บทที่ 274 แค่ยังไม่ถึงเวลา
บทที่ 274 แค่ยังไม่ถึงเวลา
ผู้ใต้บังคับบัญชามีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมา “ในบ้านของเลขาธิการเสิ่นไม่มีใครอยู่เลยครับ และผมเพิ่งโทรไปที่สำนักงานเลขามา เลขาธิการเสิ่นบอกว่า…”
เขาหยุดชั่วคราวและเช็ดเหงื่อจากหน้าผาก “จะแก้ปัญหานี้ยังไงนั้นให้ขึ้นอยู่กับผู้อำนวยการได้เลยครับ แต่ถ้าหากผู้อำนวยการหยางและเลขาธิการหนิงตัดสินใจไม่ได้ก็ให้แจ้งตำรวจไป”
จางอวี้เอ๋อแทบจะเป็นลมเมื่อได้ยินสิ่งนี้
เธอตะโกนกลับไป “ตามหาภรรยาของเลขาธิการเสิ่น! ได้โปรดตามหาภรรยาของเลขาธิการเสิ่นด้วย! ฉันเป็นน้องสาวของพี่สะใภ้รองของเธอ และเธอจะไม่ทิ้งฉันไว้ตามลำพังอย่างแน่นอน!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นรู้สึกว่าพฤติกรรมของจางอวี้เอ๋อช่างน่าสมเพชจริง ๆ
เขาพูดว่า “คุณคิดว่าภรรยาของเลขาธิการเสิ่นเป็นพระเจ้ารึไง? เธอจะสามารถลบล้างสิ่งที่คุณทำลงไปได้ไหม?”
ผู้จัดการโรงอาหารที่รู้บางอย่างเกี่ยวกับจางอวี้เอ๋อและเซี่ยชิงหยวนก็พูดขึ้นเช่นกัน “เธอนี่มันไร้ยางอายที่สุดเลย กล้าพูดมาได้ยังไงว่าเธอกับภรรยาของเลขาธิการเสิ่นเป็นญาติกัน ทั้ง ๆ ที่เธอทำเรื่องเลวทรามกับพวกเขาไว้ตั้งมากมาย!”
เนื่องจากนิสัยของเจ้าตัว ในศาลากลางจางอวี้เอ๋อจึงไม่มีเพื่อนสักคนเดียวที่ยินดีพูดให้เธอ
โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนนี้ที่เธอปีนขึ้นไปบนเตียงของเหอเส้าหยวน ซึ่งทำให้เธอมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น และเธอก็ใช้อำนาจที่ได้มากดขี่ทุกคนที่สามารถทำได้ มันทำให้ทุกคนขุ่นเคืองใจอย่างมาก
โชคดีแค่ไหนแล้วที่ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อนหนัก ดังนั้นแล้วทุกคนจะพูดแทนเธอได้ยังไง?
หนิงเซี่ยวเฉิงและหยางชุนอี้มองหน้ากัน จากนั้นก็พูดออกมาเมื่อใช้ความคิดอย่างรอบคอบแล้ว “ในกรณีนี้ก็แจ้งตำรวจแล้วกัน”
เรื่องนี้ละเมิดกฎหมาย และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดการภายใน
ยิ่งไปกว่านั้น เหอเส้าหยวนมีฐานะเป็นถึงรองผู้อำนวยการศาลากลาง เขามีอิทธิพลมากเกินไป
พวกเขาไม่เหมาะสมที่จะพูดอะไร และการแจ้งตำรวจก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับเรื่องนี้
และการที่เติ้งซูอี้นำผู้คนเดินขบวนมาตลอดทางก่อนหน้านี้ ไม่ว่ายังไงตำรวจก็จะมาถึงในไม่ช้าอยู่ดี
เมื่อจางอวี้เอ๋อกับเหอเส้าหยวนได้ยินประโยคนี้ ทั้งสองก็ตกใจมากจนตัวสั่นและขอร้องให้ทุกคนปล่อยพวกเขาไป
ผู้อำนวยการหยางโบกมือ “พาคนอื่นออกไปก่อน หากตำรวจมาเห็นสภาพของทั้งสองคนแบบนี้ ถ้ายังไม่จากไปอีกหลายคนในที่นี้จะต้องรับผิดชอบแน่นอน”
เติ้งซูอี้ตัวแข็งค้างอยู่กับที่
เดิมทีเธอต้องการสร้างสถานการณ์ให้ทุกคนรู้ถึงความชั่วของคู่ชู้รัก เพื่อที่เหอเส้าหยวนจะได้ไม่สามารถออกไปเดินในเมืองเตียนเฉิงได้อีกต่อไป และทำให้เขาเสียใจกับทุกสิ่งที่เขาทำ
แต่เธอไม่คิดจะแจ้งตำรวจเลยจริง ๆ
หากเขาไปถึงสถานีตำรวจ เหอเส้าหยวนก็มีแนวโน้มที่จะถูกตัดสินประหารชีวิตจริง ๆ
ในขณะนี้เหอเส้าหยวนตะโกนใส่เติ้งซูอี้ “นังสารเลว! ตอนนี้แกพอใจแล้วรึยัง!”
