บทที่ 358 คงไม่รังเกียจที่จะทานข้าวด้วยกันใช่ไหม?
บทที่ 358 คงไม่รังเกียจที่จะทานข้าวด้วยกันใช่ไหม?
ฉีหยวนซานเดาว่าเมื่อครู่เขาคงหูฝาดไป
ริมฝีปากของเขาสั่นเทา “แก…พูดอะไรออกมาน่ะ?”
ฉีจิ่นจือได้เห็นสีหน้าตกตะลึงของฉีหยวนซานได้สำเร็จ
เขาไม่ได้พูดซ้ำแต่กล่าวทิ้งท้ายว่า “เย็นนี้ผมไม่กินข้าวที่บ้านนะ” พูดเสร็จแล้วก็เดินออกจากประตูไปทันที
ฉีหยวนซานเห็นดังนั้นจึงตะโกนไล่หลัง “แกจะไปไหนน่ะ ไอ้เด็กเหลือขอ!”
ฉีจิ่นจือไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง “ไปหาผู้ชาย”
คราวนี้ ฉีหยวนซานควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว
ในตอนนั้นเอง เผ่ยอิ่งเดินผ่านประตูห้องหนังสือพอดี และได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสอง มุมปากของเธอพลันแสดงรอยยิ้มที่เห็นได้ยาก “ฉีหยวนซาน คุณวางแผนเสียแยบยลดิบดี แล้วได้คิดไว้หรือเปล่าว่าลูกนอกสมรสคนนี้มีรสนิยมแบบนี้น่ะ?”
นัยน์ตาของเธอฉายแววเยาะเย้ยอย่างรุนแรง
ฉีหยวนซานอดไม่ได้ จึงตะโกนใส่เผ่ยอิ่งและพูดว่า “เธอไม่พูดก็ไม่มีใครว่าอะไรนะ!”
เผ่ยอิ่งไม่ได้รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย
เธอฮัมเพลงงิ้วหวงเหมยที่ไม่ได้ร้องมานานพลางเดินกลับไปยังห้องของตน
นับแต่เสียลูกชายไป เธอไม่เคยมีความสุขเท่าวันนี้เลย
ฉีหยวนซานไม่มีเวลาไปสนใจหล่อน เขารีบต่อสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว “ช่วยตรวจสอบให้ฉันทีว่าช่วงนี้ไอ้เด็กเหลือขอนั่นไปทำอะไรที่ไหนเป็นพิเศษรึเปล่า”
เพียงครู่เดียว อีกฝ่ายก็โทรศัพท์กลับมา
ฉีหยวนซานฟังรายงานการติดตามฉีจิ่นจือทางโทรศัพท์ “คลุกอยู่กับเพื่อนร่วมงานทั้งวันครับ” หัวใจของเขาพลันตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินลูกน้องของตนพูดว่า “คุณชายฉีกำลังมุ่งหน้าไปยังตระกูลเสิ่นครับ”
เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ใบหน้าดูโทรมลงทันตา
ฉีหยวนซานหวนนึกถึงการสะกดรอยตามฉีจิ่นจือในเมืองกว่างโจวก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงเลย ทั้งยังรังเกียจเกลียดผู้หญิง…
ก่อนหน้านี้ ฉีจิ่นจือยังเคยพูดว่าจะเป็นคนที่แต่งงานแล้วก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วเขาหมายถึงผู้ชายหรอกเหรอ?
ถ้าอย่างนั้น เสิ่นอี้โจวก็คือผู้ชายที่แต่งงานแล้ว…คนที่ว่า?
ดังนั้นเขาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ภรรยาของเสิ่นอี้โจวมาส่งอาหาร และแม้กระทั่งช่วยชีวิตหญิงสาวไว้ในวันนั้นโดยไม่คำนึงถึงชีวิตตัวเอง เพียงเพื่อสร้างความประทับใจแก่เสิ่นอี้โจว จากนั้นจึงทำลายชีวิตสมรสของสองคนนั้น เพื่อที่เสิ่นอี้โจวจะได้รับรักเขาอย่างนั้นเหรอ?
