เด็กหนุ่มมีสีหน้าตึงเครียดทันใด ตื่นเต้นจนเหงื่อผุดซึมออกมา จาหน้าผาก รีบคลายสาบเสื้อออก เอาตะเกียงดวงนั้นไปปกป้ องอยู่ใน สาบเสื้อ หลีกเลี่ยงไม่ให้โดนลมภูเขา
หลังจากนั้นหลี่เซินหยวนก็ติดตามเจ้าสํานักหลิวท่านนี้เดินเลียบ เส้นทางภูเขาไปยังยอดเขาโหยวอี๋อย่างระมัดระวัง หากเจอกับลมที่ โชยมาปะทะใบหน้า เด็กหนุ่มก็จะเดินก้าวถอยหลังอยู่บนเส้นทาง ภูเขา
ในภูเขาลมแรงมากจริงๆ มักจะเจอกับต้นสนแห้งเหี่ยวที่ล้มเอน อยู่ในร่องนํ้า ยามลมพัดโหมก็เหมือนคลื่นโถมกระแทก บวกกับที่ เส้นทางภูเขาของยอดเขาโหยวอี๋ไม่ได้ราบเรียบเหมือนเส้นทางบน ภูเขาบรรพบุรุษ ทางเส้นเล็กคดเคี้ยวอย่างยิ่ง หลิวเสี้ยนหยางก้าวเดิน อย่างผ่อนคลาย แต่เด็กหนุ่มที่น่าสงสารกลับเหมือนเดินอยู่บนแผ่น นํ้าแข็งบางๆ อีกทั้งยังมีระยะทางบางช่วงที่เป็ นเส้นทางนํ้า ไม่ก็เป็ น ทางหินคับแคบที่ขึ้นเต็มไปด้วยตะไคร่นํ้า หรือไม่ก็เป็ นต้นสนแห้ง เหี่ยวที่กลายมาเป็ นสะพานไม้ท่อนเดียว หากไม่เป็ นเพราะเรียนรู ้วิธี เยี่ยมเยียนเซียนจากในตําราเรื่องเล่าประหลาด เดินเท้าตลอดทางจน มาถึงสํานักกระบี่หลงเฉวียน คุ้นเคยกับการขึ้นเขาลงห้วยมานาน แล้ว หาไม่แล้วก็อย่าว่าแต่ต้องเดินปกป้ องแสงตะเกียงไม่ให้โดนลม
ภูเขาพัดมอดดับเลย เกรงว่าต่อให้ต้องเดินขึ้นเขาอย่างเดียว เรี่ยวแรงก็คงไม่เหลือนานแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางมาหยุดพักที่กึ่งกลางภูเขา บอกให้เด็กหนุ่มที่ เวียนหัวตาลายแล้วหยุดพักสักครู่ สะสมกําลังได้พอแล้วค่อยเดินขึ้น สู่ที่สูงต่ออีกครั้ง
ก่อนหน้านี้หลิวเสี้ยนหยางเดินช ้าบ้างเร็วบ้าง บางครั้งก็เอ่ยเตือน เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังว่าให้ระวังเรื่องจังหวะการหายใจ
หลิวเสี้ยนหยางในเวลานี้ยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้น เจ้า เดินมาได้เกินครึ่งทางแล้ว”
ริมฝีปากของหลี่เซินหยวนแห้งผาก อารมณ์ไม่ได้ผ่อนคลายนัก เป้ าหมายร ้อยลี้เดินได้เก้าสิบลี้เพิ่งจะถือว่าเดินผ่านมาครึ่งทาง (เปรียบเปรยว่าเรื่องราวใดๆ จะยากลําบากในช่วงสุดท้ายเสมอ)
หลิวเสี้ยนหยางเอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ความ ขัดแย้งบนโลกไม่มีทางสิ้นสุด บนโต๊ะมีจอกเหล้าจํากัด ทุกปีล้วนมี วสันต์ใหม่ ปีหน้าบุปผายิ่งงดงาม”
เห็นว่าเด็กหนุ่มไม่รับคําต่อ หลิวเสี้ยนหยางก็ได้แต่ถามว่า “เจ้า คิดว่าอย่างไร?”