เมื่อถูกด่าอย่างไม่สำนึกเช่นนี้ หัวใจที่เห็นอกเห็นใจของเติ้งซูอี้ก็หายไปทันที
เธอหันกลับไปและไม่มองเขาอีก “พี่สาว เราไปกันเถอะ”
พี่สาวเติ้งได้ยินแบบนั้นก็โบกมือให้ครอบครัวของเธอเช่นกัน “มาเถอะ พวกเราไปกัน”
หลังจากนั้นเธอก็ถ่มน้ำลายใส่เหอเส้าหยวนและจางอวี้เอ๋อ
เหอเส้าหยวนเหมือนสูญเสียแรงทั้งหมด และยืนอยู่ที่นั่นเหมือนคนตาย
จางอวี้เอ๋อล้มลงกับพื้น ใบหน้าของเธอไม่เต็มใจ ดวงตามองกลอกไปรอบ ๆ และยังคงคิดว่าจะออกจากสถานการณ์นี้ไปได้ยังไง
ไม่นานนักตำรวจก็มา
หลังจากสอบถามถึงเหตุการณ์แล้ว ทั้งคู่ก็ถูกนำตัวกลับไปที่โรงพัก
…
ภายในร้านอาหาร
เซี่ยจิ่งเฉินมองไปยังเซี่ยชิงหยวนที่กำลังรินชาให้เขา และทันใดนั้นก็รู้สึกแปลก ๆ
เห็นได้ชัดว่าเธอยังคงเป็นเซี่ยชิงหยวนคนเดิม แต่บางมุมก็ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับเป็นเซี่ยชิงหยวน
อย่างน้อยสีหน้าที่สงบของน้องสาวก็เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยมีมาก่อน
เป็นไปได้ไหมว่าหลังจากได้เป็นภรรยาเลขาธิการแล้วเปลี่ยนไป?บราวนี่ออนไลน์
เขาคิดทบทวนคำถามในใจก่อนแล้วพูดออกไป “เธอรู้เรื่องของ…อวี้เอ๋อและรองผู้อำนวยการเหอนานแล้วใช่ไหม?”
หลังจากผ่านไปหลายปี บางอย่างเซี่ยจิ่งเฉินก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เธอเทชาให้กับเซี่ยจิ่งเฉินและวางไว้ตรงหน้าเขา “พูดได้ว่าไม่นานมานี้”
ดวงตาของเซี่ยจิ่งเฉินแข็งค้าง “ถ้าอย่างนั้นเธอก็รู้ล่วงหน้าว่าพวกเขาจะไปจับชู้กัน?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็หัวเราะ “พี่รองยกย่องฉันมากไปแล้ว วันนี้ฉันเป็นเพียงแมวตาบอดเจอหนูที่ตายแล้วเท่านั้น*[1] มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ”
เธอเข้าใจความหมายโดยนัยจากคำพูดของเซี่ยจิ่งเฉิน
หญิงสาวมองพี่ชายที่กำลังนั่งตัวตรงและมุมปากของเธอก็โค้งขึ้น “เป็นไปได้ไหมที่พี่รองคิดว่าฉันเป็นคนวางแผนทั้งหมดนี้ พี่คิดว่าฉันสามารถบังคับให้จางอวี้เอ๋อปีนขึ้นไปบนเตียงของเหอเส้าหยวนได้เหรอ? หรือฉันสามารถยุยงเธอได้ แล้ววางแผนสำหรับตำแหน่งภรรยารองผู้อำนวยการให้เธอ?”
“หรือพี่รองคิดว่าฉันควรพยายามอย่างเต็มที่เพื่อห้ามปรามจางอวี้เอ๋อเมื่อฉันรู้เรื่องนี้ เพื่อที่เธอจะได้กลับตัวกลับใจได้ทัน?”
