บทที่ 276 ไม่ดีเลยที่ภรรยาบอบบางเกินไป
บทที่ 276 ไม่ดีเลยที่ภรรยาบอบบางเกินไป
เสิ่นอี้โจวืนซ้อนหลังเธอโดยยังคงสวมเสื้ออยู่
เสียงของเขาแหบพร่า “แล้วคุณหมายถึงอะไรล่ะ?”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ โดยที่ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองกำลังจับเอวเรียวของภรรยาอยู่
เอวของเซี่ยชิงหยวนบางมาก แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเรือนร่างอันเย้ายวนของเธอเลย
หลังจากกลับมาที่เมืองเตียนเฉิงนานกว่าหนึ่งเดือน ผิวที่ถูกแดดเผาในทิเบตก็ฟื้นตัวขึ้น มันเนียนนุ่มขึ้น ใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็เปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว
ทั้งยังมีเอวที่คอดงาม ซึ่งเห็นได้ชัดมากเมื่อเธอคุกเข่า
เสิ่นอี้โจวมองไปยังรอยมือสีแดงที่เหลืออยู่บนเอว หลังของภรรยา และลำคอของเขาก็แห้งผากมากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาระงับความต้องการในใจเพราะภาพตรงหน้า และดึงคอเสื้อของเขาอย่างหงุดหงิด
กระดุมที่ติดอยู่ทั้งหมดถูกปลดออก เผยให้เห็นหน้าอกและกระดูกไหปลาร้าอันละเอียดอ่อน
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินเสียงนั้น เธอก็ตัวสั่นด้วยความตกใจ
“จริงสิ…” เสิ่นอี้โจวสูดหายใจเข้าลึก ๆ และความหงุดหงิดในใจของเขาเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง
ดูเหมือนว่าบางครั้งการที่ภรรยาบอบบางเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี…
…เสิ่นอี้โจวเสร็จกิจตรงเวลามากตอนห้าโมงเย็น
เขาลุกขึ้นจากเตียง หยิบเสื้ออีกตัวออกมาจากตู้เสื้อผ้าแล้วสวมใส่
หลังจากการทำงานหนักของเซี่ยชิงหยวนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ในที่สุดเสิ่นอี้โจวก็มีเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้ามากขึ้น
แต่ยังไงซะ เสื้อผ้าของเขาก็ใช้พื้นที่เพียงหนึ่งในสี่ของตู้เท่านั้น
เขากล่าวในเวลานั้นว่า “ผมเป็นผู้ชาย ดังนั้นผมไม่ต้องการเสื้อผ้ามากมายนักหรอก แต่เมื่อฤดูกาลเปลี่ยน คุณก็ซื้อชุดให้ผมได้อีกสักสองสามชุดแล้วกัน”
เขาติดกระดุมเสื้อแล้วพูดว่า “ผมจะช่วยทำอาหารเย็นนี้นะ”
เมื่อเทียบกับความเหนื่อยล้าที่เขาเพิ่งกลับบ้าน ในขณะนี้เขาดูสดชื่นมาก
เสียงยังคงแหบลึกและมีเสน่ห์
เซี่ยชิงหยวนนอนแผ่อยู่บนเตียง พ่นลมหายใจเบา ๆ แล้วหันหน้าหนีจากเขา
เสิ่นอี้โจวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เขาเดินไปและลูบผมยุ่งๆ ของเธอ “ก็ไม่ใช่ว่าคุณบอกให้ผมรีบหรอกเหรอ? ทำไมตอนนี้คุณกลับดูงอนผมซะล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนหันกลับมาจ้องเขาเขม็ง “ออกไปให้พ้นทางเลย ฉันจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอน!”
พี่สะใภ้ยังอยู่ที่นี่และเธอไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรถึงการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนในช่วงเย็น
เสิ่นอี้โจวแตะจมูกของเขา และพบว่าครั้งนี้เขาสร้างปัญหามากมายซะแล้ว
เขาเกลี้ยกล่อม “อย่าโกรธเลยนะ ครั้งหน้าผมจะทำให้ช้าลงก็ได้”
เซี่ยชิงหยวนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “…”
เธอหยิบหมอนบนเตียงแล้วเขวี้ยงไปที่เสิ่นอี้โจว “ออกไปเลยนะ!”
