บทที่ 371 ความรู้สึกตกตะลึง
บทที่ 371 ความรู้สึกตกตะลึง
หลิงหลินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อน “พี่ไม่รู้หรอกว่าฉินซูอวี้ถูกครอบครัวของเธอขังไว้มาระยะหนึ่งแล้ว นับตั้งแต่ที่เธอไปหาเรื่องหาราวกับเซี่ยจื่ออี้น่ะสิ”
“กว่าจะถูกปล่อยให้ออกจากบ้านมาก็เมื่อสองวันก่อนนี่เอง เฉินหลี่…เอ่อ ป้าเฉินพาเธอไปยังบ้านของผู้นำคนหนึ่งในชุมชนในฐานะแขกมาด้วยแหละ”
เพราะเหตุการณ์ระหว่างฉินซูอวี้และเซี่ยจื่ออี้ ไม่ว่าใบหน้าของฉินโย่วเหลียงจะหนามากแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ ทั้งยังไม่มีหน้าไปร้องขอให้คนอื่นเป็นธุระให้อีก
ดังนั้นเฉินหลี่จึงใช้เส้นสายของตัวเองจนพบกับผู้นำอีกคนหนึ่งซึ่งรับผิดชอบในเรื่องนี้
ประจวบเหมาะกับที่ฉินซูอวี้ประพฤติตัวค่อนข้างดีในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา และเฉินหลี่เองก็ต้องการฟื้นความสัมพันธ์แม่ลูกด้วย ดังนั้นจึงพาลูกสาวไปกับเธอ
ใครกันจะรู้ว่าหลังจากออกไปได้สักพัก กลับพบเข้ากับเหยาเป่ยเซิงและพ่อของเขาเข้า
เหยาเป่ยเซิงและพ่อของเขาก็มาเพื่อสานสัมพันธ์ในนามของตน โดยไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับฉินซูอวี้แบบนี้
ไม่เพียงแต่ฉินซูอวี้เท่านั้น แต่เฉินหลี่ก็ดูถูกเหยาเป่ยเซิงไว้ไม่น้อยเช่นกัน
ในตอนแรก มีข่าวลือออกมาว่าฉินซูอวี้ชอบพอเหยาเป่ยเซิง ซึ่งเฉินหลี่โกรธมาก เรื่องนี้จึงจบลงด้วยการที่เหยาเป่ยเซิงถูกบังคับให้ย้ายไปเรียนที่อื่น
แน่นอนว่าเฉินหลี่ไม่ได้ปัดความผิดไปว่าฉินซูอวี้หรือเซี่ยจื่ออี้คือมูลเหตุ เธอเพียงรู้สึกว่าเหยาเป่ยเซิงเป็นดวงดาวแห่งหายนะที่ทำให้เด็กสาวแตกคอกัน
แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอเขาอีกครั้งในวันนี้ ราวกับว่าได้พบศัตรูอย่างไรอย่างนั้น
คราวนี้ ฉินซูอวี้และเฉินหลี่ก็มีสัญญาณลับที่รู้กันสองคนเป็นอย่างดี โดยเชิดหน้าขึ้นพร้อมส่งเสียงฮึดฮัดไปที่เหยาเป่ยเซิง
พ่อของเหยาเป่ยเซิงเป็นปัญญาชน ทั้งยังยึดมั่นในคุณธรรมมาชั่วชีวิต เหตุนี้ทำให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นมา
เหยาเป่ยเซิงนั้นยังเป็นเด็กและใจร้อน และในขณะนั้น เขาไม่สามารถอดกลั้นได้ เมื่อแม่ลูกคู่นั้นเดินผ่านไป เขาจึงพูดก่นด่าเบา ๆ “ผู้หญิงปากร้าย!”
