บทที่ 383 เธอเป็นยาของเขา
บทที่ 383 เธอเป็นยาของเขา
ฉีจิ่นจือกลับมาอยู่กับตระกูลฉีพักใหญ่แล้ว แต่ไม่เคยเห็นเขาริเริ่มผูกมิตรกับใครเลย ยกเว้นพวกเขา ตระกูลเสิ่น
เสิ่นอี้โจวค้นพบในภายหลังว่า อีกฝ่ายถูกเซี่ยชิงหยวนพาให้หลงผิดตั้งแต่แรกแล้ว
การติดต่อของฉีจิ่นจือต่อตระกูลเสิ่น อาจไม่ใช่เพราะตัวเขาเอง แต่เป็นเพราะเธอ
ท้ายที่สุดแล้ว มีบางสิ่งที่บังเอิญเกินไปและทำให้เขาอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
ฉีจิ่นจือเอนหลังบนเก้าอี้ ไขว้ขาข้างหนึ่งแล้วใช้นิ้วเคาะเข่าของตัวเองราวกับว่าเขาไม่รีบร้อนที่จะตอบคำถาม
เสิ่นอี้โจวไม่รีบร้อนเช่นกัน พลางหยิบถ้วยชาขึ้นมาเป่าแล้วจิบช้า ๆ
ฉีจิ่นจือยิ้มแล้วพูดว่า “ผมทำให้เลขาธิการเสิ่นเข้าใจผิดหรือเปล่าเนี่ย?”
เสิ่นอี้โจวส่ายหัว “ไม่หรอกครับ มันเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวของผมน่ะ”
ฉีจิ่นจือ “เลขาธิการเสิ่นไม่ใช่คนที่ชอบสอดรู้เรื่องของใครสินะครับ”
เสิ่นอี้โจววางถ้วยชาลง “ผมคำนึงถึงทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับภรรยาและลูกของผมน่ะครับ”
ฉีจิ่นจือหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แบบนี้นับได้ว่าเลขาธิการเสิ่นเป็นสามีที่ดีและเป็นพ่อที่เยี่ยมเลยนะครับ”
เสิ่นอี้โจวมองตรงไปยังดวงตาของอีกฝ่าย “ขอบคุณสำหรับคำชมครับ”
ฉีจิ่นจือจำได้ว่าทุกวันเมื่อเขาผ่านร้านยามต้องมนต์ เขามักจะมองร่างที่งดงามนั้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อมองผ่านหน้าต่างเข้าไป
ไม่ว่าหญิงสาวจะนั่งหรือยืน ทุกท่าทางและรอยยิ้มของเธอทำให้ใจของเขาสั่นสะท้าน
เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นโรค มันเป็นโรคที่ไม่มีใครรู้จักและไม่อาจมองเห็นได้จากภายนอก
ทว่าเธอเป็นยาของเขา
ความคิดนี้ของชายหนุ่มถูกเก็บรักษาในส่วนลึกที่สุดของหัวใจอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะถูกใครจับได้
เมื่อเสิ่นอี้โจวถามคำถามนี้ขึ้นมา จริง ๆ แล้วเขาตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง
เขากังวลว่าความโลภของตนจะทำให้หญิงสาวตกที่นั่งที่ลำบาก
โชคดีที่เสิ่นอี้โจวเป็นสุภาพบุรุษที่มีเหตุและผลอย่างที่เขาคิดไว้
ดังนั้นเขาจึงโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง “ครอบครัวของเลขาธิการเสิ่นมีความใกล้ชิดและมีความสามัคคีกันไม่น้อย ทำเอาอิจฉาอยู่ไม่น้อย ผมเลยอดไม่ได้ที่จะอยากเข้าใกล้น่ะ”
เขามองไปยังเสิ่นอี้โจวราวกับกำลังพูดเรื่องธรรมดา “ท้ายที่สุดแล้ว คนเน่าเฟะอย่างผมที่คลานออกมาจากบึงโคลน ก็ย่อมโหยหาความอบอุ่นเช่นกัน จริงไหมครับ?”
