กระบี่จงมา 977.1 หลอมกระบี่ก็คือการเดินทางไกล

ตอนที่ 977.1 หลอมกระบี่ก็คือการเดินทางไกล

เมืองหงจู๋ ในช่วงเดือนหนึ่งยังมีกลิ่นอายของปีใหม่อยู่มาก ใน ฐานะศูนย์กลางการค้าที่สาคัญ จังหวัดและเขตการปกครองทั้งหลาย ของต้าหลีล้วนมาก่อตั้งที่ทาการสมาคมอยู่ที่นี่หลายแห่ง ใบหน้าเก่า กลอนคู่ใหม่ ทุกคนล้วนเฉลิมฉลองกันอย่างชื่นบาน

 

เถ้าแก่หนุ่มของร ้านหนังสือร ้านหนึ่ง เวลานี้กาลังนอนงีบหลับอยู่ บนเก้าอี้หวาย กิจธุระในจวนวารี ถึงอย่างไรก็ยกให้พวกเสมียนขุน นางผู้ช่วยไปจัดการหมดแล้ว เป็ นเถ้าแก่สะบัดมือทิ้งร ้านเอาอย่างเจ้า ขุนเขาเฉินของภูเขาลั่วพั่ว

 

มีคนที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเดินข้ามธรณีประตู มา กุมหมัดคลี่ยิ้ม เอ่ยประโยคมงคลว่า “เถ้าแก่หลี่ เปิดประตูร ้าน ต้อนรับความมงคล ขอให้กิจการรุ่งเรืองก้าวหน้าคึกคักมีชีวิตชีวา”

 

หลี่จิ่นเห็นเฉินผิงอันก็ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้นอน สองฝ่ ายถือว่ารู ้ไส้ รู ้พุ่งกันดี หลีจินจึงไม่ได้ทักทายปราศรัยให้เป็ นพิธีรีตอง แล้วก็ไม่ได้ ลุกขึ้นยืนต้อนรับ แค่กุมหมัดคารวะ “กิจการนับว่ายังพอได้จริงๆ”

 

เฉินผิงอันยินดีที่ได้เห็นหลี่จิ่นทาตัวสบายๆ เช่นนี้ เข้ามาในร ้าน แล้วก็กวาดตามองไปที่ชั้นหนังสือในร ้านสองสามรอบ ก่อนที่สายตา จะไปหยุดอยู่ที่จุดหนึ่ง ถามว่า “ประวัติร ้อยขุนพลยี่สิบเจ็ดเล่มชุดนี้ ทาไมถึงหายไปเล่มหนึ่งเล่า?”

อาชีพอย่างการเก็บสะสมของนี้ นอกจากจะแสวงหาความ สมบูรณ์แบบแล้วก็ยังต้องการความครบถ้วนด้วย หากไม่ได้เป็ น เช่นนี้ ราคาก็จะเพิ่มขึ้นสูงไม่ได้ แต่ตอนนี้ขาดเล่มที่สองไปบทหนึ่ง หลี่จิ่นทาการค้าอย่างคนที่โชกโชนมากแล้ว ตามหลักแล้วก็ไม่ควร ท าการค้าที่ขาดทุนเช่นนี้

 

“มีสหายคนหนึ่งถูกใจ ทางร ้านจึงไม่เก็บเงินให้เป็ นกรณียกเว้น”

 

หลี่จิ่นไม่ได้พูดจาอย่างคลุมเครือ ทั้งยังอธิบายให้ฟัง เพราะถึง อย่างไรอิ่นกวานหนุ่มตรงหน้าผู้นี้และภูเขาลั่วพั่วที่ในที่สุดก็เหมือน ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยเผยให้เห็นดวงตะวันกลางนภา ต่างก็ถือว่า “มี พระคุณด้านการถ่ายทอดมรรคา’ ที่ถือว่าหาได้ยากยิ่งสาหรับเขาหลี่ จิ่น อันดับแรกก็เป็ นจูเหลี่ยนที่นาม้วนภาพมามอบให้สองภาพ จาก นั้นเฉินผิงอันก็ช่วยลงลายสีทองและประทับตราให้ด้วยตัวเอง นี่แทบ ไม่ต่างอะไรกับการช่วยให้หลี่จิ่นมีโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้ าดุจดั่ง “ปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร” เพิ่มมาครั้งหนึ่ง ความสัมพันธ ์ควัน ธูปส่วนนี้ หลี่จิ่นที่เป็ นเทพวารีของแม่น้าชงตั้นได้ถูกก าหนดมาแล้ว ว่าจะมีอาจชดใช ้คืนได้ทันทีทันใด คงต้องให้เป็ นดั่งน้าเส้นเล็กไหล ยาว ค่อยๆ เป็ นค่อยๆ ไปก็แล้วกัน

