บทที่ 309 ไม่มีโจวจิ่นจือในโลกนี้อีกต่อไป
บทที่ 309 ไม่มีโจวจิ่นจือในโลกนี้อีกต่อไป
คืนนั้นโจวจิ่นจือได้รับเชิญให้ไปพบปะกับใครบางคน โดยไม่รู้เลยว่าจะตนจะไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกแล้ว
ในเวลานั้น ฟู่ชุนไจ่ถามเขาด้วยรอยยิ้มขี้เล่น “ลูกพี่ไม่อยากให้ผมไปด้วยจริง ๆ เหรอ? ผมสู้เก่งมากเลยนะ”
ตอนนั้นเขายังคงขัดปืนของเฉิงเหลียงอยู่ “นายแค่คอยดูอาณาเขตของเราให้ดีแล้วรอฉันกลับมาก็พอ”
ทว่าเขากลับตกหลุมพรางของอีกฝ่ายโดยไม่ทันคาดคิด และคนของฉีหยวนซานก็ใช้แผนการเผาโรงแรมจนเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น
สิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดมากไปกว่านั้นก็คือ เขาได้พบกับเซี่ยชิงหยวนในสถานที่นั้น
เธอกอดถุงกระสอบใบใหญ่แล้วล้มลงกับพื้นเหมือนกับวันแรกที่เขาเจอ หญิงสาวที่ตื่นตระหนกและทำอะไรไม่ถูก
เขาเดินไปหาเธอเพราะต้องการช่วยให้ลุกขึ้นและพาออกไป แต่เขากลับเห็นความกลัวในดวงตาของเธอ
ใช่ เธอกลัวเขา
ทันใดนั้นเขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในตอนนั้นสภาพของตัวเองเป็นยังไง แถมยังมีมีดเปื้อนเลือดอยู่ในมือ
เท้าของเขาไม่สามารถขยับเข้าหาเธอได้อีกต่อไป
ชั้นล่างเต็มไปด้วยผู้คน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหันหลังกลับเข้าห้องไปเท่านั้น
โดยไม่คาดคิดเลยว่า ผู้คนของฉีหยวนซานจะพบเขาและพาตัวเขาไป
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นอกเหนือจากกลิ่นฉุนของยาฆ่าเชื้อแล้ว เขายังมีตัวตนใหม่ด้วยคือ ฉีจิ่นจือ
ในเวลานั้นฉีหยวนซานยืนอยู่ข้างเตียงในโรงพยาบาล และพูดว่า “ในเมื่อแกเกลียดฉันมาก เพราะงั้นการได้มีโอกาสอยู่เคียงข้างฉันทั้งที่มีความสามารถแบบนี้ มันไม่ได้ทำให้แกมีโอกาสแก้แค้นหรอกเหรอ?”
ดังนั้นเขาจึงยอมรับการจัดเตรียมของฉีหยวนซาน
ชีวิตนี้ไม่มีโจวจิ่นจืออีกต่อไป
ฉีจิ่นจือกลับมาที่ห้องและยืนอยู่ข้างหน้าต่าง พลางมองทะเลสาบที่ส่องประกายระยิบระยับด้านนอกด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
ห้องนั้นมืดสนิทเหมือนกับดวงตาของเขา
แสงจันทร์นอกหน้าต่างส่องมาที่เขา ทำให้เงาของชายหนุ่มทอดยาวขึ้น ในมือมีบุหรี่ที่จุดแล้วส่งแสงสีแดงเล็ก ๆ ที่ปลายมวน และควันก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นท่ามกลางความมืด แต่เขาไม่ได้สูบมัน
เขานึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเอง ด้วยคำขออันน่าขยะแขยงที่เอ่ยขึ้นโดยตระกูลเผ่ย ความเย็นชาก็ระเบิดออกมาจากในดวงตาของชายหนุ่มทันที
บางทีเขาอาจเป็นเหมือนที่เผ่ยอิ่งพูด แม้ว่าเขาจะถูกเคลือบด้วยชั้นแสงสีทอง แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาเติบโตมาในโคลนตมที่มืดมิดได้
คนอย่างเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคนรักของใครอีกต่อไป
เขาดับบุหรี่แล้วเบือนหน้าออกไปจากทางหน้าต่าง
…
ด้วยความกังวลว่าเซี่ยชิงหยวนเหนื่อยและหวาดกลัวมาทั้งคืน คืนนี้เสิ่นอี้โจวจึงไม่รบกวนภรรยาของตน
เขาเพียงแต่กอดเธอไว้ในอ้อมแขน และประคองหลังเธอราวกับกำลังกล่อมเด็ก รอให้หญิงสาวค่อย ๆ หลับไป
เมื่อเซี่ยชิงหยวนตื่นขึ้นมา เธอก็พบว่าเสิ่นอี้โจวกำลังมองมาที่ตัวเองอยู่
เธออดไม่ได้ที่จะดึงผ้าห่มมาปิดหน้า เพียงแต่เผยให้เห็นดวงตาเท่านั้น “ทำไมคุณถึงมองฉันแบบนี้ล่ะ?”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเสิ่นอี้โจว
เขาก้มศีรษะลงและจูบเธอ “แน่นอน เพราะผมมีความสุขไง”