น้ำเสียงของเซี่ยชิงหยวนอ่อนโยน แต่คำพูดของเธอไม่สุภาพเลย
เพราะทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจทำของจางอวี้เอ๋อเอง ซึ่งเจ้าตัวยินดีจะเลือกเส้นทางที่ต่ำช้านี้
กระทั่งจางอวี้เจียวเองก็ยังดูพอใจกับทางเลือกนี้ของน้องสาวตัวเองด้วยซ้ำไป
ดังนั้นอย่าได้ตำหนิคนอื่นเลยจะดีกว่า
ปากของเซี่ยจิ่งเฉินอ้าออก แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ
เซี่ยชิงหยวนไม่ยอมแพ้
เธอกล่าวต่อ “พี่รองอาจคิดว่า เมื่อฉันรู้ว่าเติ้งซูอี้กำลังพาคนไปจับชู้ ฉันควรแจ้งจางอวี้เอ๋อล่วงหน้าสินะ”
“แต่ฉันต้องขอถามพี่รองกลับหน่อย ไม่ต้องพูดถึงว่าฉันเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเล่นชู้กันที่ไหน ต่อให้ฉันรู้ แล้วฉันจะสามารถนำหน้าเติ้งซูอี้ไปบอกจางอวี้เอ๋อทันได้ยังไง?”
“หรือต่อให้ฉันไปบอกก่อนได้สำเร็จ เธอจะเชื่อฉันเหรอ?”
“บางทีเธออาจคิดว่าฉันอิจฉาที่เห็นเธอกำลังปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงด้วยซ้ำ และคิดว่าฉันจงใจทำลายโอกาสดีของเธอ”
“พี่รู้แค่ว่าฉันโหดร้ายกับเธอ แต่พี่คงไม่รู้หรอกว่าที่ผ่านมาเธอปฏิบัติต่อฉันมาแล้วยังไงบ้าง”
“เธอพยายามล่อลวงอี้โจวหลายครั้ง และถึงขั้นพูดทำลายชื่อเสียงของฉันด้วยซ้ำว่าฉันไม่มีลูกเพราะฉันมีอดีตที่เน่าเหม็น…”
เธอมองเซี่ยจิ่งเฉินด้วยดวงตาที่เหมือนลุกเป็นไฟ “พี่รู้เรื่องพวกนี้ที่เธอทำลงไปบ้างไหม? แล้วตอนนี้พี่ยังคิดว่าฉันควรพยายามช่วยเธออีกเหรอ?”
ในตอนแรกเซี่ยชิงหยวนไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับข่าวลือที่เกิดจากจางอวี้เอ๋อและเติ้งซูอี้ จนกระทั่งเธอได้พบกับแม่ของเฉิงเฟิงโดยบังเอิญ
แม่ของเฉิงเฟิงไม่รู้ว่าเซี่ยชิงหยวนยังไม่รู้เรื่องจริง ที่ว่าทำไมเสิ่นอี้หลินถึงถูกกลั่นแกล้ง ดังนั้นอีกฝ่ายจึงขอโทษเมื่อเห็นเธอทันที
เป็นตอนนั้นเองที่เธอเพิ่งรู้ว่าเสิ่นอี้โจวได้จัดการเรื่องทั้งหมดอย่างลับ ๆ เพื่อไม่ให้เธอเสียใจ
เธอไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเสิ่นอี้โจว แต่เก็บมันไว้ในใจ
ไม่ใช่ว่าหญิงสาวจะไม่ประกาศเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น
ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงเซี่ยจิ่งเฉิน แม้แต่กงเหลียนซินก็ยังปิดปากตัวเองเพราะความตกตะลึงหลังจากได้ยินเรื่องนี้
จางอวี้เอ๋อทำเรื่องชั่วช้ามากมายลับหลังจริง ๆ เหรอ?
เธอคิดไม่ออกเลยว่าในตอนนั้นเซี่ยชิงหยวนจะจัดการกับเรื่องพวกนี้ได้ยังไง
เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าขณะอยู่ในหมู่บ้านซิ่งฮวา เธอยังไม่ได้ยินข่าวอะไรเลย นั่นก็แสดงว่าเซี่ยชิงหยวนคงเก็บเงียบไว้มาตลอด
ถ้าเป็นเธอ ปากของจางอวี้เอ๋อจะต้องถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ไปแล้ว!