 

เฉินผิงอันครุ่นคิดเล็กน้อย ย้อนนึกถึงเนื้อหาที่อยู่ในเล่มที่หนึ่ง และเล่มที่สาม ในใจก็กระจ่างแจ้งได้โดยพลัน

 

ลูกค้าที่สามารถทาให้หลี่จิ่นยอมแหกกฎได้ เกินครึ่งก็น่าจะเป็ น ‘จางผิง” เทพอภิบาลเมืองประจาจังหวัดผู้นั้นแล้ว ในอดีตอีกฝ่ ายเป็ น

เทพแห่งผืนดินของศาลบนภูเขาหมั่นโถวเส้นทางการเลื่อนขั้นใน วงการขุนนางขุนเขาสายน้าของเขาในต้าหลีถือเป็ นการกระโดดข้าม ขั้นไปหลายขั้น คือการได้เลื่อนขั้นที่ได้รับข้อยกเว้นเป็ นกรณีพิเศษ อย่างแท้จริง หากจะบอกว่า “จางผิง เทพอภิบาลเมืองประจ าจังหวัด คนปัจจุบันไม่มีรากฐานมหามรรคาที่เป็ นปริศนาอยู่เลย ใครเล่าจะ เชื่อ แม้ว่าเว่ยป้ อจะไม่เคยแพร่งพรายรากฐานของอีกฝ่ ายให้ทราบ แต่บางครั้งที่คุยเล่นกัน ทุกครั้งที่พูดถึงจางผิง เว่ยป้ อที่เป็ นซานจวินข องมหาบรรพตอุดร ค าพูดค าจาสามารถปิดบังกันได้ แต่สีหน้าท่าทาง กลับเป็ นค าตอบหมดแล้ว ภูเขาลั่วพั่วและศาลเทพอภิบาลเมืองของ จางผิงยังเป็ นเพื่อนบ้านกัน แน่นอนว่าเฉินผิงอันต้องค่อนข้างให้ ความสนใจ ดังนั้นเขาจึงเคยเปิดอ่านเกร็ดประวัติที่เกี่ยวกับอาณา เขตต่างๆ ของแคว้นสู่โบราณมาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกสาร คดีของแคว้นเสินสุ่ยในประวัติศาสตร ์แห่งนั้น บวกกับคนจิ๋วควันธูป ของศาลเทพอภิบาลเมืองประจาจังหวัดยังมาสานสัมพันธ ์กับภูเขาลั่ว พั่ว หมี่ลี่น้อยมักจะเล่าให้ฟังบ่อยๆ ดูเหมือนว่าตลอดหลายปีมานี้ไม่ ว่าจะฝนตกลมพัดก็ล้วนมิอาจขัดขวางอีกฝ่ ายได้ จะต้องมาขานชื่อ ตามเวลาเสมอ มีความจริงใจอย่างมาก และยังได้มารับต าแหน่งผู้ พิทักษ์ฝ่ ายขวาตรอกฉีหลิงต่อจากนาง…ดังนั้นกับเด็กชายชุดแดงผู้ นั้น จึงถือว่าเฉินผิงอันได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่มานานแต่กลับน่า เสียดายที่ไม่เคยได้พบเจอหน้ากันเสียทีดังนั้นกลับบ้านครั้งนี้ เฉินผิง อันจึงคิดว่าจะต้องพูดคุยกับเจ้าตัวน้อยที่ใจคิดอยากเป็ นหัวหน้าผู้ พิทักษ์ของตรอกฉีหลงมาโดยตลอดผู้นี้ให้จงได้

หลี่จิ่นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอร ้องเจ้าขุนเขาเฉินว่ามองออกแล้ว อย่าได้พูดออกมาเลย”

 

เฉินผิงอันพยักหน้า ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “ฝาก เถ้าแก่น าความไปบอกต่อเทพอภิบาลเมืองจางสักค า วันหน้าหากมี โอกาส ข้าจะต้องขอตาราพิชัยยุทธที่ใครบางคนเขียนค า อรรถาธิบายไว้ด้วยตัวเองมาให้เขาเล่มหนึ่ง เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ไม่กล้า รับรองพูดได้แค่ว่าข้าจะพยายามท าให้ได้ แต่หากไม่ส าเร็จจริงๆ เทพ อภิบาลเมืองจางก็อย่าได้ผิดหวังจนเกินไป ตั้งเวลาร ้อยปี ไว้เป็ น กาหนดระยะเวลาก่อนชั่วคราวแล้วกัน”