เสิ่นอี้โจวจับหมอนไว้ “เอาละ ๆ ผมจะไปแล้ว”
โดยมีเสิ่นอี้โจวช่วยทำอาหารเย็น เมื่อกงเหลียนซินและคนอื่น ๆ กลับมา อาหารก็พร้อมแล้ว
กงเหลียนซินเห็นผ้าปูที่นอนที่เพิ่งซักเสร็จแขวนอยู่ในสนาม จากนั้นก็เหลือบมองเสิ่นอี้โจวที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน ใบหน้าของเธอจึงดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่นัก
ท้ายที่สุดแล้วมันเป็นกลางวันแสก ๆ ดังนั้นจึงไม่ควรจะเป็นอย่างที่เธอคิดใช่ไหม?
ยิ่งไปกว่านั้น เสิ่นอี้โจวดูอ่อนโยนและสุภาพ ดังนั้นเขาคงจะไม่หื่นกระหายอะไรถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง?
เซี่ยชิงหยวนเพิ่งออกมาพร้อมจาน เมื่อเธอเห็นกงเหลียนซินกำลังมีสีหน้าครุ่นคิดเมื่อมองไปที่ผ้าปูที่นอน ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
“เมื่อกี้ผมหาของอยู่ในห้อง และบังเอิญทำหมึกหล่นใส่เตียงน่ะ” จู่ ๆ เสิ่นอี้โจวก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังพวกเขาและพูดเบา ๆ
คราวนี้เป็นกงเหลียนซินเองที่รู้สึกเขินอาย
เธอคิดไปได้ยังไงว่าเสิ่นอี้โจวเป็นคนหื่นกามขนาดนั้น?
กงเหลียนซินยิ้มอย่างเชื่องช้า “อ้อ อย่างนั้นนี่เอง ๆ”
เสิ่นอี้โจวกะพริบตาให้เซี่ยชิงหยวนเป็นการบ่งบอกว่าเรื่องจบลงแล้ว
เซี่ยชิงหยวนเหลือบมองเขาด้วยความเขินอาย แต่ในแววตาของเธอมีความรักมากกว่าความโกรธ
เธอเดินเข้าไปในห้องรับประทานอาหารพร้อมจานชาม
ในเวลานี้เซี่ยจิ่งเฉินก็มาถึงแล้ว
เขาถือผลไม้ที่เอามาเมื่อเช้านี้มา แต่ไม่ได้มีเวลาส่งให้มาด้วย เขายิ้มและตะโกนเรียก “น้องเขย!”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่รอง”
เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับผลไม้จากมือของเซี่ยจิ่งเฉิน และต้อนรับอีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน “เข้ามาเร็ว ๆ เถอะ วันนี้ชิงหยวนทำอาหารที่พี่รองชอบเยอะแยะเลย”
เมื่อได้ยินเสียงของเซี่ยจิ่งเฉิน เซี่ยไป่เหิงก็วิ่งออกมาจากข้างในบ้าน
เมื่อเห็นว่าเป็นเซี่ยจิ่งเฉิน เขาก็ตะโกนอย่างมีความสุข “คุณอา!”
เซี่ยจิ่งเฉินอ้าแขนของเขากอดเซี่ยไป่เหิง และพูดด้วยรอยยิ้ม “เด็กดี อาไม่ได้เจอเธอแค่ไม่เท่าไหร่แต่โตขึ้นขนาดนี้แล้วเหรอ? ดูสิ แข็งแรงขึ้นด้วยใช่ไหม?”
เซี่ยไป่เหิงพยักหน้า “แน่นอนครับ ที่บ้านของอาชิงหยวนกับอาอี้โจวมีเนื้อและนมให้ผมได้กินทุกวันเลย!”
