้าง เธอยิ้มให้ฉีจิ่นจือและพูดว่า “ใช่ ไปกินข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านกันเถอะ”
บ้านเหรอ?
ฉีจิ่นจือทวนคำนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจ
เมื่อมองดูดวงตาที่ชัดเจนของเซี่ยชิงหยวน หน้าที่สงบของเสิ่นอี้โจว และปี่เหลาซานกับปี่ฟู่หมานที่อยู่ข้าง ๆ
ความอบอุ่นก็ไหลผ่านหัวใจของเขา หัวใจฝั่งเหตุผลบอกเขาว่าควรปฏิเสธและเดินจากไปทันที
แต่แล้ว…เขากลับพยักหน้าอย่างไม่สามารถต้านทาน “ตกลง”
…
กว่าที่ฉีจิ่นจือจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เขาก็นั่งอยู่ในห้องอาหารที่อบอุ่นของตระกูลเสิ่น และรอป้าอู๋นำอาหารมาที่โต๊ะซะแล้ว
โชคดีที่เพื่อดูแลเซี่ยชิงหยวน จึงมีการเตรียมวัตถุดิบอาหารมากมายที่บ้าน การเพิ่มคนสามคนเข้ามากินด้วยจึงไม่มีปัญหาเลย
หลินตงซิ่ว เสิ่นอี้หลิน และอาเซียงนั่งอยู่ด้วยกัน มองไปยังปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เซี่ยชิงหยวนมีความสุขมาก และอยากจะไปที่ห้องครัวเพื่อแสดงทักษะของเธอ
เสิ่นอี้โจวดึงภรรยาไว้ทันทีแล้วพูดว่า “อาจารย์และศิษย์น้องของคุณจะอยู่ที่นี่สักพักอยู่แล้ว เอาไว้ตอนที่คุณดีขึ้นจากอาการแพ้ท้องแล้วมันยังก็ไม่สายเกินไปสำหรับคุณหรอกนะที่จะปรุงอาหารเอง”
ปี่เหลาซานเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนผอมลงไปจากคราวที่แล้วที่เจอกันตั้งแต่แรกแล้ว เขาพลันนึกตำหนิสามีของศิษย์เขาคนนี้ว่าเป็นคนไม่มีน้ำใจ แต่หลังจากฟังคำพูดของเสิ่นอี้โจว ใบหน้าชราของเขาก็ยิ้มกว้างทันที “เสี่ยวเสิ่นพูดว่าอะไรนะ?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ใช่แล้วครับอาจารย์ ชิงหยวนตั้งครรภ์ได้สองเดือนกว่าแล้วครับ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ปี่เหลาซานก็ดีใจมาก เขาตบต้นขาตัวเองแล้วหัวเราะเสียงดัง “เยี่ยมเลย!”
เขายกนิ้วให้เซี่ยชิงหยวน “ลูกศิษย์ของฉันทำได้ดีมาก!”
เมื่อตอนที่เขาไปที่เมืองเตียนเฉิง เขาย่อมได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจว ทั้งคู่แต่งงานกันนานแล้วแต่ยังไม่มีลูกเลย
ในเวลานั้นเขาไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อจากไป เขาได้รวบรวมสมุนไพรและวิธีการรักษาพื้นบ้านสำหรับเสิ่นอี้โจวเพื่อเสริมสร้างหยาง บำรุงไตและร่างกายไว้ให้
ใครบอกว่าการมีลูกไม่ได้เป็นปัญหาของผู้หญิงเท่านั้นล่ะ?