 

ใต้หล้ามืดสลัว คนเฝ้ าคืนของต าหนักสุ่ยฉ อดีตเถ้าแก่หนุ่มของ โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอันค่อนข้างคุ้นเคยกับอีก ฝ่ ายจริงๆ หากไม่เป็ นเพราะตอนที่อยู่บนเรือราตรี อู๋ซวงเจี้ยงได้แพร่ง พรายความลับสวรรค์ ตีให้ตายก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าป๋ ายลั่วแห่งต า หนักสุ้ยฉูจะเคยเป็ นเทพสังหารหนึ่งในเทพที่มีเทวรูปตั้งบูชาใน ศาลบุ๋น แต่เพียงแค่เพราะ “คร่าชีวิตผู้คนมามากเกินไป คุณูปการมี จุดด่างพร ้อย’ ต าแหน่งเทพถึงได้ถูกย้ายออกมาจากต าแหน่งสิบ ปราชญ์ในศาลบุ๋น ย้ายเข้าไปอยู่ในสองห้องข้าง สุดท้ายได้ตั้งอยู่ใน ล าดับของแม่ทัพระดับที่สี่เท่านั้น

 

หลี่จิ่นเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างที่หาได้ยาก “แบบนี้ก็ได้ด้วย หรือ?”

หากใช ้ค ากล่าวของจางผิงเอง ก็คือตัวเขาไม่แม้แต่จะคู่ควรจูงม้า ให้คนผู้นี้ด้วยซ้า

 

หลี่จี่นถามหยั่งเชิง “ไม่สู้เพิ่มข้าเข้าไปอีกคน?”

 

เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ “ไม่กล้ารับรองเหมือนกันนะ”

 

หลี่จี่นโบกมือเป็ นวงกว้าง “มีตาราเล่มไหนที่ถูกใจก็เอาไปได้เลย ถึงอย่างไรก็ยอมแหกกฏไปแล้ว วันหน้าก็ไม่คิดมากแล้ว”

 

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่รีบร ้อน วันหน้าข้าค่อยให้หลี่ไหวมาเลือก หนังสือที่นี่ ตกลงกันเรียบร้อยแล้วนะ ชอบเล่มไหนก็เอาไปได้เลย ห้ามเปลี่ยนใจเด็ดขาดล่ะ”

 

หลี่จิ่นสะอึกอึ้งทันใด เจ้าลูกกระต่ายน้อยที่แข็งแรงมีชีวิตชีวา ของปีนั้น แค่มองก็รู ้ว่าไม่ใช่เมล็ดพันธ์บัณฑิตอะไร ทว่ากลับมือดี มากจริงๆ เรื่องนี้หลี่จิ่นเคยได้เรียนรู้กับตัวเองมาก่อนนานแล้ว

 

เฉินผิงอันเอ่ยเตือนว่า “หากข้าช่วยขอตาราพิชัยยุทธเล่มนั้นมา ให้เถ้าแก่ได้ ก็ห้ามเอามาวางไว้ในร้านรอขายออกในราคาสูง เด็ดขาดนะ เรื่องแบบนี้ไม่เหมาะสม”

 

หลี่จิ่นยิ้มเอ่ย “อย่าว่าแต่เจ้าขุนเขาเฉินไม่ยอมเลย ขอแค่จางผิง รู ้เข้า มารื้อร ้านหนังสือของข้า แย่งเอาหนังสือของข้าไป แล้วค่อยตัด ความสัมพันธ์กับข้า เขาก็คงท าออกมาได้”

เฉินผิงอันยกมือขึ้นทาไม้ทามือประกอบ “ความจาข้าไม่แย่ ตอนนี้ตาราทั้งหมดของที่ร ้านให้ถือว่าถูกปิดผนึกไว้ชั่วคราวก่อน พี่หลี่จิ่นอย่าได้คิดขนหนังสือหนีตอนกลางคืนล่ะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าได้หาหน้าม้า แสร ้งให้คนมาซื้อหนังสือ แล้วค่อยแอบส่งไปที่จวน วารีเรื่องแบบนี้ไม่ควรทานะ ขาดคุณธรรมเกินไป”

 