ทุกคำในคำพูดของเขาระมัดระวังมาก ไม่มีสักคำเดียวที่พูดเกี่ยวกับเซี่ยชิงหยวน
แสงแวววาวในดวงตาดอกท้อของเขาทำให้ความน่าเชื่อถือของคำเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เสิ่นอี้โจวรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง
เขาไม่คาดคิดเลยว่านี่คือเหตุผล
และฉีจิ่นจือเปิดเผยอดีตของตัวเองโดยไม่ลังเลเลย
ฉีจิ่นจือรู้ว่าเซี่ยชิงหยวนจะบอกเสิ่นอี้โจวทุกอย่าง ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะซ่อนมันไว้
นี่เป็นการแสดงความปรารถนาดีที่ซ่อนอยู่ของเขาจริง ๆ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเซี่ยชิงหยวน เป็นเพียงตัวเขาเท่านั้น
เสิ่นอี้โจวยิ้มตอบ “คุณชายฉีพูดถูก ไม่ว่าในอดีตคุณชายฉีจะอยู่ที่เมืองหลวงอย่างไร แต่ตอนนี้เมื่อจำบรรพบุรุษของตัวเองได้และกลับมาร่วมกับตระกูลแล้ว มันก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่”
นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นอี้โจวพูดจากความคิดเห็นของตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เขาสาบานว่าจะเก็บเป็นความลับ
ฉีจิ่นจือยื่นมือออกไปหาเสิ่นอี้โจว “ผมหวังว่าเราจะร่วมมือกันได้อย่างปรองดองนะ”
เสิ่นอี้โจวยื่นมือของตนออกไปจับมืออีกฝ่าย “แน่นอน”
ก่อนลุกออกจากโต๊ะ เสิ่นอี้โจวหยิบเสื้อผ้าที่เซี่ยชิงหยวนเตรียมไว้มอบให้ฉีจิ่นจือ
เขามอบให้ฉีจิ่นจือ “นี่คือน้ำใจของภรรยาผม ไม่รู้ว่าคุณชายฉีจะถูกใจมันบ้างไหมนะครับ”
ฉีจิ่นจือรับถุงมาแล้วมองลงไป และเห็นว่ามีเสื้อผ้าอยู่หลายชุด
อารมณ์ที่ซับซ้อนวูบวาบขึ้นมาในดวงตาของเขา แต่ก็ปกปิดมันได้อย่างรวดเร็ว
เขาวางถุงไว้ข้าง ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมชอบมันมาก ฝากขอบคุณคุณนายเสิ่นด้วยนะครับ”
ขณะเดียวกันก็มีคนกำลังนั่งยอง ๆ อยู่ที่มุมตรงข้ามในโรงน้ำชา มองทั้งสองจับมือกัน และมอบสิ่งของให้กัน จนเขาอดไม่ได้ที่จะกัดเล็บตัวเองอย่างกระวนกระวาย
เขาก้มหน้าลงอย่างหดหู่ และตัดสินใจที่จะกลับไปเผชิญกับชะตาชีวิตที่รออยู่
…
ทันทีที่ฉีจิ่นจือกลับไปที่สถานี เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากฉีหยวนซาน “วันนี้กลับบ้านมากินอาหารเย็นด้วย”
ฉีจิ่นจือปฏิเสธโดยไม่คิดซ้ำสองเลย “คืนนี้ผมต้องลาดตระเวน ไม่ว่างกลับไป”
เสียงของฉีหยวนซานแสดงถึงความโกรธทันที “ในสำนักงานของแกไม่มีใครคนอื่นทำงานแล้วรึไง? แกต้องลาดตระเวนทุกวันเหรอหะ! ฉันบอกหัวหน้าของแกแล้วว่าคืนนี้ฉันจะให้แกกลับมา! วันนี้ฉันมีเรื่องจะต้องคุยกับแก!”
หลังจากพูดอย่างนั้น ฉีหยวนซานก็ไม่รอฟังคำตอบอะไรอีกและวางสายไป
ฉีจิ่นจือฟังเสียง ‘บี๊บบี๊บ’ ที่ปลายสายอีกด้านของโทรศัพท์พร้อมกับยิ้มเยาะเย้ย
เมื่อเขากลับไปถึงบ้านตระกูลฉี แม่บ้านก็กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่พอดี
ฉีหยวนซานนั่งอยู่เก้าอี้หลัก และเผ่ยอิ่งก็นั่งอยู่เก้าอี้ข้าง ๆ
เมื่อฉีหยวนซานเห็นลูกชายกลับมาแล้ว เขาก็พูดเบา ๆ “นั่งลงแล้วกินข้าว”
เผ่ยอิ่งพ่นลมหายใจเบา ๆ และหยุดมอง
ฉีจิ่นจือเดินไปเลือกที่นั่งที่ห่างออกไป แล้วนั่งลง รับชามที่แม่บ้านนำมาให้ “ขอบคุณ”
เรื่องพฤติกรรมของลูกชายคนนี้ ฉีหยวนซานจะพูดในภายหลัง ตอนนี้เขาจะอดทนโดยไม่พูดอะไรก่อน
เมื่อพวกเขากินกันเกือบเสร็จแล้ว ฉีหยวนซานก็พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวมะรืนนี้ลูกพี่ลูกน้องของแกจะมาจากเมืองหลวง ไปรับเธอด้วย”
เมื่อได้ยินแบบนั้นฉีจิ่นจือก็ยิ้มกริ่ม
เขาวางตะเกียบลง “ลูกพี่ลูกน้อง? ผมมีลูกพี่ลูกน้องตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะเนี่ย?”
