บทที่ 308 ลักพาตัว
บทที่ 308 ลักพาตัว
เสิ่นอี้โจวยังคงจับเท้าของเธอไว้ในมือของเขา และเงยหน้าขึ้นมอง “เอาละ บอกผมมาสิ”
เซี่ยชิงหยวนคิดเรียบเรียงประโยคของเธอเอง “คุณยังจำหัวหน้าของพวกนักเลงในเมืองกว่างโจวที่ฉันเล่าให้คุณฟังได้ไหม?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “จำได้”
เขาคว้าเท้าของเธอ คีบสำลีก้อนเล็ก ๆ ไว้ด้วยแหนบในมือ จุ่มไอโอดีนแล้วเช็ดส้นเท้าที่เป็นแผลของเธอเบา ๆ
ความเจ็บปวดจากความเย็นของไอโอดีนทำให้เซี่ยชิงหยวนดึงขาหนี
ทันใดนั้นเขาก็จับเท้าเธออีกครั้ง พลางโน้มตัวมาข้างหน้าจนเท้าเล็ก ๆ ก็กดลงบนหน้าอกของเขา
วันนี้เสิ่นอี้โจวสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาเงิน ซึ่งเซี่ยชิงหยวนเลือกให้เขาเองตอนที่เธอไปซื้อสินค้าจากกว่างโจว
จริง ๆ แล้วสีนี้ค่อนข้างมีลูกเล่น มันไม่ดูแก่หรือดูเป็นสีดำเกินไป ซึ่งเสิ่นอี้โจวไม่เหมาะกับสีแบบพวกนั้น
ด้วยนิสัยที่เคร่งครัดและสะอาด เมื่อติดกระดุมถึงคอเสื้อ ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผย แต่ในขณะเดียวกันก็บริสุทธิ์และมีเสน่ห์อย่างยิ่ง
เท้าขาวของเซี่ยชิงหยวนทาบลงไปบนเสื้อ สองสีที่แตกต่างกัน ทำให้ภาพตรงหน้าเธอขัดแย้งกันอย่างมาก
“หืม?” เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้วแล้วมองดูเธอ
เสียงต่ำ…และเอ้อระเหย
เซี่ยชิงหยวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสงบสติอารมณ์และพูดต่อ “ตอนที่ฉันไปเมืองกว่างโจวรอบหลัง คุณจัดให้เฮ่ออวี้เฟิงดูแลฉัน และฉันก็พบเขาที่โรงแรมที่ฉันพักอยู่”
การเคลื่อนไหวของมือเสิ่นอี้โจวไม่ได้หยุด และเขาก็วางเท้าของเธอบนไหล่ของเขาโดยตรง โดยเอียงศีรษะไปด้านข้างเพื่อใส่ยาให้เธอ
ทันใดนั้นเธอก็จำได้ว่าเขาพาดขาของเธอบนไหล่แบบนี้มากี่วันกี่คืนแล้ว…
เซี่ยชิงหยวนแทบไม่มีสมาธิเลย
เธอหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “คืนนั้นเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ฉันวิ่งลงไปชั้นล่างกับทุกคนและเห็นเขาออกมาจากห้องหนึ่ง”
เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น เซี่ยชิงหยวนยังคงหวาดกลัวอยู่เลย
“เขาถือมีดที่เปื้อนเลือด ส่วนบนตัวของเขาดูเปียกปอน ฉันไม่รู้ว่าเป็นน้ำหรือเหงื่อ”
คืนนั้นผิวของฉีจิ่นจือเปล่งประกายท่ามกลางแสงไฟ ต่อมาเธอตระหนักว่ามันเป็นแสงที่หักเหด้วยน้ำหรือเหงื่อในแสงไฟ
“เขาเห็นฉันด้วย และเดินเข้ามาหาฉันด้วยพร้อมมีดในมือ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงของเฮ่ออวี้เฟิงเรียกฉันจากชั้นล่าง ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาก็หันหลังกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ทุกคนคิดว่าเขาตายแล้ว แต่วันนี้…”
เซี่ยชิงหยวนหยุดชั่วคราว มองดูเสิ่นอี้โจวและพบว่าเขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองดูเธอด้วยสายตาที่หนักหน่วง
เซี่ยชิงหยวนพูดอธิบาย “วันนี้ฉันพบว่าเขาคือฉีจิ่นจือ และเขาก็จำฉันได้ด้วย”
จากนั้นเธอก็พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาสองคนตรงพื้นที่พักผ่อนแถวห้องน้ำ และมองที่เสิ่นอี้โจวราวกับรอคำตัดสิน