หลี่จิ่นเอนกายนอนบนเก้าอี้หวาย โบกมือไปทางหน้าประตู “โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปส่งโปรดอภัยที่ไม่ได้ไปส่ง”

 

เฉินผิงอันไม่ได้รีบร ้อนขยับเท้า เอ่ยสัพยอกว่า “โอ้โห ไฉนจึง ออกคาสั่งไล่แขกแบบนี้เล่า”

 

หลี่จิ่นเริ่มหลับตาทาสมาธิ

 

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน อันที่จริงเขาก็เคยคิดอย่าง จริงจังมาก่อนว่าวันหน้าจะไปเป็ นเถ้าแก่ร ้านหนังสือ ขายหนังสือเลี้ยง ชีพ

 

เฉินผิงอันถอนสายตากลับมาแล้วก็ยิ้มกล่าว “มีเวลาว่างก็ไป นั่งเล่นที่ภูเขาลั่วพั่วสิ”

 

หลี่จี่นพยักหน้า “ว่างแล้วจะไป”

 

เฉินผิงอันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ว่าง? ตลอดทั้งปีมีช่วงเวลาที่ พี่หลี่จิ่นยุ่งด้วยหรือ?วางมาดไม่เบาเลยนะ สมกับเป็ นนายท่านใหญ่ จริงๆ”

หลี่จิ่นลืมตาเอ่ย “ข้ากลัวว่าสนิทสนมกันแล้ว คนอื่นๆ จะไม่ เกรงใจกันเหมือนเจ้าขุนเขาเฉิน จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิ งเมื่อก่อน นักพรตเซียนเว่ยที่ชอบต่อราคาของตอนนี้ แล้วยังมีโจวจวิ้นเฉินที่ ชอบเชื่อเงินไว้ก่อนของตรอกฉีหลงนั่นอีก แต่ละคนจะมาย้ายหนังสือ ข้าขึ้นไปไว้บนภูเขากันหมด”

 

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “คนนอกเข้าใจผิดก็ช่างเถิด พี่หลี่จิ่น ยังไม่รู ้จักภูเขาลั่วพั่วของพวกเราดีอีกหรือ ข้าเป็ นเถ้าแก่ที่สะบัดมือ ทิ้งร ้านมาจนชินแล้ว ไปควบคุมพวกเขาไม่ได้หรอก”

 

หลี่จิ่นหัวเราะหึหึ “ในใจรู ้ดีอยู่แล้วน่า”

 

ออกจากเมืองหงจู๋ที่เจริญรุ่งเรือง มุ่งหน้าไปยังภูเขาฉีตุน เฉินผิง อันไปดื่มเหล้ากับเทพภูเขาซ่งอวี้จาง เรื่องที่พูดคุยกันล้วนเป็ นเรื่อง ในอดีต เทพภูเขาที่ถูกเพื่อนร่วมงานในวงการขุนเขาสายน้าเรียก อย่างเหน็บแนมว่า “ซ่งหัวทอง” วันนี้รู ้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะ เฉินผิงอันเป็ นฝ่ ายสอบถามเรื่องเก่าๆ คนเก่าๆ ของเตาเผาหลายแห่ง ล้วนเป็ นเรื่องในอดีตที่ชงอวี้จางเป็ นผู้ดูแลตอนรับหน้าที่เป็ น ผู้ตรวจการงานเตาเผา เนื่องจากเฉินผิงอันเคยเป็ นลูกศิษย์ที่ทางาน ในเตาเผามาก่อน เมื่อพูดคุยกันถึงเรื่องนี้จึงไม่รู ้สึกว่าคุยกันไม่รู ้เรื่อง แม้แต่น้อย เหล้ามื้อนี้สองฝ่ ายต่างก็ดื่มกันอย่างหนาใจ ต่างคนต่าง ดื่มกันไปโดยที่ไม่ต้องมีใครยุให้ใครดื่ม การดื่มแบบนี้กลับทาให้คน เมาง่ายยิ่งกว่า สุดท้ายมองบุรุษชุดเขียวที่เดนเซออกไปจากห้องโถง ของศาล ซ่งอวี้จางก็ให้รู ้สึกสะทกสะท้อนใจยิ่งนัก หากเป็ นเมื่อ

สามสิบปี ก่อนมีคนท านายบอกว่า เฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงของ เมืองเล็ก ในอนาคตจะประสบผลส าเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ซ่งอวี้จางก็คง เห็นเป็ นเพียงเรื่องตลกที่ฟังผ่านหูไปเท่านั้นกระมัง

 