เสิ่นอี้โจวหน้าตาหล่อเหลา ความสามารถก็โดดเด่น จนทำให้เขาอยากมีลูกสาวเพื่อมาแต่งงานกับชายหนุ่ม แต่ประเด็นสำคัญคือทั้งคู่เป็นผู้ชาย!
ฉีหยวนซานรู้สึกว่ากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่สุดในชีวิต ยากยิ่งกว่าการโจมตีป้อมปราการของเมืองไร้พ่าย
ปลายสายยังคงรอคำสั่งจากเขา “หัวหน้าฉีครับ หัวหน้าฉี?”
ฉีหยวนซานหงุดหงิดอย่างยิ่ง เขาโบกมืออย่างรำคาญ “คอยดูมันไว้ก่อน”
จนกว่าจะพบวิธีรับมือที่ดี เขาทำได้เพียงอยู่เฉย ๆ เท่านั้น
หลังจากวางสายโทรศัพท์ เขาก็ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ อยู่นาน
เขานึกถึงช่วงเวลาที่แอบไปพบกับโจวโม่ เธอทรุดโทรมลงจนกลายเป็นดอกเบญจมาศเหี่ยวเฉาที่ไม่เคยได้รับแสงแดดในตรอกเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับ
หลังจากที่เขาปฏิเสธคำขอของเธอที่จะหนีไปกับเขา เธอก็เริ่มเป็นบ้า โยนเงินที่เขาให้ทิ้งไป และสาปแช่ง “ฉีหยวนซาน ฉันขอสาปแช่งให้คุณไม่ตายดี ไร้ลูกสิ้นหลานสืบสกุล!”
ความเกลียดชังที่เธอมีต่อเขานำพามาซึ่งการสาปแช่งลูกชายตัวเอง
ลูกชายคนโตพลีชีพอย่างห้าวหาญ ส่วนลูกชายคนเล็กที่กว่าจะได้กลับมานั้นไม่ง่ายกลับกลายเป็นชายตัดแขนเสื้อ สวรรค์กำลังลงโทษเขาให้ไร้ลูกสิ้นหลานสืบสกุลอยู่งั้นเหรอ?
…
เซี่ยชิงหยวนและป้าอู๋ ซึ่งกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ในครัวพลันได้ยินเสียงเคาะประตู
ป้าอู๋ล้างมือและพูดว่า “ฉันไปเปิดประตูนะคะ”
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีเสียงประหลาดใจของป้าอู๋ดังขึ้น “คุณชายฉี?”
เซี่ยชิงหยวนตกตะลึง ก่อนจะรีบออกไปจากห้องครัว
เธอพบว่าฉีจิ่นจือยืนอยู่ที่หน้าประตู ในมือถือของขวัญไว้ กำลังกระซิบกระซาบกับป้าอู๋อยู่
สีหน้าขี้เล่นไร้กังวลเฉกเช่นปกติของเขานั่นหายไป กลับกลายเป็นความอ่อนโยนที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนออกมา เขาก็ยกของในมือขึ้น “คุณนายเสิ่น พอคืนนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน ถ้าไม่รังเกียจ ร่วมโต๊ะอาหารกับผมไหมครับ?”
เซี่ยชิงหยวนเองก็ไม่ได้ลืมสิ่งที่ตัวเองพูดที่โรงพยาบาลในวันนั้น ว่าเชิญเขามากินข้าวที่บ้านหากเขามีเวลา
ไม่ใช่ว่าเธอพูดออกไปอย่างไม่จริงใจ เพียงแค่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้เท่านั้นเอง
เธอชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยกยิ้ม “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันคะ เชิญเข้ามาก่อนค่ะ”
เสิ่นอี้หลินได้ยินเสียงข้างนอกจึงออกมาจากห้องนอน ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อเขาพบว่าผู้มาเยือนคือฉีจิ่นจือ
นับแต่วันที่ฉีจิ่นจือปกป้องเขาไว้ ชายหนุ่มก็กลายเป็นวีรบุรุษเพียงคนเดียวที่เขานับถือนอกจากเสิ่นอี้โจว!
