บทที่ 290 ความมีน้ำใจของคนคนหนึ่งจะต้องมีจุดสิ้นสุด
บทที่ 290 ความมีน้ำใจของคนคนหนึ่งจะต้องมีจุดสิ้นสุด
กงเหลียนซินพาเซี่ยจิ่งเยว่ไปที่บ้านพ่อแม่ของเธอพร้อมกับเด็กทั้งสี่คน
นี่เป็นการหลีกเลี่ยงตระกูลจางในช่วงนี้
ทันทีที่เห็นเซี่ยจิ่งเฉิน พี่ใหญ่ตระกูลจางพลันเปลี่ยนความเกรี้ยวกราดเมื่อครู่และแสดงสีหน้ายิ้มแย้มทันที “ไม่มีอะไร ๆ นายได้ยินผิดไปน่ะ”
ขณะที่พูด เขาก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้จางอวี้เจียว
เสื้อผ้าที่จางอวี้เจียวใส่ในวันนี้คือชุดเอี๊ยมสีน้ำเงินและเสื้อลายดอกไม้พื้นหลังสีขาว เสื้อผ้านี้เธอสวมใส่เมื่อพบกับเซี่ยจิ่งเฉินครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน
เธอขุดมันออกมาจากตู้เสื้อผ้าของแม่ แล้วสวมมันโดยหวังว่าเมื่อเซี่ยจิ่งเฉินได้เห็นชุดนี้ เขาจะจำความรู้สึกเก่า ๆ ได้
โดยไม่คาดคิด เซี่ยจิ่งเฉินทำราวกับว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นมัน ดวงตาของเขากวาดไปทั่วร่างกายของหญิงสาวเบา ๆ และไม่ได้พูดอะไร
จางอวี้เจียวระงับความทุกข์ในใจ ก้าวไปข้างหน้าพลางทัดผมไปที่หลังหูและลดเสียงของเธอ “จิ่งเฉิน เรากลับเข้าไปในบ้านแล้วคุยกันได้ไหม?”
เซี่ยจิ่งเฉินจ้องมองไปข้างหน้า “ไม่จำเป็น ถ้าไม่ใช่การคุยเรื่องหย่า ฉันก็ไม่มีอะไรจะคุยกับเธอ”
ความเย็นชาของเซี่ยจิ่งเฉินทำให้จางอวี้เจียวหงุดหงิด เธอคุ้นเคยกับการบังคับเซี่ยจิ่งเฉิน หญิงสาวจึงไม่สามารถอดกลั้นได้และตะโกนใส่เขาทันพลัน “เซี่ยจิ่งเฉิน นายเป็นบ้าอะไร! นายทำแบบนี้หมายความว่ายังไง? ฉันบอกนายเอาไว้เลยนะว่าตราบใดที่เราไม่หย่ากัน ฉันก็ยังคงเป็นภรรยาของนาย! นายต้องการที่จะทิ้งฉันและไปแต่งงานกับนังถานจิงเซียนนั่น และทำความฝันของนายให้เป็นจริงสินะ ฉัน…”
“อวี้เจียว!” พี่ใหญ่ตระกูลจางแทบจะพูดไม่ออก พวกเขามาครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อดุด่า แต่มันเป็นการขอร้องอีกฝ่ายต่างหาก!
เขารีบคว้าจางอวี้เจียวแล้วพูดกับเซี่ยจิ่งเฉินว่า “น้องเขย อวี้เจียวแค่หุนหันพลันแล่นไปหน่อยน่ะ เพราะงั้นอย่าถือสาเธอเลยนะ”
เขายกของในมือขึ้น “เมื่อเช้านี้เธอยังบอกด้วยว่าเธอผิดเอง อยากกลับมาปรับความเข้าใจกับนายและผู้อาวุโสทั้งสองเพื่อขอโทษน่ะ เราขอเข้าไปข้างในสักหน่อยจะได้ไหม?”