เดิมทีเสียงนี้แผ่วเบามาก แต่ในเวลานั้นไม่มีใครอยู่รอบ ๆ จึงไปเข้าหูของฉินซูอวี้ สุดท้ายแล้ว ฉินซูอวี้ก็โกรธขึ้นมาจึงด่าเหยาเป่ยเซิงกลับไป ทั้งสองคนทะเลาะกัน ทั้งยังยกเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้นมาด้วย
เดิมที เฉินหลี่ตั้งใจที่จะดึงฉินซูอวี้ให้รีบออกไปเพื่อไม่ให้เสียหน้า แต่ใครจะรู้ว่าเหยาเป่ยเซิงที่ดูอ่อนโยน เวลาที่ด่าคนกลับไร้ปรานี ทุกประโยคนั้นปกป้องเซี่ยจื่ออี้ แต่กระทบกระทั่งฉินซูอวี้
เฉินหลี่ซึ่งทนไม่ไหวแล้ว จึงมาร่วมวงกับฉินซูอวี้ก่นด่าสาปแช่งเหยาเป่ยเซิง
เหยาเป่ยเซิงรู้สึกโกรธแค้นจนตาแดงและไม่สนใจใยดีอะไรแล้ว ”จื่ออี้ดีกว่าเธอทุกอย่าง หล่อนทั้งอ่อนโยนและเข้าใจ เธอเทียบได้ไหมล่ะ? ฉันรักจื่ออี้ และถ้าเธอไม่ก้าวก่ายตั้งแต่แรก บางทีเราอาจจะได้คบกันไปนานแล้ว!”
“แกหมายความว่ายังไง?” เฉินหลี่กดตัวฉินซูอวี้ไว้ “พูดอีกทีซิ!”
ในความประทับใจของเฉินหลี่ นี่เป็นความรักครั้งแรกของฉินซูอวี้กับเหยาเป่ยเซิง แต่เหยาเป่ยเซิงนั้นกินในจานอยู่ แต่มองไปในหม้อ*[1]ไปวุ่นวายกับเซี่ยจื่ออี้ ส่วนเซี่ยจื่ออี้ก็กังวลว่าฉินซูอวี้จะรู้แล้วเสียใจ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไร
ใครจะรู้ว่าการยืดเวลาออกไปทำให้ฉินซูอวี้เข้าใจผิดจริง ๆ และสร้างความยุ่งยากครั้งใหญ่กับเซี่ยจื่ออี้
แต่ตอนนี้ เมื่อฟังคำพูดของเหยาเป่ยเซิงก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น
พ่อของเหยาเป่ยเซิงดึงลูกชายออกไปข้าง ๆ พร้อมบอกให้เขาหยุดพูด
นับตั้งแต่ย้ายไปโรงเรียนอื่น ครอบครัวของเหยาเป่ยเซิงต้องทนทุกข์ทรมานกับความยากลำบากและความอยุติธรรมไม่น้อย และในใจของเขาเรื่องทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเพราะครอบครัวฉินซูอวี้คอยบ่งการอยู่
พวกเขาต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะกลับมาที่มณฑลอวิ๋นได้ พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าชื่อเสียงของพวกเขาจะได้รับผลกระทบอีกครั้งเพราะฉินซูอวี้
คำพูดของเฉินหลี่ที่ทำให้เขาอับอายในตอนนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในใจ และตอนนี้เขาเกลียดทั้งแม่และฉินซูอวี้ถึงกระดูก ”พูดก็พูดเถอะ เธอยังคิดว่าตระกูลฉินของตัวเองในตอนนี้ยังอาศัยอิทธิพลใช้เล่ห์เหลี่ยมปิดบังเรื่องเลวร้ายในมณฑลอวิ๋นได้อยู่งั้นเหรอ?”
“ในตอนที่ฉันกับซื่ออี้มีความรักให้กันอย่างลึกซึ้ง ซื่ออี้เองก็แสดงความปรารถนาที่จะเข้าวิทยาลัยเดียวกันกับฉันเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน แต่เป็น…”
เขาชี้ไปยังฉินซูอวี้ ”เป็นเธอที่ตีพิมพ์จดหมายที่ฉันเขียนถึงซื่ออี้ และใส่ร้ายว่าเป็น ซื่ออี้ที่โกหก ทั้งยังใส่ร้ายว่าซื่ออี้หลอกลวงเธอ! ฉันคิดว่าเธอคงอิจฉาจื่ออี้มากกว่า ดังนั้นจึงพยายามที่จะทำให้เราต้องเลิกรากันไปอย่างร้ายกาจไงล่ะ!”
