บทที่ 299 ตัดผมทรงหมากัด
บทที่ 299 ตัดผมทรงหมากัด
เซี่ยชิงหยวนไปที่ร้านตรอกเก่า พลันพูดคุยกับเจียงเพ่ยหลานและอาเซียงตามลำดับ
คนแรกคือเจียงเพ่ยหลาน
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “เพ่ยหลาน เธอน่าจะเดาได้ว่าทำไมวันนี้ฉันถึงมาคุยกับเธอนะ?”
เจียงเพ่ยหลานพยักหน้า “ฉันรู้”
เซี่ยชิงหยวนพูดเข้าประเด็นทันที “ครอบครัวของฉันจะย้ายไปที่เมืองหลวงของมณฑลในไม่ช้า หลังจากฉันไปที่นั่น ฉันจะทำธุรกิจเสื้อผ้าและสลัดเย็นต่อไป ถ้าเธอไปกับเรา ฉันจะให้อำนาจเธอและแม่สามีของฉันอย่างเต็มที่ในการดูแลร้านตรอกเก่า รายได้ของเธอจะขึ้นอยู่กับกำไรของร้าน และแบ่งส่วนไป”
“แต่ถ้าหากเธอเลือกที่จะอยู่ที่นี่ ร้านนี้จะถูกโอนให้เธอและเธอสามารถทำการค้าต่อไปได้ด้วยตัวเองหลังจากที่เราจากไป”
ปัจจุบันร้านตรอกเก่าทำกำไรได้หนึ่งพันถึงสองพันหยวนต่อเดือน หลังจากไปเมืองหลวงของมณฑลแล้วก็จะมีแต่มากขึ้นเท่านั้น
เพียงแต่เซี่ยชิงหยวนไม่มีเวลามากพออีกต่อไปแล้ว เธอมีไอเดียใหม่ ๆ ในธุรกิจเสื้อผ้าและหยก
การไปเมืองหลวงของมณฑลเพื่อเปิดร้านสลัดเย็น เป็นเพียงการทำร้านให้หลินตงซิ่วเท่านั้น
ในความเป็นจริง ข่าวที่ว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังจะไปที่เมืองหลวงของมณฑลได้ถูกเปิดเผยให้คนอื่น ๆ รู้ก่อนหน้านี้แล้ว
เจียงเพ่ยหลานพยายามคิดดิ้นรนเป็นเวลานานว่าจะไปเมืองหลวงของมณฑลหรือไม่
ในท้ายที่สุด เมื่อพิจารณาว่าไม่มีใครดูแลลูกสาวของเธอที่นั่นแล้ว เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเลือกที่จะอยู่ที่เตียนเฉิง
แค่สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูดเกี่ยวกับการโอนร้านตรอกเก่าให้นั้นเกินความประหลาดใจของเธอไปจริง ๆ
จากการแสดงออกของเจียงเพ่ยหลาน เซี่ยชิงหยวนได้เห็นตัวเลือกของอีกฝ่ายแล้ว
เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างให้กำลังใจ “ไม่เป็นไรนะ ที่นี่มันอยู่ใกล้กับบ้านแม่ของเธอด้วย และการดูแลอะไรก็สะดวก สำหรับร้านตรอกเก่าเธอก็เปิดมันต่อไปได้ แต่ฉันแค่หวังว่าเธอจะสามารถรักษาความตั้งใจเดิมของเราในการทำธุรกิจนี้ รักษาคุณภาพสินค้าให้ดี และส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานได้”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เจียงเพ่ยหลานก็หลั่งน้ำตาทันที
เธอจับมือของเซี่ยชิงหยวนและพูดอย่างจริงจัง “ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะทำแบบนั้นแน่นอน”
จากนั้นเจียงเพ่ยหลานก็สะอื้นก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าจะตอบแทนเธอยังไงดีกับน้ำใจของเธอที่มีต่อฉันในชีวิตนี้”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกอ่อนไหวไปกับคำพูดของอีกฝ่าย “อย่าสงสัยในตัวเองสิ สิ่งเหล่านี้ได้มาจากการทำงานหนักของเธอทั้งนั้นนะ”
เจียงเพ่ยหลานติดตามเธอตั้งแต่การขายสลัดเย็นบนรถสามล้อมาจนถึงการมีหน้าร้าน จากคนที่ไม่เคยกล้าที่จะพูดหรือทำอะไร และไม่เข้าใจอะไรเลยด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้เธอสามารถดูแลตัวเองได้อย่างสมบูรณ์…
เซี่ยชิงหยวนเฝ้าดูเจียงเพ่ยหลานเติบโตขึ้นทีละขั้นด้วยสายตาของเธอเอง
นี่คือรางวัลและการยืนยันของเซี่ยชิงหยวนต่อเจียงเพ่ยหลาน
สุดท้ายเซี่ยชิงหยวนก็อธิบายทุกอย่างให้เจียงเพ่ยหลานรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับร้านตรอกเก่า และในที่สุดก็โอนสัญญาผู้เช่าร้านค้าให้อีกฝ่าย และการส่งมอบก็เสร็จสมบูรณ์
หลังจากคุยกับเจียงเพ่ยหลานแล้ว อาเซียงก็เป็นคนถัดไป
เมื่อเทียบกับความโศกเศร้าของเจียงเพ่ยหลานแล้ว อาเซียงมีความสุขมากกว่ามาก
เด็กสาวพูดว่า “พี่สาวเซี่ย ฉันจะไปกับพี่!”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มตอบ “พ่อแม่ของเธอเต็มใจที่จะให้เธอไปกับพี่เหรอ?”