ต้นฤดูใบไม้ผลิ สายลมพัดโชยอบอุ่น แสงแดดสาดส่องสว่างไสว ไอหมอกแผ่ปกคลุมต้นไม้เขียวขจี ทุกหนทุกแห่งอบอวลไปด้วยกลิ่น หอมของพืชพรรณที่มีเฉพาะในภูเขา ทาให้จิตใจคนสดชื่นปลอด โปร่ง

 

เฉินผิงอันไม่ได้สลายกลิ่นเหล้าบนร่างทิ้งไป ข้ามภูเขาฉีตุน มาแล้ว ความคิดของเขาขยับไหวเล็กน้อย ดีดปลายเท้าหนึ่งที กระโดดโผขึ้นสูงเหมือนนกบินโฉบ ลอดทะลุผ่านต้นไม้ในภูเขา มา หยุดอยู่ด้านใต้กิ่งของต้นสนเขียวต้นหนึ่ง ชุดสีเขียวเป็ นสีเดียวกับ ต้นสนโบราณ ชายแขนเสื้อสองข้างห้อยตกลงเบาๆ สองแขนกอดอก เอนหลังพิงล าต้นของต้นสนไม่มีความบังเอิญก็มิอาจแต่งต ารา บังเอิญมาเจอกับคนจิ๋วควันธูปที่ทุกเดือนจะต้องไปขานชื่อตรงตาม เวลาที่ภูเขาลั่วพั่วพอดี

 

เห็นเพียงว่าบนเส้นทางสายเล็กของเทือกเขาสูงที่ไร ้ร่องรอยผู้คน มีเด็กสวมชุดสีชาดตัวเล็กจิ๋วน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งขี่งูป๋ ายฮวาที่ลา ตัวหนาเท่าถังไม้ ฝ่ ายหลังยังมิอาจหลอมเรือนกายได้ส าเร็จ เกล็ดงู เหมือนเหล็กกล้าเนื้อดี เด็กชายชุดแดงเหมือนกาลังจับเชือกบังเหียน ขี่ม้าออกเดินทางไกล

เด็กชายชุดแดงนั่งขัดสมาธิอยู่บนกระดูกสันหลังของงูป๋ ายฮวา พร่าบ่นว่าไม่มีคุณความชอบก็มีคุณความเหนื่อยยาก อยู่กับข้าแล้ว ก็วางใจได้ร ้อยดวงเลย รอให้วันใดนายท่านใหญ่ได้เลื่อนตาแหน่งขุน นางจะไม่แล้งน้าใจต่อเจ้าเด็ดขาด ถึงเวลานั้นข้าแค่ต้องปรึกษากับ หัวหน้าเผยและรองหัวหน้าโจว อนุญาตให้เจ้าขึ้นเขาไปพร ้อมกับข้า ไปๆ มาๆ ขอแค่จานวนครั้งมากเข้า ก็เชื่อว่าพวกเราต้องได้พบกับ เจ้าขุนเขาเฉินที่เป็ นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหางผู้นั้นแน่ จากนั้น ค่อยให้เจ้าขุนเขาเฉินเปิดปากทองคา ชี้แนะเจ้าสักสองสามประโยค ทิ้งคราบร่างหลอมเรือนกายจะมีอะไรยาก? นี่เรียกว่าสัจธรรมที่พูด ง่ายๆ เพียงค าเดียวก็ยังเหนือกว่าคัมภีร ์ปลอมหมื่นเล่ม ฮ่า นี่เรียกว่า มีโชคครั้งใหญ่! ไม่เชื่อหรือ? เจ้าลองดูเซียนใหญ่หงเซี่ยกับเซียนซื ออวิ๋นจื่อสิ ทุกวันนี้เป็ นอย่างไรแล้ว ถือว่าบรรลุมรรคากลายเป็ น เซียนหรือไม่ ต้องใช่แน่อยู่แล้ว ส่วนบรรพบุรุษหลิงจวินที่เป็ นมิตรน่า ใกล้ชิดผู้นั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว อย่าเห็นว่าท่านผู้อาวุโสมีรูปโฉม อ่อนเยาว์เป็ นเด็กน้อย อายุในการฝึ กตนกลับสูงมากแล้ว ท่านผู้ อาวุโสเป็ นบุคคลเก่าแก่ของภูเขาลั่วพั่วเชียวนะ หากเอาไปวางไว้ใน ราชวงศ์ล่างภูเขาก็ไม่เท่ากับคุณูปการผู้บุกเบิกแคว้นที่สามารถ แขวนภาพเหมือนได้เลยหรือ? เจ้าไม่เข้าใจภูเขาลั่วพั่ว แต่ข้ากับ บรรพบุรุษหลิงจวินพบหน้ากันเป็ นประจา มีเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู ้บ้าง คิด ดูแล้วเจ้าขุนเขาเฉินที่มีคุณธรรมมีชื่อเสียงสูงส่งคนนั้น จะมากจะ น้อยก็น่าจะเคยได้ยินชื่อข้ามาบ้าง รู ้หรือไม่ว่านี่เรียกว่าโชคชะตา แบบใด? นี่เรียกว่าผู้รู ้ใจจักรพรรดิ