“บทกลอนที่เจ้าสํานักหลิวท่องมานี้มีความหมายดีมาก มีกลิ่น อายเหมือนว่าพูดถึงคนอื่นแต่เข้ากับตัวเอง เพียงแต่ว่า….ไม่คล้อง
จอง ไม่เข้ากับรูปแบบการแต่งกลอน อีกทั้งยังเป็ น….ที่ต้องสงสัยว่า ตัดเอามาจากบทกลอนของคนอื่น”
“วิจารณ์ได้ดีขนาดนี้ วันหน้าอย่าได้วิจารณ์อีกเลย”
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็เดินขึ้นเขากันต่อ ตอนที่ขยับเข้าใกล้ ยอดเขา หลี่เซินหยวนพลันสะดุดลื่นล้มควํ่ากับพื้น ตะเกียงนํ้ามัน กลิ้งหล่นลงพื้น แสงไฟมอดดับ
เด็กหนุ่มนั่งอึ้งอยู่บนพื้น ไม่รู ้ว่าเป็ นเพราะเหนื่อยล้ามากแล้วหรือ รับมือไม่ทันกันแน่ไม่ทันมีเวลาได้รู้สึกเสียใจ
หลิวเสี้ยนหยางนั่งยองอยู่ด้านข้าง ยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องจริงได้พิสูจน์ ให้เห็นว่าเจ้าไม่มีวาสนากับยอดเขาแห่งนี้”
การที่หลี่เซินหยวนสะดุดและทําของหลุดมือ แน่นอนว่าต้องเป็ น การกระทําอย่างจงใจของหลิวเสี้ยนหยาง
อืม ยอดเขานี้มีชื่อว่ายอดเขาจูไห่
ยอดเขาโหยวอี๋บ้านตนอยู่ที่อื่นนี่นา
หลี่เซินหยวนเก็บตะเกียงนํ้ามันดวงนั้นขึ้นมาเงียบๆ ใช ้ชายแขน เสื้อเช็ดอย่างละเอียดส่งคืนให้กับเจ้าสํานักหลิว
พอส่งตะเกียงนํ้ามันคืนไป ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็พลันนองไป ด้วยนํ้าตา
เดินขึ้นเขาอย่างยากลําบากตลอดทางมานี้ เด็กหนุ่มปกป้ อง ตะเกียงนํ้ามันดวงนี้เหมือนโอบกอดความหวังเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ เมื่อ แสงไฟดับลง ความหวังของเด็กหนุ่มก็สูญสิ้นไปด้วย แต่ไม่เหมือนกับ ก่อนหน้านี้ที่มาเยือนสํานักกระบี่หลงเฉวียนแล้วถูกปฏิเสธให้รออยู่ ด้านนอก ตอนนั้นเด็กหนุ่มไม่ยอมรับชะตากรรม ในใจมีความไม่ ยินยอมจึงไม่ยินดีไปจากที่แห่งนี้ รอกระทั่งคืนนี้ขึ้นเขามาถึงที่นี่ ตัวเองสะดุดล้มทําตะเกียงมอดดับ เด็กหนุ่มคล้ายจะยอมรับชะตา กรรมได้ในที่สุด อีกทั้งยังไม่มีความไม่ยินยอมมากมายขนาดนั้นอีก แล้ว
ทางฝั่งของยอดเขา สวีเสี่ยวเฉียวที่สังเกตเด็กหนุ่มอยู่ตลอดเวลา อดไม่ไหวใช ้เสียงในใจพูดกับหลิวเสี้ยนหยางว่า “เจ้าสํานักหลิว ลูก ศิษย์ผู้สืบทอดคนนี้ ข้ารับไว้แล้ว”
อุตส่าห์ยอมเรียกหลิวเสี้ยนหยางว่าเจ้าสํานักหลิวอย่างที่หาได้ ยาก แสดงว่านางจริงจังอย่างมาก