การแสดงออกของเสิ่นอี้โจวแข็งค้าง ภายใต้ท่าทางสงบของเขามีพายุเกิดขึ้นแล้ว
เขายกมุมปากขึ้น ดวงตายังคงอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวลนะ ผมจะจัดการกับเรื่องนี้เอง”
เพียงประโยคง่าย ๆ เช่นนี้ก็ทำให้หัวใจที่กระสับกระส่ายของเซี่ยชิงหยวนสงบลงทันทีตลอดทั้งคืน
เท้าของเธอถูกทาด้วยยาแล้ว นิ้วของเขาก็ถูหลังเท้าของเธอ และอารมณ์บางอย่างที่เซี่ยชิงหยวนไม่เข้าใจก็แวบขึ้นมาในดวงตาของเขา “เรื่องที่อันตรายแบบนี้ ในอนาคตอย่าปิดบังมันจากผมอีกนะ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับคุณ ผมจะเสียใจจนตายแน่ ๆ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ในเวลานั้นคุณยุ่งมากและฉันไม่อยากให้คุณกังวลน่ะ ฉันจึงขอให้เฮ่ออวี้เฟิงไม่บอกคุณ”
ในเวลานั้น เธอคิดว่าตัวเองไม่เป็นไรแล้ว และเฮ่ออวี้เฟิงยังกล่าวอีกว่าเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างปัญหาให้กับเสิ่นอี้โจวอีก
เสิ่นอี้โจวลูบตำแหน่งข้อเท้าของเธอ จากนั้นกดไปที่น่องของภรรยาราวกับกำลังนวดให้ “บ้าน่า สามีและภรรยาก็เหมือนคนคนเดียวกันนั่นแหละ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็หัวเราะ
พอเห็นเสิ่นอี้โจวสงบมากแบบนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น “ทำไมคุณไม่แปลกใจเลยล่ะ?”
แม้แต่เธอก็ยังตกใจที่เรื่องรู้เรื่องนี้เลย
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “มีข่าวลือว่าจริง ๆ แล้วต้นกำเนิดของฉีจิ่นจือนั้นคลุมเครือและไอ้เรื่องการที่เขาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงนั้นถูกสร้างขึ้นโดยตระกูลฉี ในเรื่องนี้ผมได้เตรียมใจมาเป็นนานแล้ว อันที่จริงผมเป็นห่วงคุณมากกว่าจะแปลกใจ แต่จากข้อมูลในคืนนี้ ฉีหยวนซานไม่รู้ว่าคุณกับฉีจิ่นจือเคยพบกันมาก่อน เพราะงั้นตราบใดที่ฉีจิ่นจือไม่เปิดเผยอะไร คุณก็จะปลอดภัย”
เขาลุกขึ้นนั่งข้างเธอ “ทิ้งทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ผม อย่ากลัวไปเลย ผมจะปกป้องคุณเอง”
ดวงตาที่อ่อนโยนของเขามีพลังในการทำให้จิตใจของผู้คนสงบลงได้เสมอ
หินก้อนใหญ่ในใจเธอหล่นลงมา จากนั้นจึงโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา “ตกลง”
เธอไม่เห็นมัน แต่ขณะที่เสิ่นอี้โจวกอดเธอ สีหน้าของเขาเริ่มจริงจัง
เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ริมฝีปากเม้มแน่น และเขาไม่พูดอะไรเลย
…
บ้านตระกูลฉี
ในห้องนั่งเล่นของบ้าน ฉีหยวนซาน ภรรยาของเขา และฉีจิ่นจือกำลังนั่งอยู่ในห้องเดียวกันโดยไม่มีใครมีสีหน้าที่ดูดีเลย
ฉีหยวนซานขมวดคิ้ว ส่วนเผ่ยอิ่งกำลังมีสีหน้าเยาะเย้ย และฉีจิ่นจื่อนั่งบนโซฟาโดยแสดงสีหน้าขี้เกียจ
ตระกูลฉีคือตระกูลทหารมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ผ่านร้อนผ่านหนาวบุกตะลุยทั้งภูเขาและลำน้ำเพื่อประเทศจากรุ่นสู่รุ่น และสละชีพเพื่อประเทศ ฉีหมิงถูกส่งเข้ากองทัพเพื่อขัดเกลาตั้งแต่เขายังเด็ก เขามีบุคลิกที่เข้มงวด ซึ่งแตกต่างจากบุคลิกที่เลอะเทอะของฉีจิ่นจืออย่างสิ้นเชิง
ฉีหยวนซานอดทนกับลูกชายคนนี้ทั้งคืนและในที่สุดก็ไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีก “ดูสิ ไม่ว่าแกจะยืนหรือนั่งก็ดูไม่เหมือนลูกชายของฉันสักนิดเลย!”