เมื่อไม่นานมานี้ บ้านหลังเก่าของตระกูลเซี่ยต้องทำการปรับปรุงใหม่และมีการใช้เงินจำนวนหนึ่ง ดังนั้นหวังผิงจึงประหยัดค่าอาหารลงนิดหน่อย
ครั้งสุดท้ายที่เขากลับไป เขามอบเงินโบนัสสองร้อยหยวนที่ได้จากหน่วยในผลงานที่ไปช่วยไฟไหม้ที่เถียนฝูแก่หวังผิง และบอกเธอว่าไม่ต้องกังวลกับเรื่องเงินนี้
หวังผิงกล่าวว่า “แม่จะเก็บเงินนี้ไว้ให้ลูกนะ ภรรยาของลูกเอาใจผูกแต่กับฝั่งพ่อแม่ พี่ชาย หลานชาย และหลานสาวของเธอ”
“ซือถงและซือเหยียนจะต้องแต่งงานในอนาคต ดังนั้นพวกเธอต้องมีสินสอดเก็บไว้บ้างจริงไหม?”
“เงินเหล่านี้แม่จะคืนให้ลูกในอนาคต เพื่อที่ลูกจะได้นำไปใช้เป็นสินสอดให้ลูกสาวนะ”
พ่อแม่หลายคนจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด และยังหวังให้ลูกคนอื่น ๆ ที่ได้ดีกว่าช่วยเพิ่มอีกสักหนึ่งหรือสองอย่าง
แต่นี่ไม่ยุติธรรมกับลูกคนอื่น ๆ เลย
ดังนั้นเซี่ยจิ่งเฉินจึงไม่สามารถยอมรับมันได้อย่างสบายใจ
เขาพูดว่า “แม่ครับ นี่คือความกตัญญูของผมต่อแม่และพ่อ หากแม่ไม่ต้องการมันก็ให้ถือเป็นเงินใช้คืนหนึ่งร้อยห้าสิบหยวนที่อวี้เอ๋อเอาไปใช้ในตอนหางานแล้วกัน”
“ส่วนเรื่องสินสอดของซือถงและซือเหยียนในอนาคต แม่ไม่ต้องเป็นกังวลนะ พวกเธอจะมีผมดูแลเอง”
ดวงตาของหวังผิงเปลี่ยนเป็นสีแดงและเธอก็เก็บเงินไป “ลูกนี่หัวแข็งจริง ๆ”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนกลับไปครั้งที่แล้ว เธอก็นำนมผงกลับไปให้ด้วยและเซี่ยจิ่งเฉินก็รู้
จู่ ๆ เซี่ยจิ่งเฉินพูดติดตลกว่า “ไม่ใช่ว่าครั้งล่าสุดที่อาชิงหยวนของหลานกลับไป อาชิงหยวนก็เอานมผงกลับไปให้หลานด้วยไม่ใช่เหรอ?”
เซี่ยไป่เหิงยังเด็กและโง่เขลา เขาพูดตอบทันที “ยังไม่ทันที่ผมกับน้องชายจะได้กินหมดเลย คุณย่าก็เอาไปให้น้องสาวทั้งสองคนแล้ว”
“คุณย่าบอกว่าอาสะใภ้รองเอานมผงของน้องสาวผมกลับไปบ้านแม่ ทำให้น้องสาวของผมไม่มีนมผงกิน”
จากนั้นเด็กชายก็พูดพลางยืดหน้าอกอย่างภาคภูมิใจ “มันเป็นหน้าที่ของพี่ชายอย่างผมและเราทั้งหมดเป็นพี่น้องกัน ผมก็เลยเต็มใจแบ่งให้น้องสาวทั้งสองคนกินด้วย!”
ทันทีที่คำพูดนี้ของเซี่ยไป่เหิงดังออกมา ทุกคนที่นั่งอยู่ในโต๊ะอาหารก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
โดยเฉพาะใบหน้าของเซี่ยจิ่งเฉินมืดหม่นอย่างรวดเร็ว
เขามองไปที่กงเหลียนซิน “พี่สะใภ้ สิ่งที่ไป่เหิงพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ?”