หลิวเสี้ยนหยางกลับแสร ้งทําเป็ นไม่ได้ยิน มอบตะเกียงดวงนั้นคืน ให้หลี่เซินหยวนอีกครั้ง ตบไหล่ของเด็กหนุ่ม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลี่ เซินหยวน ก่อนจะที่เจ้าจะพิสูจน์มรรคาอย่างเป็ นทางการต้องเข้าใจ เหตุผลข้อหนึ่งเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็ นเซียนหรือคนธรรมดาบนโลกใบ นี้ก็ล้วนมีช่วงเวลาที่เป็ นดั่งตะเกียงนํ้ามันแห้งขอด มีเพียงตะเกียงแห่ง หัวใจเท่านั้นที่จะส่องสว่างยาวนาน ไม่ดับสลายเสื่อมโทรม แค่ต้องมี เปลวไฟหนึ่งดวงก็สามารถส่องสว่างได้นานนับพันนับหมื่นปี อะไรคือ
การฝึกตน นี่ก็คือการฝึกตน หากไม่เชื่อในหลักการเหตุผลข้อนี้เจ้า ก็ลองหันกลับไปดูเส้นทางที่เดินผ่านมาสิ”
หลี่เซินหยวนมองตามทิศทางที่นิ้วมือของหลิวเสี้ยนหยางชี้ไป เห็นเพียงว่าบนเส้นทางภูเขามีแสงสว่างเส้นหนึ่งปรากฏ บ้างก็เป็ น เส้นตรงบ้างก็คดเคี้ยว ค่อยๆ ทอดยาวมาถึงตน
ขณะเดียวกันตะเกียงในมือของเด็กหนุ่มก็พลันสว่างติดไฟขึ้นมา อีกครั้ง
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ตอนนี้จะมอบทางเลือกอย่าง หนึ่งให้เจ้า จะกราบสวีเสี่ยวเฉียวเป็ นอาจารย์ หรือจะไปเรียนวิชาที่ ยอดเขาโหยวอี๋ของข้า”
คําตอบของเด็กหนุ่มทําให้หลิวเสี้ยนหยางยิ้มอย่างเข้าใจ แต่ กลับทําให้สวีเสี่ยวเฉียวประหลาดใจมาก หลี่เซินหยวนถึงกับยังคง ตัดสินใจที่จะเลือกฝึกตนบนยอดเขาจูไห่
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ห่างจากยอดเขาอีกแค่ไม่กี่ก้าวแล้ว เจ้าเดินไปเองเถอะศิษย์พี่หญิงสวีรอเจ้าอยู่ วันหน้าหากเจ้าเจอข้า ไม่ได้เรียกอาจารย์ก็ต้องเรียกว่าเจ้าสํานักอย่าได้เสียใจภายหลังล่ะ ใช่แล้ว ตะเกียงนํ้ามันดวงนี้เป็ นของโบราณ ระดับขั้นไม่ตํ่า ก็ถือว่า เป็ นของขวัญพบหน้าที่เจ้าสํานักอย่างข้ามอบให้เจ้าก็แล้วกัน”
จําแลงกายกลายเป็ นแสงกระบี่เส้นหนึ่ง หลิวเสี้ยนหยางหวน กลับไปที่ยอดเขาโหยวอี๋เซอเยว่ถามอย่างสงสัย “ทําไมถึงได้ยกลูก ศิษย์ให้สวีเสี่ยวเฉียวล่ะ”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะหึหึ “อันที่จริงข้าเดินไปได้ครึ่งทางก็เสียใจ ภายหลังแล้ว รับลูกศิษย์ก็แทบไม่ต่างจากมีตัวถ่วงตามก้นมา เปลือง แรงใจทั้งยังเปลืองแรงกาย อีกอย่างแทนที่จะถูกคนอื่นเรียกอาจารย์ ไม่สู้เป็ นเจ้าสํานักเป็ นอาจารย์อายังสบายใจกว่า”
