บทที่ 330 ยอมรับเงื่อนไข
บทที่ 330 ยอมรับเงื่อนไข
เซี่ยชิงหยวนกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี
หลินตงซิ่วกับป้าอู๋กำลังเตรียมหัวไชเท้าและผักกาดขาวที่พวกเธอซื้อเมื่อเช้า
เมื่อหัวไชเท้าและผักกาดขาวถูกล้างเสร็จแล้ว พวกมันก็มีสีขาวสะอาด อวบอ้วนมองแล้วน่าพึงพอใจ
เซี่ยชิงหยวนเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าสบาย ๆ สำหรับใส่อยู่บ้าน ผมยาวของเธอถูกรวบไว้ด้วยผ้าโพกหัวที่ปักลายดอกไม้ขนาดใหญ่ ดูอ่อนโยนและสุภาพเรียบร้อย
ทั้งสามย้ายผักไปที่สนามหญ้า จากนั้นขั้นตอนแรกให้หั่นผักกาดขาวเป็นสี่ส่วน จากนั้นจึงเปิดใบแต่ละใบและโรยเกลือลงไป โดยเฉพาะส่วนรากต้องให้แน่ใจว่าใส่เกลือไว้
หลังจากที่ผักกาดขาวถูกโรยเกลือทั้งหมดแล้ว หมักไว้ประมาณ 5-6 ชั่วโมง น้ำในผักก็จะออกมา จากนั้นให้เอาไปล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วรีดน้ำออก จึงทาซอสกิมจิลงบนผักกาดขาว
ที่จริงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำผักกาดขาวคือซอสกิมจิ
ซอสกิมจิที่เซี่ยชิงหยวนทำนั้นทำมาจากการสับหัวหอม ลูกแพร์ แอปเปิล กระเทียม ขิง และอื่น ๆ ให้ละเอียด จากนั้นใส่แป้งข้าวเหนียวลงในหม้อโดยใช้น้ำเย็น เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนกลายเป็นเนื้อครีม และเติมพริก กระเทียมหอม เกลือ น้ำตาล น้ำปลา ผัก และผลไม้ที่สับไว้ก่อนหน้านี้
ขั้นตอนสุดท้ายคือทาซอสที่เตรียมไว้ให้ทั่วผักกาดขาว ใส่ในไหแล้วปิดฝาทิ้งไว้ 1 วัน จึงพร้อมรับประทาน
สำหรับหัวไชเท้า เซี่ยชิงหยวนวางแผนที่จะทำครึ่งหนึ่งเป็นกิมจิหัวไชเท้า และอีกครึ่งหนึ่งเป็นหัวไชเท้าดองตามรสชาติของเสฉวนและฉงชิ่ง
การเตรียมกิมจิหัวไชเท้าก็เหมือนกับกิมจิผักกาดขาว เซี่ยชิงหยวนทาซอสกิมจิลงบนหัวไชเท้าที่ฝานเป็นแว่นแล้วดองโดยตรงเพื่อสร้างความชุ่มฉ่ำ
สำหรับหัวไชเท้าดองแบบเสฉวนนั้นก็เหมือนกับกิมจิที่คนในท้องถิ่นที่นี่ทำกัน แต่เธอยังเติมเหล้าข้าวที่มีความเข้มข้นสูงลงไปอีกด้วย
ตอนที่เธอยังเป็นเด็กและดูหวังผิงทำ เธอมักจะแอบเอาเหล้าข้าวที่ปู่ดื่มมาเทลงไปด้วย โดยบอกว่านี่จะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำในไหเปลี่ยนเป็นสีขาวและกันแมลงได้ อีกทั้งผักดองก็จะมีรสชาติกลมกล่อมเช่นกัน
ในขณะที่รอเวลาหมักของผักกาดขาวและหัวไชเท้า เซี่ยชิงหยวนก็ถือโอกาสนี้ทำลูกชิ้นรอ
หญิงสาวซื้อเนื้อวัวส่วนขามาขั้นแรกนำเนื้อวัวไปล้างและเอาพังผืดออก ต่อมาใช้มีดสับเนื้อให้ละเอียด จากนั้นก็ใช้ไม้หนักทุบเนื้อสับบนเขียงอีกรอบ
เนื้อจะได้ที่ก็ต่อเมื่อละเอียดและเหนียวติดมือ
จากนั้นใส่เนื้อสับลงในชามใบใหญ่ ใส่เกลือ น้ำปลา และกระเทียมเจียว นวดให้เข้ากัน เติมแป้งและน้ำ แล้วคนตามเข็มนาฬิกาให้เข้ากัน
สุดท้ายใช้ช้อนขูดเนื้อสับ โดยปั้นเป็นลูกขนาดเท่าลูกปิงปองแล้วใส่ลงในน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิ 70 หรือ 80 องศา แล้วต้มจนลูกชิ้นลอยขึ้นมา
เมื่อเซี่ยชิงหยวนทำเสร็จสิ้นทั้งหมดนี้ แขนของเธอก็เมื่อยล้าเอาการ
หญิงสาวหยิบลูกชิ้นออกมาลูกหนึ่ง แล้วลองบีบมัน ช่างเต็มไปด้วยความเด้งดึ๋งอย่างมากจริง ๆ