เซี่ยชิงหยวนยังบอกเขาด้วยว่าฉีจิ่นจือเป็นเจ้าหน้าที่
เมื่อเสิ่นอี้หลินได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ยิ่งนับถือฉีจิ่นจือมากขึ้น
เพราะการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถเป็นเจ้าของปืนพกและจับคนร้ายได้นั้นเป็นความฝันของเด็กผู้ชายส่วนใหญ่
เขาเก็บความตื่นเต้นไว้ในใจ ก่อนร้องเรียก “พี่ฉี”
การที่เขายึดมั่นที่จะนับลำดับอาวุโสและเรียกฉีจื่นจือเช่นนี้ก็ไม่นับว่าผิดอะไร
เมื่อเห็นเสิ่นอี้หลิน ฉีจิ่นจือจำได้ทันทีว่าคือเจ้าเด็กดื้อในวันนั้นจึงยกยิ้มให้ “เจ้าเด็กดื้อ”
เสิ่นอี้หลิน ผู้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นราวกับถูกราดน้ำเย็นลงบนศีรษะ
วีรบุรุษของเขาเรียกเขาว่าเจ้าเด็กดื้อ…
เมื่อมองดูริมฝีปากที่เบะออกของเสิ่นอี้หลิน เซี่ยชิงหยวนก็อดยิ้มไม่ได้
เธอตบตัวเขาเบา ๆ “เอาน่า พี่ฉีแกล้งเล่นก็เท่านั้นเอง”
การจะให้เจ้าพ่อขาใหญ่อย่างฉีจิ่นจือพูดอะไรดี ๆ เพื่อให้เด็ก ๆ หัวเราะนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกก็ตาม
หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงหยวน ใบหน้าของเสิ่นอี้หลินก็เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง
เขาเดินอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ไปนั่งลงบนโซฟาข้างฉีจิ่นจือ
เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาไม่ชอบพอใด ๆ เด็กชายจึงมีความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายหนุ่มอีกสองสามส่วน ขยับไปจนกระทั่งนั่งข้างฉีจิ่นจือตามที่ใจต้องการ แล้วจึงหยุดเคลื่อนไหวในที่สุด
พูดตามตรงว่าฉีจิ่นจือไม่มีประสบการณ์กับเด็ก ๆ เลยแม้เพียงนิด ทำให้ร่างกายของเขาแข็งทื่อไม่ไหวติงในแบบที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่เด็กคนหนึ่งแสดงความนับถืออันบริสุทธิ์ต่อตัวเอง เขาจึงกลัวว่าจะไปทำให้เจ้าเด็กดื้อต้องร้องไห้โดยไม่ได้ตั้งใจ
โชคดีที่เสิ่นอี้หลินวางตัวต่อหน้าฉีจิ่นจือได้อย่างเหมาะสม แม้จะมีถ้อยคำเยินยอบ้าง แต่ก็เอ่ยถามเฉพาะคำถามเกี่ยวกับการทำงานประจำวัน ซึ่งเขาสามารถตอบได้อย่างง่ายดาย
เซี่ยชิงหยวนอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนสักพัก ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เชิญคุณนั่งรอสักพักนะคะ ฉันจะไปเตรียมอาหารเย็นในครัวก่อน”
เสิ่นอี้หลินขยิบตาอีกครั้งเพื่อบอกว่าเขาจะต้อนรับขับสู้แขกเป็นอย่างดีเอง
ส่วนหลินตงซิ่ว หลังจากทักทายฉีจิ่นจือก็เดินเข้าไปช่วยในครัวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
เดิมทีอาหารเย็นนั้นเป็นไก่ต้มน้ำมันหอม สามชั้นน้ำแดง และเห็ดทอด แต่ตอนนี้ฉีจิ่นจือมาร่วมโต๊ะด้วย จึงต้องทำอาหารเพิ่มอีกสองอย่าง
เธอขอให้ป้าอู๋ฆ่าปลาคาร์พสองตัวที่เลี้ยงไว้ในอ่างปลา เพื่อทำซุปเต้าหู้ปลาคาร์พ ซึ่งจะช่วยให้ฉีจิ่นจือฟื้นตัวหลังการผ่าตัดได้เป็นอย่างดี