เซอเยว่เห็นว่าเขาไม่ยอมพูดความจริง นางก็ไม่สนใจแล้วว่า ความจริงคืออะไร
หลิวเสี้ยนหยางพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าเตรียมจะปิ ดด่าน แล้ว”
เซอเยว่กล่าว “พรุ่งนี้เช ้าจะได้กินข้าวด้วยกันไหม?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มเอ่ย “ข้าจะพยายามให้พวกเราได้กินมื้อเช ้า ด้วยกันวันพรุ่งนี้ของปีหน้า”
เซอเยว่ถามอย่างประหลาดใจ “ก็แค่งีบหลับเท่านั้น ต้องใช ้ เวลานานขนาดนี้เชียวหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า “ครั้งนี้ไม่ค่อยเหมือนทุกครั้งจริงๆ ก่อน หน้านี้ข้าเจอคนประหลาดคนหนึ่งในความฝัน เห็นใบหน้าของอีก ฝ่ ายไม่ชัดเจน หากเดาไม่ผิดก็มีความเป็ นได้มากว่าเขาจะเป็ นผู้ฝึก กระบี่ไม่ทราบนามหนึ่งในสิบผู้กล้าของใต้หล้ายุคบรรพกาล ก่อน
หน้านี้เจอกันที่ซากปรักสนามรบโบราณแห่งหนึ่ง เขาถึงกับสัมผัสได้ ถึงร่องรอยของข้า เพียงแต่พวกเราไม่ได้คุยกัน คาดว่าอีกฝ่ ายน่าจะ ตกตะลึงในพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่ของข้าตอนที่เขาเก็บกวาด สนามรบถึงทิ้งสายตามาให้ข้า ข้าสมองเป็ นอย่างไร ตอนนั้นก็เข้าใจ ได้ทันที”
พูดง่าย แต่อันที่จริงตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางขนลุกขนชัน อีก ฝ่ ายแค่ส่งสายตาเฉียบคมมาให้ หลิวเสี้ยนหยางก็เกือบจะถูกซัดให้ ถอยออกไปจากความฝันของตัวเองแล้ว
เซอเยว่ถาม “เจ้าเข้าใจอะไร?”
หลิวเสี้ยนหยางกล่าว “ผู้อาวุโสคนนี้ขอให้ข้าไปเรียนกระบี่กับ เขาอย่างไรล่ะ”
เซอเยว่ลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเตือนว่า “ไอ้หมอนั่นคล้ายจะเป็ น คนที่นิสัยเจ้าอารมณ์ขึ้นชื่อว่าแปลกแยกไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครในยุค บรรพกาล ไม่สนิทสนมกับใครทั้งนั้น เจ้าระวังไว้หน่อย”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะร่า “ปีนั้นอยู่ในถํ้าสวรรค์หลีจู หากจะพูด ถึงวาสนาด้านผู้อาวุโส ข้าก็ถือว่าดีเยี่ยมเป็ นที่หนึ่งเลยล่ะ”
เซอเยว่กึ่งเชื่อกึ่งกังขา “จะดีกว่าอื่นกวานได้หรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางได้ยินก็อารมณ์ไม่ดีทันใด ยกขาขึ้นตั้งท่าไก่ทอง ยืนขาเดียว ตบไปที่หัวเข่าของตัวเอง “หากจะแข่งกันในเรื่องนี้ ความสามารถของเฉินผิงอันได้ถึงแค่ตรงนี้ของข้าเท่านั้น”