เมื่อเห็นใบหน้าที่สงบของเซี่ยชิงหยวน กงเหลียนซินก็จับมือเธออย่างเศร้าใจ “พี่เสียใจด้วยจริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนตบมือของกงเหลียนซินเบา ๆ ยิ้มและส่ายหัวแสดงว่าไม่เป็นไร
เซี่ยจิ่งเฉินกำถ้วยชาแน่นจนข้อนิ้วของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาว
ในขณะนี้เขารู้สึกละอายใจ
ในฐานะพี่ชายของเซี่ยชิงหยวน เขารู้สึกละอายใจจริง ๆ
เมื่อกี้เขาถึงขนาดสงสัยเซี่ยชิงหยวนเพราะจางอวี้เอ๋อ!
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขา และเขาก็สะอื้นพร้อมกับพูดว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันเป็นความผิดของพี่เอง”
ถ้าไม่ใช่เพราะความไร้ความสามารถและการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นของเขา น้องสาวของจางอวี้เจียวก็คงไม่กล้าทำอะไรเกินเลยถึงขนาดนี้
ความคับข้องใจของเซี่ยชิงหยวเกิดขึ้น เพราะเขาที่ไม่เคยห้ามปรามคนของตัวเอง
เขาไม่กล้าสบตากับเซี่ยชิงหยวนโดยตรง “ในเรื่องนี้พี่ไม่โทษเธอแม้แต่น้อย มันเป็นพี่เองที่ผิดพลาด”
เขาเงยหน้าขึ้นราวกับว่าเขาตัดสินใจแล้ว “พี่สัญญากับเธอ จากนี้ไปพี่จะไม่ปล่อยให้เธอเผชิญกับความอยุติธรรมใด ๆ อีกเพราะพี่เด็ดขาด!”
เมื่อนานมาแล้วเขาเคยต้องการที่จะเติบโตเป็นพี่ชายที่สามารถสนับสนุนน้องสาวของเขาได้ และปล่อยให้เธออยู่อย่างสุขสบายโดยไม่มีข้อตำหนิใด ๆ
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเขาเองที่ทำร้ายเธอ
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนก็ชื้นเช่นกัน
เธอจับมือของเซี่ยจิ่งเฉิน “พี่รอง”
เซี่ยจิ่งเฉินก็จับมือเธอไว้ “ชิงหยวน”
กงเหลียนซินอดไม่ได้ที่จะเช็ดน้ำตาของตัวเอง
เธอหวังว่าหลังจากนี้ น้องสาวของจางอวี้เจียวจะไม่สามารถหาผลประโยชน์จากเซี่ยชิงหยวนได้อีกต่อไป
เธอมีความรู้สึกว่าตราบใดที่จางอวี้เจียวไม่ควบคุมตัวเอง สิ่งที่รออยู่ก็มีแนวโน้มที่จะจบลงด้วยการหย่าร้าง
ในเวลานี้เองอาหารก็ถูกเสิร์ฟ
เซี่ยชิงหยวนใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ และปล่อยมือของเซี่ยจิ่งเฉินโดยพูดว่า “เที่ยงนี้มากินอะไรง่าย ๆ กันก่อนเถอะ และเมื่อเรากลับถึงบ้าน เย็นนี้ฉันจะทำอาหารอย่างดีให้ทุกคนเอง”
เซี่ยจิ่งเฉินอยากจะบอกปฏิเสธ เขาไม่อยากรบกวน
แต่ทันทีที่เขาเจอกับสายตาที่จริงใจของเซี่ยชิงหยวน เขาก็เปลี่ยนคำพูดไป
“ตกลง”
คำพูดนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องที่ห่างเหินกันมาหลายปีได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น และมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
…
ในสถานีตำรวจ จางอวี้เอ๋อได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว และผมของเธอถูกตัดจนสั้นถึงแค่ติ่งหู
มีผู้หญิงหลายคนที่ก่ออาชญากรรมถูกขังไว้กับเธอ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเข้าไปในห้องขัง นักโทษหญิงคนอื่น ๆ ก็มองดูเธออย่างไร้ความเมตตา
เธอยืนอยู่ตรงหัวมุมหนึ่งไม่กล้าคุยกับใครเลย
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นและตะโกนออกไปข้างนอกว่า “ฉันอยากโทรศัพท์ ฉันอยากโทรหาพี่สาวของฉัน!”
ผู้คุมเข้ามาเคาะลูกกรงเหล็ก “ตะโกนบ้าบออะไร!”