จากนั้นเมื่อฉีกลูกชิ้นด้วยมือเปล่า น้ำที่อยู่ภายในลูกชิ้นจะทะลักออกมา กลิ่นหอมของเนื้อกับกระเทียมเจียวก็หอมโชย และเนื้อสัมผัสของมันก็เนียนละเอียดเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนขอให้หลินตงซิ่วและป้าอู๋ลองชิม ทั้งสองคนถูกซุปที่ทะลักออกมาจากลูกชิ้นลวกปากทันที
แต่ก็อร่อยมากจริง ๆ
เซี่ยชิงหยวนถอนหายใจ “มันอร่อยก็จริง แต่ต้องใช้ความพยายามมาก ๆ ในการทำนะคะเนี่ย”
ป้าอู๋ยิ้ม “มันอาจจะง่ายกว่ามากถ้าให้ผู้ชายช่วยนะคะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ”
แต่แผนนี้จะพิจารณาอีกทีก็หลังจากที่ร้านตรอกเก่าบนถนนอาหารเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว
…
เมื่อเสิ่นอี้โจวและเสิ่นอี้หลินกลับมาในตอนเย็น พวกเขาก็ชมชอบลูกชิ้นของเซี่ยชิงหยวนอีกครั้ง
ปากของเสิ่นอี้หลินเต็มไปด้วยคราบมันหลังจากกินอาหาร “พี่สะใภ้ พี่อย่างกับเป็นสาวหอยทาก*[1] เลย พี่สามารถปรุงอาหารได้ทุกอย่างและทุกอย่างที่พี่ทำก็อร่อยสุด ๆ ไปเลยด้วย”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย อะไรที่พี่ไม่รู้จัก พี่ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน”
หลังจากบำรุงร่างกายมามาก แก้มที่ผอมและตอบของเสิ่นอี้หลินแต่เดิมก็มีน้ำมีนวลมากขึ้น และเพราะเขาไม่ได้วิ่งตากแดดไปรอบ ๆ อีกต่อไป จึงทำให้ผิวของเขาก็ขาวกว่าเมื่อก่อน
นอกจากเรื่องที่เตี้ยกว่าคนอื่น ๆ เล็กน้อยแล้ว เขาก็ดูเหมือนเด็กในเมืองเลย
เซี่ยชิงหยวนเสิร์ฟซุปให้ทุกคน ส่วนของหลินตงซิ่วได้เยอะที่สุดตามมาด้วยของเสิ่นอี้โจว ส่วนเธอและเสิ่นอี้หลินจะกินน้อยกว่านั้น
ไม่สิ ของเสิ่นอี้หลินกินน้อยกว่านั้นอีก เพียงครึ่งชามเท่านั้น
เสิ่นอี้หลินหน้ามุ่ย “พี่สะใภ้ ทำไมของผมถึงได้แค่นี้เองล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนไม่สามารถอธิบายให้เขาฟังได้ว่ามีตัวเดียวอันเดียววัวอยู่ในซุป และเด็ก ๆ ไม่ควรกินมากเกินไปนัก
เธอพูดว่า “พี่ใส่ยาบางอย่างลงในซุปนี้เพื่อบำรุงสุขภาพของแม่เป็นหลักน่ะ เด็ก ๆ เลยไม่ควรกินมากเกินไปนะ”
“อ้อ” เสิ่นอี้หลินหยุดบ่นทันทีหลังจากได้ยิน และกินซุปในชามของเขาอย่างเชื่อฟัง
หลังจากกินเสร็จแล้วเขาก็พูดว่า “อร่อยมากเลยครับ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลินตงซิ่วที่กำลังง่วนอยู่กับการกินซุปก็แทบจะสำลัก
แต่เธอก็รู้สึกเขินอายเกินไปที่จะบอกลูกชายคนเล็กว่ามันคืออะไร
เสิ่นอี้โจวกลอกตาและไม่พูดอะไร เขาหยิบชามขึ้นมาและกำลังจะกิน กลิ่นที่คุ้นเคยก็ลอยเข้ามาในจมูก
ชายหนุ่มมองลงไปในชามและเห็นว่ามีบางสิ่งที่เป็นท่อน ๆ สองชิ้นอยู่ในนั้น แต่มันดูไม่เหมือนเนื้อ ทั้งยังไม่ใช่กระดูกด้วย และเขาก็คาดเดาบางอย่างได้
วินาทีต่อมาเขาก็ดื่มมันอย่างสงบ
เซี่ยชิงหยวนทำซุปได้ดีมากและไม่มีกลิ่นแปลก ๆ เลย
สำหรับผู้ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร พวกเขาจะหลงคิดได้ง่าย ๆ เลยว่ามันเป็นเพียงซุปเนื้อธรรมดาเท่านั้น
เสิ่นอี้โจวเหลือบมองเซี่ยชิงหยวนข้าง ๆ และมุมปากของชายหนุ่มก็โค้งขึ้น “ขอบคุณนะชิงหยวน”
เซี่ยชิงหยวนไม่สนใจว่าเขาเข้าใจผิดหรือไม่
เธอจ้องมองเขาพลางหยิบซุปขึ้นมา และดื่มมันในอึกเดียว
หญิงสาวต้องการที่จะกินมันเพื่อบำรุงให้ตัวเองสวยงาม
ทันใดนั้นเสิ่นอี้โจวก็พูดว่า “พรุ่งนี้เป็นวันหยุด คุณไปงานเลี้ยงกับผมนะ”
เซี่ยชิงหยวนยังไม่ได้ตอบอะไร นี่เธอสาปแช่งเขาได้ไหมเนี่ย?