เซอเยว่ชอบฟังเรื่องพวกนี้จึงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
หลิวเสี้ยนหยางทรุดตัวลงนั่งยอง ก่อนจะปิดด่านเขาคิดว่าจะคุย เล่นกับแม่นางอวี๋ให้มากหน่อย
รอให้เลื่อนเป็ นขอบเขตเซียนเหริน เขากับแม่นางอวี๋ก็น่าจะเป็ น คู่บําเพ็ญเพียรที่สมชื่อคู่หนึ่งแล้วกระมัง
อันที่จริงรอให้เซี่ยหลิงปิดด่านกลายเป็ นขอบเขตหยกดิบ สํานัก กระบี่หลงเฉวียนก็จะมีเซียนกระบี่ในเวลาเดียวกันถึงสามคน
อีกอย่างก็ยังมีแม่นางอวี๋ที่เป็ นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้ หล้าอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ? ในอดีตเฉินผิงอันอยู่อันดับที่สิบเอ็ดของ กระดานรายชื่อนี้ ถือว่าอยู่รั้งท้ายแล้ว
เซอเยว่เห็นว่าเขาไม่รีบร ้อนไปปิดด่านก็นั่งลงอยู่ด้านข้าง ถาม ว่า “ดูเหมือนอาจารย์หร่วนจะไม่มีความคิดอะไรต่อการฝ่ าทะลุ ขอบเขตของตัวเอง?”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากหลิวเสี้ยนหยางเลื่อนเป็ นห้าขอบเขต บนและรับตําแหน่งเจ้าสํานักต่อจากเขา หร่วนฉงก็ยิ่งไม่เก็บเรื่องนี้มา ใส่ใจ
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง “คุณสมบัติของช่างห ร่วนดีไม่เท่าข้าน่ะสิขอบเขตหยกดิบก็ถึงขีดสูงสุดแล้ว แล้วนับประสา อะไรกับที่ช่างหร่วนชอบหลอมกระบี่มากกว่า ไม่ค่อยสนใจเรื่องการ ฝึกตนสักเท่าไร”
เซอเยว่เอ่ยเสียงเบา “ข้าได้ยินสวีเสี่ยวเฉียวบอกว่าช่างหร่วน ลาออกจากตําแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งมาสองครั้งแล้ว แต่ฮ่องเต้ ไม่ตอบตกลง”
เฉาหรง เทียนเซียนลัทธิเต๋าที่มาจากราชวงศ์ต้าซวงเก่า ผูหราง มือกระบี่กระดูกขาวที่มาจากชายหาดโครงกระดูกของอุตรกุรุทวีป และยังมีหลิ่วป๋ อฉีนักพรตหญิงที่มาจากเรือนชื่อเตาภูเขาห้อยหัว
คนเหล่านี้ล้วนเป็ นตัวเลือกผู้ถวายงานที่สกุลซ่งต้าหลีพยายาม จะดึงมาเป็ นพรรคพวกแต่กลับมิอาจสมหวัง หลังจากที่สงครามปิด ฉากลง พวกเขาต่างก็พากันจากไป ไปอยู่ทวีปอื่น