จางอวี้เอ๋อคว้าราวเหล็กแล้วพูดเสียงดัง “คุณไม่สามารถตัดสินฉันแบบนี้ได้ ฉันถูกใส่ร้าย หรือต่อให้ฉันจะต้องเผชิญกับโทษประหารชีวิต ตำรวจเป็นคนของประชาชนนะ พวกคุณควรให้ฉันได้พูดแก้ต่างบ้างนี่ใช่ไหม?”
สีหน้าของเธออ่อนลง “พี่สาวฉันเป็นพี่สะใภ้รองของเลขาธิการศาลากลาง ตราบใดที่คุณให้ฉันโทรหาเธอ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เธอจะขอบคุณคุณอย่างแน่นอน!”
แต่ท้ายที่สุดเธอก็ขู่ไปครึ่งหนึ่ง “การที่คนอื่น ๆ กล้าปฏิบัติต่อฉันแบบนี้ก็เพราะว่าในวันนี้เลขาธิการเสิ่นไม่ได้อยู่ด้วย หากคุณปล่อยให้ฉันตายอย่างอยุติธรรมร่วมกับคนเหล่านี้ คุณจะรับผลที่ตามมาได้เหรอ?”
ผู้คุมเป็นชายในวัยสามสิบ แน่นอนว่าเขาได้เห็นความพลิกผันของเรื่องในห้องขังมาหลายครั้งแล้ว
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วไตร่ตรอง “งั้นรอเดี๋ยวก่อน ฉันจะไปขอคำแนะนำจากหัวหน้า”
เซี่ยจิ่งเฉินอยากจะบอกปฏิเสธ เขาไม่อยากรบกวน
แต่ทันทีที่เขาเจอกับสายตาที่จริงใจของเซี่ยชิงหยวน เขาก็เปลี่ยนคำพูดไป
“ตกลง”
คำพูดนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องที่ห่างเหินกันมาหลายปีได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น และมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
…
ในสถานีตำรวจ จางอวี้เอ๋อได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว และผมของเธอถูกตัดจนสั้นถึงแค่ติ่งหู
มีผู้หญิงหลายคนที่ก่ออาชญากรรมถูกขังไว้กับเธอ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเข้าไปในห้องขัง นักโทษหญิงคนอื่น ๆ ก็มองดูเธออย่างไร้ความเมตตา
เธอยืนอยู่ตรงหัวมุมหนึ่งไม่กล้าคุยกับใครเลย
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นและตะโกนออกไปข้างนอกว่า “ฉันอยากโทรศัพท์ ฉันอยากโทรหาพี่สาวของฉัน!”
ผู้คุมเข้ามาเคาะลูกกรงเหล็ก “ตะโกนบ้าบออะไร!”
จางอวี้เอ๋อคว้าราวเหล็กแล้วพูดเสียงดัง “คุณไม่สามารถตัดสินฉันแบบนี้ได้ ฉันถูกใส่ร้าย หรือต่อให้ฉันจะต้องเผชิญกับโทษประหารชีวิต ตำรวจเป็นคนของประชาชนนะ พวกคุณควรให้ฉันได้พูดแก้ต่างบ้างนี่ใช่ไหม?”
สีหน้าของเธออ่อนลง “พี่สาวฉันเป็นพี่สะใภ้รองของเลขาธิการศาลากลาง ตราบใดที่คุณให้ฉันโทรหาเธอ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เธอจะขอบคุณคุณอย่างแน่นอน!”
แต่ท้ายที่สุดเธอก็ขู่ไปครึ่งหนึ่ง “การที่คนอื่น ๆ กล้าปฏิบัติต่อฉันแบบนี้ก็เพราะว่าในวันนี้เลขาธิการเสิ่นไม่ได้อยู่ด้วย หากคุณปล่อยให้ฉันตายอย่างอยุติธรรมร่วมกับคนเหล่านี้ คุณจะรับผลที่ตามมาได้เหรอ?”
ผู้คุมเป็นชายในวัยสามสิบ แน่นอนว่าเขาได้เห็นความพลิกผันของเรื่องในห้องขังมาหลายครั้งแล้ว
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วไตร่ตรอง “งั้นรอเดี๋ยวก่อน ฉันจะไปขอคำแนะนำจากหัวหน้า”
*[1] แมวตาบอดเจอหนูตาย เป็นสำนวนหมายถึง โชคเข้าข้าง