ดวงตาดอกท้อของเขาเหลือบมองผู้เป็นพ่ออย่างเย็นชา “ครอบครัวของตา รวมทั้งคนที่ยังไม่ตายก็ไปฮ่องกงกันหมดแล้ว ลูกพี่ลูกน้องของผมมันจะไปมีได้ที่ไหนอีก?”
ฉีหยวนซานแทบสำลักกับคำพูดของลูกชาย
ชายชราสูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดอย่างอดทน “ลูกสาวคนเล็กของน้องชายคนที่สองของแม่แกเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ พ่อแม่ของเธอยังอยู่ต่างประเทศและไม่มีใครอยู่บ้าน เธอเลยมาที่บ้านของเราเพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่”
เมื่อฉีหยวนซานพูดแบบนี้ สีหน้าของเผ่ยอิ่งก็ค่อย ๆ แสดงถึงการเหน็บแนม
ส่วนฉีจิ่นจือนั้น สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “ผมว่าผมพูดไปแล้วนะ ผมมีแม่เพียงคนเดียวและนั่นคือโจวโม่! ไม่ว่าคุณจะมีข้อตกลงอะไรกับตระกูลเผ่ยลับหลัง มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมทั้งนั้น!”
เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากแล้วยืนขึ้น “ผมยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่ ขอตัวก่อน”
“ไอ้สารเลว!” ฉีหยวนซานทุบโต๊ะด้วยความโกรธ “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ชายชรายืนขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ฉันขอบอกให้แกรู้ไว้นะ เมื่อไหร่ที่ลูกพี่ลูกน้องของแกมา แกไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรเหมือนที่แกทำกับเซี่ยจื่ออี้ทั้งนั้น!”
ฉีจิ่นจือหัวเราะเยาะเย้ยเบา ๆ และมองไปยังฉีหยวนซานโดยไม่เกรงกลัวใดๆ “หล่อนเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ?”
เผ่ยอิ่งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างพ่อลูก “ฉันเคยบอกไปตั้งหลายรอบแล้ว ไม่ว่าคุณจะดีกับมันแค่ไหน มันก็ยังเป็นแค่หมาป่าตาขาว ในใจของมันมีก็แค่คนที่ตายไปนานแล้ว นัง…”
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองที่เย็นชาของฉีจิ่นจือ เผ่ยอิ่งก็กลืนคำพูดของเธออย่างหนัก “คุณให้พาเยว่เยว่มาหาเขา หลานสาวของฉันเป็นคนที่เขาเอื้อมถึงได้ด้วยเหรอ?”
พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดต่อ “ฮึ ฉันไม่กินต่อแล้วดีกว่า เสนียดเปล่า ๆ”
หลังจากนั้นเธอก็เดินกลับขึ้นห้องไป
คำพูดของเผ่ยอิ่งเตือนฉีหยวนซานว่า ในช่วงเวลานี้ต่อให้เขาพยายามอย่างหนักแค่ไหนในเรื่องของฉีจิ่นจือ อีกฝ่ายก็ไม่สำนึกถึงการพยายามของเขา แถมจะยิ่งรังเกียจมากขึ้นเท่านั้น
เขาชี้ไปที่ฉีจิ่นจือด้วยนิ้วที่สั่นคลอน “แก! แกไม่ชอบเซี่ยจื่ออี้และแกไม่ต้องการเจอกับเผ่ยเยว่ แกอยากอยู่กับเสิ่นอี้โจวไปตลอดชีวิตของแกจริง ๆ รึไง? เขาเป็นผู้ชายโว้ย! แถมแกก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน!”
“ฮ่า” ฉีจิ่นจือยกมือขึ้นแคะหู “แล้วใครบอกล่ะว่าผมชอบเสิ่นอี้โจว?”