ลูกศิษย์ของเขายอดเยี่ยมมากจะตาย เขาสามารถบอกได้ทันทีว่ามันเป็นปัญหาของผู้ชาย ทว่าตอนนี้สิ่งที่เขาเตรียมไว้ระหว่างการเดินทางไปทั่วที่ผ่านมาไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและลูบหน้าท้องของเธอเบา ๆ “เพราะฉันได้รับการอวยพรจากอาจารย์ไงคะ”
ในความเห็นของเธอ ไม่เพียงแต่ความเจ็บป่วยของเสิ่นอี้โจวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตั้งครรภ์ด้วย และแม้กระทั่งการกลับมาพบกันใหม่ในชีวิตนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากพลังของกำไลข้อมือหยกบนข้อมือของเธอ
ตอนนี้เธอสวมกำไลข้อมือหยกแล้ว มันดูแวววาว ทั้งยังเปล่งประกายมาก และเธอก็รักมันมากด้วย
ในใจของปี่ฟู่หมานมีความสุขกับเซี่ยชิงหยวนมาก จนพูดแสดงความยินดีอย่างหายากออกมา “ในเมื่อทุกคนมีความสุข พวกเรามามีความสุขด้วยกันเถอะ!”
แต่จากนั้นเขาบ่นกับเซี่ยชิงหยวน “คุณไม่รู้หรอก ตาเฒ่าคิดว่าพี่เสิ่นเป็นคนที่บกพร่องไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ ดังนั้นเขาก็เลยเตรียมสมุนไพรเอาไว้มากมายเชียวแหละ”
เสิ่นอี้โจว “…”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พูดไร้สาระอะไรกันเจ้าเด็กดื้อคนนี้!”
ปี่เหลาซานตกใจมากเช่นกัน จึงรีบเอื้อมมือไปปิดปากปี่ฟู่หมานทันที
ปี่ฟู่หมานหลบไปทางซ้ายและขวา เพื่อป้องกันไม่ให้ปี่เหลาซานปิดปากตนแล้วพูดต่อ “ตาเฒ่ายังบอกอีกว่าถ้าคุณกินสมุนไพรที่เขาหามา คุณจะมีลูกสองคนพร้อมกันเลย”
ยกเว้นเสิ่นอี้หลิน ทุกคนที่โต๊ะอาหารต่างรู้สึกเขินอายโดยเฉพาะอาเซียงที่ก้มหัวลงจนแทบจะแนบหน้าอกของเธออยู่แล้ว
ปี่ฟู่หมานคนนี้เป็นเด็กดื้อจริง ๆ ดูตัวใหญ่พอ ๆ กับน้องชายของเธอ แต่กลับเป็นคนพูดมากอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรเลย
เสิ่นอี้โจวกระแอมเบา ๆ “คราวนี้ชิงหยวนกำลังตั้งครรภ์ลูกแฝดอยู่น่ะ”
เดิมทีทั้งสองคนวางแผนว่าจะรอจนผ่านไปสามเดือน จึงพูดเรื่องนี้กับคนอื่น แต่วันนี้พวกเขาใช้ประโยชน์จากความสุขของทุกคนแล้วพูดออกมา
ไม่ว่ายังไงอีกไม่กี่วันก็จะถึงสามเดือนแล้ว
หลังจากได้ยินประโยคนี้ หลายคนที่นั่งอยู่ก็ยิ่งมีความสุขกับการได้ยินว่าเซี่ยชิงหยวนตั้งครรภ์ฝาแฝด
หลินตงซิ่วถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ “สวรรค์ทรงปฏิบัติต่อตระกูลเสิ่นของเราอย่างดีจริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนจับมือหลินตงซิ่วแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่คะ นี่เป็นโอกาสแห่งความสุขนะคะ”
หลินตงซิ่วปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว “ใช่ ๆ นี่เป็นโอกาสแห่งความสุข”
ปี่เหลาซานระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น “ฉันสามารถพูดได้เลยว่าลูกศิษย์ของฉันทำได้ดีมาก!”
ฉีจิ่นจือที่นั่งข้าง ๆ มองดูคนหลายคนในห้อง และมุมปากของเขาก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม
มันดีมากจริง ๆ
ปี่ฟู่หมานก็มีความสุขมากเช่นกัน เขายิ้มก่อนจะที่สายตาของเขาจ้องมองไปที่ฉีจิ่นจือ
เขาพบว่าฉีจิ่นจือและทุกคนที่เขาเพิ่งพบมองตัวเขาและอาจารย์ด้วยแววตาที่จริงใจทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “นี่พี่ชาย สมุนไพรที่ตาเฒ่าของผมหามานั้นเป็นของหายากมาก ๆ คุณสนใจไหม?”