เมื่อเผชิญหน้ากับชายที่สารภาพรักกับเธอในตอนเช้า ร่างกายของเซี่ยชิงหยวนแทบจะบิดเป็นเกลียวใต้ผ้าห่ม
เธอมองเขาอย่างเขินอาย ริมฝีปากยิ้มยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เสิ่นอี้โจวเข้าหาเธอ “ถ้าคุณมองผมแบบนี้อีกครั้ง เช้านี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ลุกจากเตียงเลย”
เซี่ยชิงหยวน “…”
ชายคนนี้น่ารักได้ไม่นานเลยจริง ๆ
เธอดึงผ้าห่มลง พลิกกลับสองครั้งแล้วกลิ้งไปอีกด้านของเตียงอย่างรวดเร็วบราวนี่ออนไลน์
เมื่อตอนที่ยังนอนคนเดียว เธอจะซุกตัวอยู่ริมเตียงด้านที่ติดกับกำแพง และต่อมาพออยู่กับเสิ่นอี้โจว เธอก็เริ่มจะขยับตัวเข้าใกล้เขามากขึ้น
ทุกครั้งที่เขาตื่นขึ้นมา เสิ่นอี้โจวจะนอนอยู่เกือบขอบเตียงและเธอก็ถูกกอดไว้ในอ้อมแขนของเขาโดยทิ้งพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ไว้ข้างหลังเธอ
หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงแล้วแปรงผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเอง “อย่าสิ ฉันต้องไปหาดูร้านแต่เช้านะ”
เสิ่นอี้โจวยิ้มเบา ๆ “ให้ป้าอู๋ไปกับคุณไหม?”
เซี่ยชิงหยวนมองเขาด้วยความงุนงง
เสิ่นอี้โจวอธิบายว่า “ป้าอู๋เกิดและเติบโตในมณฑลอวิ๋น มีคนในครอบครัวของเธอเปิดร้านและทำธุรกิจด้วยเหมือนกันนะ”
เซี่ยชิงหยวนเข้าใจทันที เธอยิ้มอย่างร่าเริงให้เขา “ขอบคุณนะคะ!”
พูดจบเธอก็เข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา
แต่ดวงตาที่ยิ้มแย้มของเสิ่นอี้โจวก็ค่อย ๆ หายไป เขายกผ้าห่มขึ้นและลุกจากเตียง
แน่นอนว่าเขาจะไม่บอกเกี่ยวกับการแอบส่งคนคอยปกป้องเธอในช่วงนี้
หากไม่รู้ เธอก็จะไม่ต้องรู้สึกกังวลหรืออึดอัดอะไร
สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนไม่รู้ก็คือหลังจากที่หญิงสาวหลับไปเมื่อคืนนั้น เสิ่นอี้โจวคิดอยู่นานและลุกขึ้นเพื่อโทรศัพท์ออกไป
แม้เขาจะรู้สึกว่าฉีจิ่นจือไม่มีเจตนาร้ายต่อเซี่ยชิงหยวนในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถเสี่ยงได้
ใครจะรับประกันได้ว่าคนที่สามารถเลียเลือดจากคมมีดได้ จะมีจิตใจที่ปรานีเสมอไปล่ะ?
…
หลังอาหารเช้า เซี่ยชิงหยวนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กับป้าอู๋ และป้าอู๋ก็พยักหน้าตกลงด้วยรอยยิ้ม
“ฉันมีหลานชายคนหนึ่งที่เปิดร้านอยู่ที่ถนนคนเดินค่ะ ถ้าคุณนายไม่รังเกียจ ฉันก็ยินดีมากที่จะให้เขาพาเราไปดูรอบ ๆ หลังจากนี้นะคะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นฉันขอรบกวนป้าอู๋ทีนะคะ”
เสิ่นอี้หลินพูดขึ้นอย่างรีบเร่ง “พี่สะใภ้ ผมก็อยากไปด้วยเหมือนกัน!”
หลินตงซิ่วยังกล่าวอีกว่า “ชิงหยวน แม่ขอไปดูด้วยได้ไหม?”
เซี่ยชิงหยวนไม่ปฏิเสธและพูดด้วยรอยยิ้ม “ตกลงค่ะ ถือซะว่าวันนี้พวกเราไปเยี่ยมชมเมืองหลวงของมณฑลกันนะ”
เช่นเดียวกับแผนเดิม เธอวางแผนที่จะเปิดร้านขายสลัดเย็นที่นี่ให้หลินตงซิ่ว จากนั้นเปิดร้านขายเสื้อผ้าสำหรับตัวเธอเอง โดยเน้นไปที่เสื้อผ้าสตรีกับเสื้อผ้าผู้ชายคุณภาพสูง
เซี่ยชิงหยวนต้องการรู้เส้นทาง จึงไม่ได้ขอให้คนขับรถพาเธอไปที่นั่นทันที หญิงสาวเปลี่ยนเป็นรองเท้าหนังพื้นนิ่มแล้วเดินออกไปด้วยตัวเองแทน
ขณะที่พวกเขาเดินอยู่ ป้าอู๋ก็แนะนำให้รู้จักสถานที่รอบ ๆ ใกล้เคียง และเซี่ยชิงหยวนกับคนอื่น ๆ ก็ฟังด้วยความสนใจอย่างมาก
หลังจากเดินไปได้เกือบสี่สิบนาที ในที่สุดพวกเธอก็ไปถึงทางเข้าถนนคนเดิน
เซี่ยชิงหยวนฉายแววประหลาดใจ มันอยู่ที่นี่จริง ๆ
ป้าอู๋ถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณนายต้องการทำธุรกิจเสื้อผ้าประเภทไหนเหรอคะ?”