เธอเอื้อมมือไปคว้าแขนของสามี “คุณแค่พาฉันไปกินข้าวกันเองดี ๆ ไม่ได้รึไง? คนพวกนั้นมีแต่คนที่ฉันไม่อยากเจอ หรือไม่ก็มีแต่พวกคนที่จะทำให้ฉันกินอะไรไม่ลง”
เสิ่นอี้โจวกุมมือภรรยาที่คว้าแขนตนเองอยู่ แล้วยิ้มตอบอย่างน่าหลงใหลแทน
ทันใดนั้นเสิ่นอี้หลินก็ยกมือของเขาขึ้น “พี่ใหญ่ ผมไปด้วยได้ไหม?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “แน่นอนนายไปได้ จะมีเด็กคนอื่น ๆ ไปด้วยเหมือนกัน และนายสามารถไปเล่นด้วยกันกับพวกเขาได้เลย”
จากนั้นเสิ่นอี้โจวมองไปยังหลินตงซิ่ว ซึ่งแทบจะฝังตัวเองลงในชาม “แม่ก็สามารถไปด้วยกันได้นะ”
หลินตงซิ่วส่ายหัวรัว “ไม่ล่ะ แม่ไม่ไป แม่ขออยู่ที่บ้านศึกษาสูตรที่ชิงหยวนสอนเพิ่มให้ดีกว่า”
ในเขตที่พักอาศัยนี้ บางครั้งเธอได้พบกับภรรยาข้าราชการบางคนและต้องทักทาย แต่พอเห็นอีกฝ่ายแต่งตัวสวยงาม หญิงชราก็จะรู้สึกด้อยกว่าโดยไม่รู้ตัว
เธอมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนประเภทเดียวกับพวกเขา
แม้หญิงชราจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายโดยอาศัยกับลูกชายและลูกสะใภ้ หรือได้สวมเสื้อผ้าที่เซี่ยชิงหยวนคัดสรรมาอย่างดีสำหรับเธอแล้วก็ตาม ซึ่งไม่ได้เลวร้ายไปกว่าพวกภรรยาข้าราชการเหล่านั้นเลย แต่การให้ไปยืนอยู่เคียงข้างคนเหล่านั้น เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกกดขี่และมีเส้นแบ่งเกิดขึ้น
หญิงชราไม่เพียงแต่ไม่กล้าพูดอะไรกับคนอื่น แต่เธอไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดกันด้วยซ้ำ คงจะไม่ดีถ้าเธอไปแล้วทำให้ลูกชายและลูกสะใภ้อับอาย
ไม่ใช่ว่าเธอดูถูกตัวเอง แต่รู้สึกว่าแม้แต่กับป้าอู๋ ในตอนนี้ตนก็เทียบไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เธอได้ยินว่าตระกูลฉินก็จะไปที่งานเลี้ยงด้วย นั่นเป็นครอบครัวเดียวกันกับคนที่เธอเพิ่งทะเลาะที่ตลาดสดในวันนั้นไม่ใช่เหรอ?
ถ้าเธอไปแล้วจะทะเลาะกันอีกไหม?
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว หญิงชราจึงขออยู่ฝึกฝนกับป้าอู๋จะดีกว่า
เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวมองหน้ากัน และไม่ได้บังคับหลินตงซิ่วอีก
เซี่ยชิงหยวนเตะเสิ่นอี้โจวใต้โต๊ะแล้วพูดว่า “ฉันยอมไปกับคุณก็ได้ แต่คุณต้องยอมรับเงื่อนไขหนึ่งข้อของฉันก่อน”
*[1] สาวหอยทาก (田螺姑娘) เป็นตัวละครในนิทานพื้นบ้านในเมืองฝูโจว มณฑลฝู เจี้ยน มาจากเล่มที่ 5 ของ《搜神后记》เรื่องราวเล่าว่าจักรพรรดิแห่งสวรรค์รู้ว่าพ่อแม่ของเซี่ยต้วนเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก และเขาอยู่คนเดียว จักรพรรดิเห็นใจเขา เห็นว่าเขาขยัน ประหยัด และมีวินัยในตนเอง จึงส่งเทพธิดาหอยทากมายังโลกเพื่อช่วยเขา
————————————