ฉีจิ่นจือหัวเราะเยาะ “ผมไม่ใช่ลูกชายของคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่ ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้มีเพียงแม่ที่เป็นผู้ให้กำเนิดผมเท่านั้น”
เมื่อได้ยินฉีจิ่นจือเอ่ยถึงโจวโม่ ฉีหยวนซานก็เงียบไป
เขารู้ว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยเจตนา
ลืมมันไปซะ เขาเป็นหนี้แม่ลูกคู่นี้
เมื่อเห็นว่าฉีหยวนซานไม่ได้พูดอะไรอีก เผ่ยอิ่งก็เยาะเย้ยและพูดแทน “มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เด็กซึ่งเกิดท่ามกลางโคลนตมจะเป็นฐานให้กับกำแพงใหญ่ได้?”
เธอมองไปที่ฉีหยวนชาน “คุณคิดว่าการให้นามสกุลของคุณแก่เขา แล้วเขาจะสามารถเปลี่ยนสันดานของตัวเองได้เหรอ? มันก็ไม่ต่างอะไรกับแม่ที่ไร้ยางอายของมัน…”
หลังจากพบกับการจ้องมองอันน่ากลัวของฉีจิ่นจือ คำพูดของเผ่ยอิ่งก็ติดอยู่ในลำคอชั่วขณะหนึ่ง และเธอก็ไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป
ทันใดนั้นก็มีวัตถุพุ่งผ่านเธอไปแบบฉิวเฉียด ทำให้เธอร้องลั่น “กรี้ดด!” แล้วกอดศีรษะตัวเองไว้
ด้วยเสียงดัง ‘ปัง!’ ที่เขี่ยบุหรี่ก็บินผ่านหูของเธอไปกระแทกผนัง ทำให้เกิดหลุมลึก ซึ่งพังทลายลงทันที
มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฉีจิ่นจือใช้พลังมหาศาลแค่ไหน
“จิ่นจือ!” ฉีหยวนซานตวาดด้วยความโกรธ “แกคิดจะทำอะไร!”
ฉีจิ่นจือเมินเฉยฉีหยวนซาน เขาลุกขึ้นยืนและจ้องมองที่เผ่ยอิ่งโดยมีเจตนาฆ่าชัดเจนในดวงตา “ถ้าผมได้ยินคุณพูดไม่ดีเกี่ยวกับแม่ของผมอีกแม้แต่ครึ่งคำ ผมจะทำให้คุณเสียใจที่เกิดมามีปากแน่!”
ร่างกายของเผ่ยอิ่งสั่นราวกับหนูโดนน้ำเย็น และเธอไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
หน้าอกของฉีหยวนซานสั่นอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ เขาชี้ไปที่ฉีจิ่นจือและพูดไม่ออก
ฉีจิ่นจือก้าวยาวเดินผ่านเขาไปอย่างไม่แยแส
“หยุดนะ!” ฉีหยวนซานหายใจเข้าแรงก่อนสงบสติอารมณ์ลง “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป แกต้องไปรายงานตัวที่สำนักงาน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ฉีจิ่นจือก็หัวเราะ
เขามองไปที่ฉีหยวนซานอย่างเย็นชาและเต็มไปด้วยการประชดประชัน “ฉีหยวนซาน คุณจะปล่อยให้คนร้ายอย่างผมไปทำงานในสถานีตำรวจเหรอ? คุณต้องการให้ผมสอนวิธีฆ่าและจุดไฟให้พวกเขารึไง?”
เขาหยุดชั่วคราว “หรือคุณจะให้ผมบอกกับพวกเขาว่าจริง ๆ แล้วคุณเป็นคนยังไง คุณเอาชีวิตของคนทั้งโรงแรมมาเสี่ยงเพียงเพื่อแค่อยากจะลักพาตัวคนคนเดียวเท่านั้น?”
———————