เซี่ยชิงหยวนมองดูอีกฝ่ายอย่างงุนงง “หมายความว่ายังไงเหรอคะป้าอู๋?”
ป้าอู๋ตอบกลับ “ถนนคนเดินตรงหน้าเราจริง ๆ แล้วมันถูกเรียกว่าถนนการค้าโดยคนท้องถิ่นน่ะค่ะ เดี๋ยวคุณนายจะได้เห็นว่ามีร้านค้าทุกประเภทมากมายเลย นอกจากนี้มันยังเป็นหนึ่งในถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมามากที่สุดในมณฑลอวิ๋นด้วยค่ะ”
“สินค้าบนถนนเส้นนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าระดับกลางถึงล่าง ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในคนส่วนใหญ่มากกว่า แน่นอนว่าราคาก็ค่อนข้างเป็นที่ยอมรับได้ของคนทั่วไปเช่นกันค่ะ”
จากนั้นป้าอู๋ก็ชี้ไปยังตรอกข้างถนนคนเดิน “ในอดีตมีร้านขายเสื้อผ้าที่พิเศษมากอยู่ในถนนที่ชื่อถนนหลินไห่นั่น ซึ่งโดยทั่วไปในร้านจะขายเสื้อผ้าระดับกลางถึงระดับสูง มีสไตล์แปลกใหม่และมีคุณภาพดี”
“หลายคนชอบไปซื้อของที่นั่นกันค่ะ ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะซื้อยังไง แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าภรรยาของข้าราชการและคนรวยจำนวนมากจะไปซื้อเสื้อผ้าที่นั่นกันทั้งนั้นเลยค่ะ”
“แน่นอนว่ามีคนที่พยายามเลียนแบบเสื้อผ้าของร้านในถนนหลินไห่และเอามาขายที่ถนนการค้า ซึ่งลดราคาลงถูกกว่ามาก แต่แน่นอนว่าคุณภาพนั้นหาที่เปรียบไม่ได้ในทุกด้านค่ะ”
เธอสรุปในตอนท้ายว่า “และแน่นอนว่าราคาค่าเช่าร้านบนถนนทั้งสองสายนี้ก็แตกต่างกัน เหมือนกับราคาเสื้อผ้าที่ขายในร้านค่ะ”
ค่าเช่าร้านราคาเฉลี่ยต่อปีในถนนคนเดินคือ สองพันสามร้อยถึงสองพันหกร้อยหยวน ส่วนถนนหลินไห่มีราคาแพงกว่าโดยทั่วไปคือ สองพันเจ็ดร้อยหยวนขึ้นไป
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้อีกฝ่ายหลังจากได้ยินคำอธิบายของป้าอู๋เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ป้าอู๋ คุณนี่น่าทึ่งจริง ๆ”
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เสิ่นอี้โจวขอให้ป้าอู๋มาหาร้านกับเธอ
แต่ค่าเช่าร้านที่นี่มีราคาแพงมากจริง ๆ
เมื่อเธออยู่ที่เมืองเตียนเฉิง คุณยายหลี่เห็นว่าเธอต้องการสัญญาเช่าระยะยาว หญิงชราจึงลดค่าเช่าลงเหลือหนึ่งร้อยสี่สิบหยวนต่อเดือน ซึ่งค่าเช่าในมณฑลอวิ๋นมีราคาแพงกว่าเกือบเท่าตัว
ป้าอู๋ยิ้มอย่างเขินอาย “เป็นเพราะหลานชายของครอบครัวฉันมาทำธุรกิจที่นี่น่ะค่ะ ฉันจึงมักจะได้ยินอะไรมาพอสมควร แต่ถ้าคุณนายต้องการถามอะไรเพิ่มเติม ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
ตอนแรกป้าอู๋ทำงานแผนกบริการของกรมมณฑล ต่อมาเพราะทำงานหนัก เธอจึงถูกย้ายมาอยู่บ้านเจ้าหน้าที่ระดับสูง ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาเธอจึงสั่งสมความรู้มากมายในพื้นที่นี้
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะพอใจกับทัศนคติของป้าอู๋ที่ถ่อมตัวกับคำชมของเธอ
แม่บ้านที่ฉู่ซิงอวี่หามาให้ครอบครัวของเธอนั้นดีมากจริง ๆ
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ไปที่ถนนหลินไห่เพื่อดูกันเถอะค่ะ”