อาเซียงพูดว่า “ตอนแรกพวกเขาก็ลังเลค่ะ แต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่าฉันจะติดตามพี่ไป พวกเขาก็แทบจะไล่ฉันไปทันทีเลยล่ะ ฮ่าฮ่า”
คำพูดติดตลกของอาเซียงทำให้เซี่ยชิงหยวนรู้สึกเศร้าน้อยลงเกี่ยวกับเจียงเพ่ยหลานเมื่อกี้นี้
เซี่ยชิงหยวนจับมือของอาเซียงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ต่อจากนี้ไปเธอจะเป็นคนของพี่เต็มตัวแล้วนะ”
พูดตามตรง ต่อให้คำตอบของอาเซียงคืออยู่ในเมืองเตียนเฉิง เซี่ยชิงหยวนก็คงจะโน้มน้าวให้เด็กสาวไปกับเธอให้ได้
ท้ายที่สุดเธอได้ทำการฝึกเด็กสาวกับมือตัวเองมาครึ่งปี และเด็กสาวก็พร้อมที่จะเป็นผู้ช่วยที่สมบูรณ์แล้ว เธอทนไม่ได้จริง ๆ หากจะปล่อยอาเซียงไปทั้งแบบนี้
และการทำธุรกิจเสื้อผ้านั้นต่างจากการขายอย่างอื่น นอกจากต้องทำงานหนักด้วยตัวเองแล้วยังต้องมีพรสวรรค์อีกด้วย
เซี่ยชิงหยวนตรวจดูสินค้าคงคลังเสื้อผ้าอีกครั้ง ยังมีเสื้อผ้ามากกว่าห้าร้อยชิ้น และชุดชั้นในมากกว่าหนึ่งร้อยชิ้นที่ยังขายไม่ออก
เธอกล่าวว่า “ยังไงซะ พี่ก็ยังมีบางอย่างที่ต้องทำเมื่อไปที่เมืองหลวงของมณฑล เธอรอพี่ที่นี่ก่อนนะ ภายในประมาณหนึ่งหรือสองสัปดาห์หลังจากที่พี่จัดการเรื่องที่นั่นเสร็จ พี่จะพาเธอไปอยู่ที่นั่นด้วยกัน”
เซี่ยชิงหยวนปิดสมุดบัญชี “เสื้อผ้าที่เหลือก็ขายเท่าที่ทำได้ ถ้ามีเหลือ เราจะเอาไปขายที่เมืองหลวงของมณฑลต่อ แม้ว่าเธอจะขายเสื้อผ้าที่เหลือไม่หมดและนำไปที่เมืองหลวงของมณฑล แต่ทั้งคุณภาพและรูปแบบเสื้อผ้าของเราก็ไม่ต่างจากของที่ขายในร้านค้าระดับสูงของที่นั่นเหมือนกัน”
นอกจากนี้คนในเมืองหลวงของมณฑลมีกำลังซื้อที่มากกว่า เธอจึงไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ได้
อาเซียงดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้และถามเซี่ยชิงหยวนอย่างระมัดระวัง “พี่สาวเซี่ย เมื่อเราไปอยู่ที่เมืองหลวงของมณฑล พี่จะยังให้ฉันไปซื้อสินค้าเองที่กว่างโจวอยู่ไหมคะ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “แน่นอน”
อาเซียงไม่ค่อยพูดกับเซี่ยชิงหยวนด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ และเมื่อมองด้วยสายตาที่ค่อนข้างหลบเลี่ยงของเด็กสาว เซี่ยชิงหยวนก็เข้าใจทันที
เซี่ยชิงหยวนเคยคิดว่าหลังจากเวลาผ่านไป เด็กสาวน่าจะลืมเฮ่ออวี้เฟิงไปแล้ว
แต่นี่คืออะไร?
เฮ่ออวี้เฟิง ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งคนนั้นหยั่งรากลึกลงในหัวใจของเด็กสาวได้สำเร็จแล้วเหรอ?
เสิ่นอี้โจวเคยเล่าว่าปีนี้เฮ่ออวี้เฟิงอายุยี่สิบเก้าปี ซึ่งแก่กว่าอาเซียงถึงสิบเอ็ดปีเชียวนะ!