เพื่อป้องกันไม่ให้เซี่ยจิ่งเฉินปฏิเสธคำขอของพวกเขา วันนี้เขาก็นำเหล้ามาด้วย
หลังจากนี้ ตราบใดที่พวกเขาเข้าไปในบ้านได้ ทำให้เซี่ยจิ่งเฉินดื่มและนอนกับจางอวี้เจียวอีกครั้ง เซี่ยจิ่งเฉินยังจะกล้าปฏิเสธอีกเหรอ?
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยจิ่งเฉินก็ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เป็นพิเศษและหันหลังกลับเพื่อจากไป
“เฮ้ย น้องเขย!” พี่ใหญ่ตระกูลจางรั้งเขาไว้ “มาคุยกันก่อนเถอะนะ ตกลงไหม?”
เซี่ยจิ่งเฉินถอยหลังไปสองก้าว โดยรักษาระยะห่างจากอีกฝ่ายมากกว่าหนึ่งเมตร “ถ้าจะคุยก็คุยกันตรงนี้ ต้องการจะพูดอะไร?”
พี่ชายคนโตจางลูบมือ “ก็…เป็นเรื่องของอวี้เอ๋อน่ะ นายคิดว่าสามารถโทรหาน้องสาวชิงหยวนและสามีของเธอได้ไหม…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เซี่ยจิ่งเฉินก็เดินผ่านไป และกำลังจะเข้าไปในบ้านทันที
เห็นแบบนี้พี่ใหญ่ตระกูลจางก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ได้อีกต่อไป เขามองไปที่จางอวี้เจียวและวางแผนที่จะใช้กำลัง
“น้องเฉิน!” ในขณะนี้มีเสียงผู้ชายดังมาจากไม่ไกล ซึ่งเป็นต้าหลินจือที่พาแม่เฒ่าจางออกไปรับโทรศัพท์ในวันนั้น
เขาวิ่งมาและพูดกับเซี่ยจิ่งเฉิน “น้องเฉิน แม่ของฉันชวนให้นายมากินข้าวที่บ้านของฉันน่ะ”
ขณะที่เขาพูดสิ่งนี้ เขาก็ขยิบตาให้เซี่ยจิ่งเฉิน
เซี่ยจิ่งเฉินพยักหน้าทันที “ได้สิ”
จากนั้นเซี่ยจิ่งเฉินก็มองไปที่พี่ใหญ่ตระกูลจางกับจางอวี้เจียว แล้วพูดว่า “ฉันพูดไปหลายครั้งแล้วนะ ว่าเราไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องของจางอวี้เอ๋อได้ และไม่มีทางเป็นไปได้ที่ฉันจะรบกวนชิงหยวนกับอี้โจวเพราะเรื่องนี้ แทนที่พวกนายจะมาเสียเวลาอยู่กับเรา มันจะดีกว่าไหมถ้าเอาเวลาไปคิดว่าจะให้เธอสารภาพและผ่อนปรนโทษได้ยังไง?”
หลังจากพูดอย่างนั้น เซี่ยจิ่งเฉินและต้าหลินจือก็จากไปโดยไม่มองคู่พี่น้องตระกูลจางอีกเลย
พี่ชายและน้องสาวตระกูลจางยืนอยู่ที่นั่น ใบหน้าของพวกเขามืดมนอย่างน่ากลัว
จางอวี้เจียว “พี่ชาย ฉันควรทำยังไงดี?”
พี่ใหญ่ตระกูลจางพูดอย่างโกรธ ๆ “จะทำอะไรได้อีก ไม่ใช่ว่าเธอมันไร้ประโยชน์เหรอหะ? กลับบ้าน!”
…
โดยไม่คาดคิด หลังจากที่พวกเขาทั้งสองเพิ่งกลับบ้านและก่อนที่พวกเขาจะมีโอกาสได้ดื่มน้ำ สะใภ้จางก็เร่งเร้าทั้งสองทันที “เมื่อตอนบ่ายแม่โทรมา บอกว่าให้พวกนายสองคนโทรกลับทันทีเมื่อกลับมานะ”
ขณะที่เธอพูดอย่างนั้น เธอยื่นหมายเลขโทรศัพท์ที่จดไว้ก่อนหน้านี้ให้ “โทรไปที่หมายเลขนี้เลย”
จากนั้นจางอวี้เจียวและพี่ชายคนโตของเธอก็รีบไปที่สำนักงานหมู่บ้านเพื่อโทรออก
ทันทีที่รับสาย แม่เฒ่าจางก็เริ่มร้องไห้ทันที “อวี้เจียว ลูกต้องไปที่หมู่บ้านซิ่งฮวาเพื่อหย่ากับเซี่ยจิ่งเฉินเช้าวันพรุ่งนี้ทันทีเลยนะ!”