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เซี่ยชิงหยวนก็ทำไข่ตุ๋นเนื้อสับอีกหนึ่งอย่าง เธอหั่นและหมักเนื้อที่เหลือจากตอนเช้า จากนั้นจึงนำไปผัดกับซอสให้เหลืองเนื้อนุ่ม
ก่อนจะไปยังลานบ้านอีกครั้งเพื่อเก็บต้นกุยช่ายที่หลินตงซิ่วปลูกเอาไว้มาหนึ่งกำ แล้วนำไปผัดกับไข่
ในห้องครังมีหลินตงซิ่วกับป้าอู๋คอยช่วย และด้วยอาหารบางอย่างที่ทำเสร็จแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้ไม่นานอาหารที่เหลือก็พร้อมขึ้นโต๊ะ
เสิ่นอี้โจวโทรศัพท์มาก่อนหน้านี้เพื่อบอกว่าเขาจะกลับมาค่ำหน่อย ให้กินข้าวกันได้เลยไม่ต้องรอเขา
เซี่ยชิงหยวนหยิบชามสะอาดขึ้นมาเพื่อแบ่งกับข้าวไว้ให้สามี
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “พวกเรากินข้าวกันก่อนเถอะค่ะ อี้โจวจะกลับมาค่ำ ๆ น่ะ”
ฉีจิ่นจือจึงไม่เกรงใจ เขากล่าวขอบคุณและหยิบตะเกียบขึ้นมาเพื่อกินข้าวทันที พลางพูดคุยกับเสิ่นอี้หลินเป็นระยะ
เดิมที หลินตงซิ่วเพียงลอบมองใบหน้าเคร่งขรึมของฉีจิ่นจือ เพราะแอบกังวลว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่น่าคบหานัก แต่ไม่คาดคิดว่าโดยส่วนตัวแล้วเขาจะอ่อนโยนและสุภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เขาช่วยชีวิตเสิ่นอี้หลินกับเซี่ยชิงหยวน ในขณะที่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่อย ๆ อบอุ่นขึ้น ความกล้าของเธอก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเช่นกัน
หญิงชราเอ่ยขึ้นว่า ‘เสี่ยวฉี’ ทั้งยังคีบอาหารใส่ชามให้เขาด้วย
ตะเกียบที่ใช้นั้นเป็นตะเกียบกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนสอนเธอไว้
ฉีจิ่นจือเผชิญหน้ากับหลินตงซิ่วผู้กระตือรือร้น ส่วนเสิ่นอี้หลินก็เป็นเด็กฉลาด และเซี่ยชิงหยวนซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างก็คอยมองดูพวกเขาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ในใจของชายหนุ่มพลันรู้สึกอิจฉาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
การได้นั่งกินมื้อเย็นกับครอบครัวใหญ่เช่นนี้เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อนในช่วงชีวิตยี่สิบปีที่ผ่าน แต่เป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาโดยตลอด
หากเขาฝังอดีตไว้ตลอดกาล กลับใจเป็นคนดีตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เขาจะมีสิทธิ์ได้อยู่ใกล้ความอบอุ่นแบบนี้ใช่ไหม?
…
เมื่อเสิ่นอี้โจวกลับมา พวกเขาก็กินอาหารไปกว่าครึ่งแล้ว
พอเดินมาถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงพูดคุยภายในบ้านดังแว่วออกมา ซึ่งมีเสียงผู้ชายที่คุ้นหูอยู่ด้วย เสิ่นอี้โจวขมวดคิ้วเบา ๆ แล้วจึงรีบเดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
โดยไม่คาดคิด เขาเห็นฉีจิ่นจือนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร กำลังหัวเราะพูดคุยกับภรรยาและแม่ของเขา
เสิ่นอี้โจวเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้น เผยรอยยิ้มอันมีนัยยะออกมา