ใบหน้าของเฉินหลี่เต็มไปด้วยความตกตะลึง ก่อนจะมองไปยังฉินซูอวี้ด้วยสีหน้านิ่งงัน “สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”
เธอไม่เชื่อคำพูดของเหยาเป่ยเซิงเลยสักนิด แต่เธอเองก็รู้ดีว่าลูกสาวของตนเป็นคนแบบไหน
แม้ว่าฉินซูอวี้จะเย่อหยิ่งและวางอำนาจ แต่ก็ไม่คาดคิดว่าลูกสาวจะมีความคิดซับซ้อนขนาดนี้เพื่อจัดการกับใครสักคน หรือถ้าเด็กสาวมีความคิดแบบนั้นจริง เธอก็ไม่ต้องกังวลมากมายไปนานแล้ว
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉินซูอวี้พลันหัวเราะเยาะ “ไม่ใช่ว่านายเชื่อเซี่ยจื่ออี้ทุกเรื่องหรอกเหรอ? แล้วทำไมถึงยังมาถามฉันอีกล่ะ?”
ยังไงซะ ไม่ว่าเธอจะอธิบายยังไง เซี่ยจื่ออี้และเหยาเป่ยเซิงก็สมรู้ร่วมคิดกันอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่เชื่อเธอ
ประกอบกับความจริงที่ว่าในเวลาต่อมา เซี่ยจื่ออี้ได้โยนความผิดทั้งหมดไปที่เหยาเป่ยเซิง และเมื่อเหยาเป่ยเซิงจากไปแล้ว เขากลับค่อย ๆ เชื่อคำพูดของเซี่ยจื่ออี้
สีหน้าของเฉินหลี่เปลี่ยนไปหลายครั้ง ความโกรธที่ถูกหลอกและยั่วยุพลันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
แม้ในเวลานั้นเธอจะมีความคิดอื่นในเรื่องความดีของเซี่ยจื่ออี้อยู่บ้าง แต่เธอก็ทุ่มเททั้งหัวใจและจิตวิญญาณให้กับเด็กสาวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา!
เมื่อคิดว่าตัวเองถูกเล่นงานโดยเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ ทั้งยังปล่อยให้ลูกสาวของตนต้องทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่งกว่า เธอก็แทบรอไม่ไหวที่จะได้ถลกหนังหักกระดูกของเซี่ยจื่ออี้เพื่อบรรเทาความเกลียดชังลง!
เธอกำกระเป๋าในมือแน่นแล้วคว้าตัวเหยาเป่ยเซิง “มากับฉัน!”