จางอวี้เจียวสับสน “แม่ไม่ได้บอกเหรอว่าจะไม่ให้หนูหย่ากับเขา? ตอนนี้แม่หมายความว่ายังไง!?”
แม่เฒ่าจางร้องไห้ “นังหมาตัวเมียข้างบ้านเรามันพูดเรื่องหนี่เจิ้งออกไป ต่อมาสำนักงานความมั่นคงสาธารณะก็โทรกลับมาหาแม่ และสอบปากคำแม่อยู่ตั้งนานกว่าจะปล่อยแม่ออกมา ถ้าเซี่ยชิงหยวนพูดเรื่องนี้ออกไปด้วย อวี้เอ๋อจะต้องตายแน่นอน!”
จางอวี้เจียวรู้สึกปวดหัวเพราะแม่เฒ่าจางร้องไห้ เธอกุมหัวตัวเอง “เซี่ยชิงหยวนรู้แล้วยังไง? บ้านของหนี่เจิ้งอยู่ห่างไกลจะตาย ตำรวจหาเจอก็แปลกแล้ว!”
เธอเคยได้ยินแม่เฒ่าจางและจางอวี้เอ๋อบอกว่าครอบครัวของหนี่เจิ้งอาศัยอยู่ในภูเขาที่ห่างไกล ยังไม่ต้องพูดถึงถนนบนภูเขาและหน้าผา แม้แต่ขี้เถ้าก็ยังถูกฝังอยู่ในหลุมบนพื้น เธอไม่เชื่อว่าตำรวจจะพบสถานที่แบบนั้นได้หรอก
ถ้าไม่พบใครก็ไม่มีหลักฐาน แล้วตำรวจจะทำอะไรกับพวกเขาได้?
โดยไม่คาดคิดแม่เฒ่าจางพูดว่า “นังผู้หญิงเลวเซี่ยชิงหยวนนั่นรู้ที่อยู่บ้านของตระกูลหนี่! วันนี้ที่สถานีตำรวจ มันยังบอกที่อยู่ของบ้านของพวกเขาให้แม่ได้ยินด้วย!”
เมื่อคิดถึงการพบกับเซี่ยชิงหยวนในตอนบ่าย ระดับความกลัวที่หญิงชรารู้สึกนั้นไม่น้อยไปกว่าตอนถูกสอบปากคำในห้องแคบ ๆ นั้นเลย
จางอวี้เจียวแทบทรุดตัวลงกับพื้นและหูโทรศัพท์ก็หลุดจากมือของเธอ
พี่ใหญ่ตระกูลจางยืนอยู่ด้านข้าง เขาจับมันอย่างรวดเร็วด้วยสายตาและมือที่เฉียบคม
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและรับช่วงต่อจากจางอวี้เจียว “แม่?”
แม่เฒ่าจางพูดหลายสิ่งทางโทรศัพท์ และดวงตาของพี่ใหญ่ก็โตขึ้นเรื่อย ๆ เกือบจะเหมือนกับระฆัง
จากนั้นดวงตาของพี่ใหญ่ก็หันไปมองยังจางอวี้เจียวที่ซีดเซียว บนใบหน้าของเขาปรากฏรูปลักษณ์ที่ซับซ้อน
ในที่สุดเขาก็พยักหน้า “ตกลงแม่ ผมเข้าใจแล้ว”
…
ตกดึก เซี่ยชิงหยวนล้มกายนอนครึ่งตัวบนเตียงโซฟาในห้องด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เสิ่นอี้โจวเห็นว่าเธอไม่ได้อารมณ์ดีนัก จึงเดินเข้ามาจับมือเธอแล้วเล่นกับมัน “คุณกำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องของจางอวี้เอ๋อเหรอ?”