คิดมาถึงตรงนี้หลิวเสี้ยนหยางก็เบ้ปาก ไยราชสํานักต้าหลีจะไม่ คิดอยากเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ถวายงาน สร ้างความลํ้าลึกให้กับ รากฐานบนภูเขาเล่า หากไม่เป็ นเพราะบุคคลมหัศจรรย์เหล่านี้สนิม สนมกับซ่งจี๋ซินเจ้าคนเจ้าเล่ห์ผู้นั้นมากกว่า ฮ่องเต้ซ่งเหอถึงได้ต้อง ทุ่มเทความคิดจิตใจในการรั้งตัวพวกเขาไว้ อันที่จริงหลิวเสี้ยนหยาง ไม่ถูกกับซ่งจี๋ชินมานานมากแล้ว คนหนึ่งรังเกียจที่อีกฝ่ ายไม่มี เรี่ยวแรงแม้แต่จะมัดไก่ อีกคนหนึ่งรังเกียจที่อีกฝ่ ายหยาบกระด้าง ยากจน
หลิวเสี้ยนหยางกล่าว “วางใจเถอะ ซ่งเหอรู ้จักวางตัวดีมาก อย่าง น้อยที่สุดตอนที่เขาเป็ นฮ่องเต้ก็ไม่มีทางตอบตกลงให้ช่างหร่วนออก จากตําแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแน่นอน”
เซอเยว่ถอนหายใจ “ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างไม่มีอะไรที่วกวนอ้อมค้อม เช่นนี้”
หลิวเสี้ยนหยางกล่าว “รอให้ข้าออกจากด่านก็คิดว่าจะไปเยือน หงโจวรอบหนึ่ง รู ้สึกว่าที่นั่นมีอะไรแปลกๆ”
เซอเยว่พยักหน้า “ต่างก็บอกกันว่าที่นั่นคือสถานที่ที่จําแลงขน นกของเซียนกระบี่สิบสองท่านยุคบรรพกาลไม่ใช่หรือ เจ้าคือผู้ฝึก กระบี่ หากว่าเกิดใจขานรับก็ถูกต้องแล้ว อีกอย่างข้าได้ยินมาว่าที่นั่น มีประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า มีความหมายว่า “ร่ายรําสร ้างความบันเทิงให้จิตวิญญาณ ต่ออายุขัยให้ยาวนาน” ตามคํากล่าวของใต้หล้าไพศาลของพวกเจ้า วิธีการบวงสรวงใน ช่วงแรกสุดอยู่ที่พ่อมดหมอผี ภายหลังถึงเป็ นขุนนางผู้บันทึก เหตุการณ์ประวัติศาสตร ์ จากนั้นถึงจะเป็ นขุนนางปัญญาชน แล้ว นับประสาอะไรกับที่นับแต่โบราณมาจุดที่มีภูเขาสูงและต้นไม้ใหญ่ ส่วนมากก็มักจะเป็ นสถานที่ในการเซ่นไหว้บวงสรวงอยู่แล้ว”
ลังเลอยู่เล็กน้อย เซอเยว่ก็ไม่ได้พูดถึงคนบางคน ไม่อย่างนั้น หากหลิวเสี้ยนหยางพาอีกฝ่ ายไปด้วย ถ้ามุ่งหน้าจะไปหาสมบัติใน สถานที่ที่มีชื่อเสียงจริงๆ ต้องมีความมั่นใจกว่าเดิมแน่นอน ด้วยนิสัย การกระทําของใครบางคน คําว่าหยุดเมื่อพอสมควรคงจะทําให้ฟ้ า สูงขึ้นไปอีกสามชื่อเลยกระมัง
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกว้างสดใส คําพูดโบราณเอ่ยไว้ว่าหาภรรยา ให้หาคนที่เพียบพร ้อมแล้วนับประสาอะไรกับที่แม่นางอวี่ไม่ใช่แค่ เพียบพร ้อมเท่านั้น เซอเยว่พลันเอ่ย “หลิวเสี้ยนหยาง เจ้าคิดดีแล้วจริงๆ หรือ?” หลิวเสี้ยนหยางมึนงง “คิดดีอะไร?”