จะดีไหมถ้าเธอพูดกับอาเซียงว่า ‘เฮ่ออวี้เฟิงอายุมากแล้ว และอีกไม่กี่ปีเขาจะสามารถเรียกพ่อของเธอว่าพี่ชายได้เลยนะ’
แต่ถ้าจู่ ๆ เธอพูดแบบนี้ออกไป อาเซียงอาจร้องไห้ก็ได้…
ท้ายที่สุด เซี่ยชิงหยวนก็ทำได้เพียงตบไหล่อาเซียงโดยไม่พูดอะไรเท่านั้น
…
ก่อนที่จะได้ไปเมืองหลวงของมณฑล ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนและอาเซียงก็ขายเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของพวกเธอออกได้
หลังจากนับแล้วก็เหลืออีกประมาณสองร้อยชิ้น ไม่มากไปกว่านี้อีกแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดชั้นใน หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนอธิบายอย่างโอ้อวด มันก็ได้ดึงดูดหญิงสาวจำนวนมาก และลูกค้าเหล่านั้นก็ซื้อครั้งละสองหรือสามชิ้น
เช่นเดียวกับที่เซี่ยชิงหยวนพูด ผู้คนต้องเปลี่ยนชุดชั้นในทุกวัน ถ้าไม่ซื้อเพิ่มอีกสองสามชิ้นจะใส่สลับกันได้ยังไง?
เซี่ยชิงหยวนพูดกับอาเซียง “ในตอนที่ยังมีเวลา เธอไปใช้เวลากับพ่อแม่ในช่วงนี้ให้มากขึ้นเถอะ เพราะในอนาคตเราอาจจะไม่กลับมาบ่อย ๆ หรอกนะ”
อาเซียงรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันทีเมื่อคิดได้ถึงเรื่องนี้ “ได้ค่ะ”
ก่อนออกเดินทางสองวัน เซี่ยชิงหยวนพาหลินตงซิ่วและเสิ่นอี้หลินไปที่ร้านตัดผมที่ดีที่สุดในเมืองเตียนเฉิง
เธอเข้าไปในประตู “ช่วยดัดผมลอนใหญ่ให้ฉัน และช่วยเล็มผมแม่สามีของฉันและดัดให้เป็นลอนเล็ก ๆ หน่อยนะคะ”
จากนั้นก็เหลือบมองที่เสิ่นอี้หลิน ซึ่งถูกเธอลากมาด้วย “ถ้าเด็กน้อยคนนี้ไม่เชื่อฟัง คุณจะตัดทรงอะไรให้เขาก็ได้นะ ตัดเป็นทรงหัวแตงโมที่สุนัขกัดก็ไม่เลว”
เสิ่นอี้หลิน “…”
ช่างตัดผมที่ร้าน “…”
เสิ่นอี้หลินไม่อยากให้หลินตงซิ่วอาบน้ำให้ จนบางครั้งถึงกับไม่ได้อาบน้ำด้วยซ้ำ
แม้กระทั่งการออกไปเดินเที่ยวเล่นตามถนนกับพวกเธอ เขาก็ยังทำหน้าบูดบึ้ง “ผมไม่อยากออกมาซื้อของกับผู้หญิง!”
ช่างตัดผมยิ้มแล้วพูดว่า “เราจะตัดทรงสุนัขกัดให้เขาได้ยังไง? หนุ่มน้อยรูปหล่อแบบนี้เหมาะมากกับทรงผมสไตล์ตะวันตกนะ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?”
ขณะที่ช่างตัดผมพูดแบบนี้ เขาก็หันไปพูดกับเสิ่นอี้หลิน
ใบหน้าเล็ก ๆ ของเสิ่นอี้หลินที่ตึงเครียด ในที่สุดก็แสดงรอยยิ้มและลังเลเล็กน้อย “ใช่ครับ…”
หลินตงซิ่วลังเลที่จะจ่ายเงิน “ชิงหยวน ทำไมไม่ให้แม่กลับไปใช้ที่คีบเหล็กรนไฟรีดผมก็พอแล้วล่ะ?”
เธอเห็นผู้หญิงในหมู่บ้านก็ทำแบบนั้น
เพียงแต่ว่าเส้นผมที่ถูกทำแบบนั้นไม่เพียงแต่มีกลิ่นไหม้เท่านั้น ทั้งยังไม่อยู่ทรงด้วย
และสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูดเกี่ยวกับดัดผมเป็นลอน เธอเคยเห็นมันในภาพยนตร์ที่ฉายในหมู่บ้านมาก่อนเท่านั้น
ต่อมาเมื่อมาที่เตียนเฉิง เธอเคยเห็นผู้หญิงที่ดัดผมเดินอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยเจ้าหน้าที่บ้างเป็นครั้งคราว
อย่าว่าแต่เรื่องดัดผม เมื่อก่อนเพราะครอบครัวยากจนมาก เธอจึงมักจะถูกพาไปตัดผมและขายผมแทน
คนตัดผมโหดมาก ตัดผมจนแทบจะติดหนังศีรษะของเธอเลย
ต่อมาก็ต้องใช้เวลาอยู่นาน กว่าที่เส้นผมของเธอจะยาวขึ้น
เธอรู้สึกว่าการสระผมยาว ๆ เป็นการสิ้นเปลืองน้ำ ดังนั้นเธอจึงไว้ผมยาวถึงเพียงไหล่เท่านั้นและไม่เคยจะไว้ยาวกว่านั้นเลย
การให้หญิงชราทำผมตอนนี้ไม่ถือว่าเป็นการเสียเงินเปล่าหรอกเหรอ?