“นั่นไม่นับหรอก” เซี่ยชิงหยวนพิงเขาแล้วพูดว่า “วันนี้ฉันเจอแม่ของจางอวี้เอ๋อน่ะ และฉันก็ข่มขู่เธอด้วยซ้ำ”
“โอ้” เสิ่นอี้โจวตอบพร้อมโบกมือให้เธอพูดต่อ
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองเขา “ฉันข่มขู่เธอ ขู่เธอด้วยเรื่องของลูกนอกสมรสของจางอวี้เอ๋อกับหนี่เจิ้ง และบังคับให้เธอสั่งจางอวี้เจียวให้หย่ากับพี่รองของฉัน”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ความคิดนี้ดีนะ”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกประหลาดใจ “คุณไม่คิดว่าฉันใช้วิธีสกปรกเกินไปเหรอ? ก่อนที่ปู่ของฉันจะเสีย ฉันสัญญากับเขาว่าจะไม่เกลียดหรืออาฆาตแค้น แต่พอนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่ทั้งครอบครัวต้องอดทน ฉันก็ยังเกลียดอยู่ดี”
เมื่อสิ่งต่าง ๆ ดำเนินมาถึงจุดนี้ เซี่ยชิงหยวนไม่สนใจแล้วด้วยซ้ำว่าหวังผิงจะคิดยังไงกับเธอ เธอเพียงกังวลว่าจะทำให้ปู่ของเธอผิดหวังหรือไม่เท่านั้น
เพราะนั่นคือคนที่เธอเคารพและรักมากที่สุด และเป็นคนที่รักเธอมากที่สุดด้วย
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เสิ่นอี้โจวก็หัวเราะ
เขาลูบศีรษะของภรรยาแล้วพูดว่า “ที่คุณปู่พูดแบบนั้นตั้งแต่แรกเพราะเขาไม่อยากให้คุณต้องอยู่กับความรู้สึกผิดและสำนึกผิดไปตลอดชีวิตต่างหาก ชีวิตนั้นแสนสั้น ถ้าคุณทุ่มกำลังทั้งหมดไปกับการทำเรื่องพวกนี้ คุณจะไม่รู้สึกมีความสุขน้อยลงเหรอ? แต่ตราบใดที่คุณมีความสุข คุณปู่ก็จะมีความสุขตามไปด้วยเช่นกัน”
หลังจากฟังคำพูดของเสิ่นอี้โจวแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็หัวเราะ
เธอเอาแขนคล้องคอเขาแล้วพูดอย่างจริงจัง “อี้โจว จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้ใจดีขนาดนั้นหรอกนะ วันเวลาที่ฉันต้องอยู่ไกลบ้านมันสอนฉันอย่างหนึ่ง นั่นคือความมีน้ำใจของคนคนหนึ่งจะต้องมีจุดสิ้นสุด”
“การอดทนอย่างไร้เหตุผลจะไม่มีผลอะไรกับผู้อื่น หรือการที่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำสิ่งที่ต้องการต่อไปมีแต่จะทำให้ตัวเองถอยทีละก้าวเท่านั้น และสุดท้ายก็ไม่มีทางให้ถอย”
“บางทีที่คนปฏิบัติต่อคุณไม่ดีอาจเป็นเพราะด้วยนิสัยของพวกเขาที่เป็นแบบนั้น แต่บางทีจริง ๆ แล้วสาเหตุส่วนใหญ่อาจมาจากการกระทำของเราเอง”
“อย่างที่คุณบอก ชีวิตมันสั้นนัก ทำไมไม่ทำสิ่งที่เราสบายใจจะดีกว่าล่ะ?”
“ขอแค่บอกกับตัวเอง เพียงเราไม่ริเริ่มที่จะทำร้ายผู้อื่นและยึดติดกับความต้องการในหัวใจของตัวเอง แค่นั้นก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เสิ่นอี้โจวยิ้มและพยักหน้า “ถูกต้อง”
เซี่ยชิงหยวนกอดเขาแน่น “รอพรุ่งนี้ก่อนเถอะ ทุกอย่างจะเรียบร้อยหลังพายุแน่นอน”
———————