เซอเยว่ถลึงตาใส่ “แกล้งโง่หรือ? สถานะของข้า สุดท้ายแล้วคง จะเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่”
ตัวนางเองไม่ได้คิดมาก แต่ถึงอย่างไรหลิวเสี้ยนหยางก็เป็ นเจ้า สํานักของสํานักแห่งหนึ่ง ก็เหมือนต่งกู่ก่อนหน้านี้ที่เนื่องจากมีปมใน ใจนั้น ตอนดื่มเหล้าบนโต๊ะก็ไม่ใช่ว่าดื่มจนนํ้าตาไหลเผลาะๆ ออกมา จากดวงตาเลยหรือ
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะ “แม่นางอวี่กลัวว่าคนอื่นจะนินทาหรือ? มี อะไรให้ต้องเป็ นกังวลกันเล่า ใครทําให้ข้าไม่สบอารมณ์ ข้าก็จะทําให้ คนผู้นั้นไม่สบอารมณ์ ใครชอบพูดนินทาว่าร ้าย พอดีที่ข้าก็ค่อนข้าง ว่าง มีคนหนึ่งก็นับคนหนึ่ง จะไม่ปล่อยไว้สักคนเดียว”
“ดังนั้นเจ้าจึงกังวลแค่ว่าข้าจะกังวล นั่นก็ยิ่งไม่มีความจําเป็ นเลย พวกเราสองคนไม่ต้องกังวลเรื่องนี้”
เซอเยว่เอ่ยเสียงเบา “เจ้าไม่ถือสาสักนิดเลยหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกว้าง “ข้าจะต้องถือสาพวกเขาไปทีละคนก่อน แล้วก็จะไม่สนใจอีก”
ดูเหมือนนี่ถึงจะทําให้เซอเยว่พึงพอใจ บนใบหน้ากลมๆ มีลักยิ้ม เล็กๆ โผล่มา
หลิวเสี้ยนหยางที่เอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอยนึกเรื่องหนึ่ง ขึ้นได้จึงหยิบตราประทับชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ กําไว้ในมือ ถูมันเบาๆ
เซอเยว่รู ้ว่าตราประทับนี้ใครเป็ นคนมอบให้หลิวเสี้ยนหยาง
แม้ว่าหลิวเสี้ยนหยางจะพูดเรื่องตอนเป็ นเด็กหนุ่มบ่อยๆ แต่อันที่ จริงนางก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าหลิวเสี้ยนหยางกับเฉินผิงอันมี ความสัมพันธ ์ที่ดีต่อกันขนาดนั้นได้อย่างไร ถึงขั้นที่ว่าฝ่ ายหลังยินดี เห็นฝ่ายแรกเป็ นเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง
เซอเยว่คิดมาโดยตลอดว่าอิ่นกวานหนุ่มเป็ นคนฉลาดขนาดนั้น ไม่ค่อยยินดีจะพึ่งพาคนอื่นเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่แน่ใจ แล้วก็จะยืนกรานหนักแน่นมากเป็ นพิเศษจิตแห่งมรรคาไม่เคย สั่นคลอน แต่อยู่กับหลิวเสี้ยนหยาง เฉินผิงอันกลับยอมฟังคําเกลี้ย กล่อมอย่างมาก
จุดที่ทําให้นางรู ้สึกไร ้เหตุผลที่สุดก็คือหลิวเสี้ยนหยางใจกว้างยิ่ง กว่าแผ่นฟ้ า แต่เฉินผิงอันกลับมีจิตใจมืดลึก คนหนึ่งคร ้านจะคิดอะไร ให้มากความ ต่อให้ฟ้ าถล่มลงมาก็ไม่ถ่วงรั้งเรื่องที่เขาทําอยู่ อีกคน
หนึ่งดูเหมือนว่าแม้กระทั่งเมล็ดงาเมล็ดหนึ่งที่หล่นข้างทางก็ยังจะเก็บ เอามาคิดใคร่ครวญถึงความเป็ นมาของมัน ต่างก็พูดกันว่าเพื่อนต้อง มีนิสัยคล้ายกันถึงจะคบกันได้นาน หลิวกับเฉินกลับมีนิสัยสองอย่างที่ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มเอ่ย “รู้สึกว่าประหลาดมากเลยใช่ไหม?”
เซอเยว่กลับรู ้ว่าหลิวเสี้ยนหยางรู ้ว่าตนคิดอะไรอยู่ จึงพยักหน้า “แล้วไม่แปลกหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้า “อันที่จริงก็ไม่แปลก เพราะเขาขี้ขลาด มากที่สุดแล้ว ไม่เคยเติบใหญ่เสียที”
เด็กหนุ่มไม่มีทางเป็ นเด็กหนุ่มไปตลอดกาล
แต่เฉินผิงอันกลับสามารถเป็ นเด็กหนุ่มได้ตลอดกาล