จากนั้นเธอก็ลากเขาไปที่บ้านของเซี่ยจื่ออี้ทันที
เหยาเป่ยเซิงเดิมทีก็เป็นปัญญาชนที่อ่อนแออยู่แล้ว และเพื่อรักษาหน้า ทั้งยังไม่เป็นการดีนักหากจะมีเรื่องกับเฉินหลี่ ดังนั้นเขาจึงถูกลากไปยังบ้านของเซี่ยจื่ออี้เช่นนี้
และบังเอิญว่าเซี่ยเจิ้งได้กลับถึงบ้านในเวลานี้เช่นกัน
หลายวันมานี้ เซี่ยจื่ออี้กลับบ้านตรงเวลาหลังจากเลิกงาน อีกทั้งยังได้เรียนทำอาหารจานโปรดกับคุณป้าด้วย ยังไงเธอก็เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของบ้านนี้ ถึงเขาจะโกรธยังไง แต่ก็ไม่ได้ใจแข็งพอที่จะมีคิดเล็กคิดน้อยอะไร
ทว่าใครกันจะคาดคิดได้ หลังความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกเพิ่งคลี่คลายลงได้เพียงสองวันเท่านั้น เฉินหลี่ก็บุกเข้ามาพร้อมกับเหยาเป่ยเซิง และฉินซูอวี้ด้วยความโกรธ
เฉินหลี่มองไปยังเซี่ยจื่ออี้ ซึ่งสวมผ้ากันเปื้อนและเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “โชคดีจริงที่คุณเซี่ยเองก็อยู่ด้วย ช่วยบอกฉันทีได้ไหมว่าคุณกับคุณนายเซี่ยตกหลุมรักและจากกันได้ยังไง ไม่แน่ว่าคุณเซี่ยอาจจะช่วยตัดสินใจและจัดการสิ่งที่อยู่ในใจของนายแทนได้ก็ได้นะ”
หากจะบอกว่าหัวใจของเหยาเป่ยเซิงไม่สั่นไหวก็คงจะเป็นการโกหก
เขาเหลือบมองเซี่ยจื่ออี้ สีหน้าผิดแผกไปจากปกติฉายแวบบนใบหน้า
ในช่วงนี้ ความคิดของทุกคนในสำนักงานที่มีต่อเซี่ยจื่ออี้ยังคงเหมือนเดิม ยกเว้นกับเขา ซึ่งได้รับความเย็นชากว่าคนอื่นมาก และไร้ซึ่งการพูดคุยกับเขา
สิ่งนี้ทำให้เหยาเป่ยเซิงรู้สึกแย่อยู่ในใจ
วันหนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะดักรอเธอที่ทางเดินไปห้องน้ำ และเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดกับเขา “ซูอวี้เป็นเพื่อนของฉัน ฉันไม่สามารถหักหลังเธอเพราะนายได้”
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เหยาเป่ยเซิงจึงหายใจเข้าลึกราวกับว่าเขาตัดสินใจได้แล้ว “ลุงเซี่ยครับ ผมกับ…”
“เป่ยเซิง” เซี่ยจื่ออี้ตะโกนห้ามเขา แล้ววางจานในมือของเธอลง “มาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ? มีเรื่องงานจะคุยกับฉันใช่ไหม?”
จากนั้น เธอจึงรีบดึงตัวเป่ยเซิงเพื่อให้รีบออกไป
“อย่ารีบร้อนสิ” เฉินหลี่หยุดเธอ ความระแวงเดิมในใจพลันแปรเปลี่ยนเป็นความเชื่ออันไร้ซึ่งความสงสัยทันที
เธอยิ้มเย็นพลางมองไปที่เซี่ยจื่ออี้ “เธอจะรีบร้อนไปไหนล่ะ? เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเหยาเป่ยเซิงให้คุณเซี่ยฟังซะก่อนสิ ไม่แน่ว่าอาจช่วยให้เธอสองคนสมหวังก็ได้นะ?”
ใบหน้าของเซี่ยจื่ออี้ซีดลงทันตา เธอเดาว่าคงเป็นเพราะเฉินหลี่ ฉินซูอวี้ และเหยาเป่ยเซิงที่บังเอิญเจอกันแล้วโพล่งออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น ไม่อย่างนั้นเฉินหลี่คงไม่ปฏิบัติต่อเธอแบบนี้
ในเวลานั้น เซี่ยเจิ้งยุ่งอยู่กับงาน หยวนหงหลี่จึงเป็นคนช่วยจัดการเรื่องนี้ให้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งที่เซี่ยเจิ้งได้ยินนอกเหนือจากเสียงร้องไห้ของฉินซูอวี้แล้ว ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องราวในฉบับที่เซี่ยจื่ออี้สร้างขึ้น
เธอจะให้เซี่ยเจิ้งรู้ไม่ได้!
“ให้เขาพูด” เซี่ยเจิ้งซึ่งเงียบมาตลอดพลันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
*[1] กินในจานอยู่ แต่มองในหม้อ เป็นสำนวน หมายถึง หลายใจ มักมาก ไม่รู้จักพอ