เฉินผิงอันฟังด้วยความปวดกบาล มิน่าเล่าเจ้าตัวน้อยถึงได้ถูก ชะตากับภูเขาลั่วพั่วถึงเพียงนั้น ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันก็ไม่เข้าประตู บานเดียวกันจริงๆ

 

เด็กชายชุดสีชาดยังพร่าพูดไม่หยุด ตอนนี้พูดไปถึงเรื่องความ รักความแค้นระหว่างเจ้าขุนเขาเฉินกับหลิวจ้งรุ่นแห่งภูเขาหลังอ๋าว แล้ว ค าพูดค าจาเต็มไปด้วยเหตุด้วยผลหากว่าไม่มีอะไรเลย เจ้าเกาะ หลิวจะยอมเดินทางไกลจากทะเลสาบซูเจี่ยน หันหลังให้บ้านเกิด ย้าย มาอยู่ในอาณาเขตของภูเขาลั่วพั่วหรือ? ซ่อนสาวงามไว้ในบ้าน ทองค า เจ้ารู ้หรือไม่? ก็ไม่แปลกหรอก ในอดีตเคยได้ยินหัวหน้าเผย พูดถึงรูปโฉมของอาจารย์พ่อนางด้วยท่าทางน่าเชื่อถือ นั่นเรียกว่า กลิ่นอายความเป็ นเทพสูงส่ง สง่างามประดุจก้อนเมฆลอยสูงหากจะ เปรียบเทียบกันเรื่องรูปโฉมภายนอก ก็ไม่ได้โม้เลยจริงๆ เว่ยซานจ วินสองคนยังสู้อาจารย์พ่อของนางคนเดียวไม่ได้….คิดดูแล้วเจ้าเกาะ หลิวหลงรักเจ้าขุนเขาเฉินก็เป็ นเรื่องที่มีเหตุผลพออภัยให้ได้ น่า เสียดายที่ตนมาเจอกับเจ้านายขี้เหนียว แม้แต่จะดูบุปผาในคันฉ่อง จันทราในสายน้าสักครั้งก็ยังยาก รายงานขุนเขาสายน้าของศาลเทพ อภิบาลเมืองก็ต้องรอให้ทางราชสานักส่งมาให้ตามเวลาที่กาหนด รายงานระหว่างจวนเซียนบนภูเขาด้วยกันก็ไม่มีเลยสักฉบับเดียว เป็ นเหตุให้ยังมิอาจได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าขุนเขาเฉิน น่า โมโหนัก! แต่หลิวจ้งรุ่นผู้นั้นก็หน้าตาไม่เลวเลยจริงๆ ส่วนใดควรผอม ก็ผอม ส่วนใดควรนูนก็นูน

เฉินผิงอันทนฟังต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงพลิ้วกายลงพื้น กระแอม สองสามที

 

เด็กชายชุดแดงรีบตบลงบนเกล็ดพาหนะตัวเอง ร ้องยู้สองที เหมือนหยุดม้า ถามเสียงดังว่า “ผู้ที่มาคือใคร?!”

 

เฉินผิงอันกลั้นขา “แค่ผ่านทางมาเท่านั้น”

 

เด็กชายชุดแดงคิดแล้วก็ถามว่า “เป็ นผู้ฝึกตนบนภูเขา หรือเป็ น คนในยุทธภพ?”

 

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนท่องยุทธภพ”

 

เด็กชายชุดแดงเข้าใจได้ทันใด ต้องเป็ นคนที่มาเพราะได้ยิน ชื่อเสียงของภูเขาลั่วพั่วแน่นอน จึงพูดโน้มน้าวว่า “คนหนุ่มอย่าได้มี ใจทะเยอทะยานเกินไปนัก วาดหวังว่าจะได้ขึ้นไปบนภูเขาลั่วพั่ว ไป กราบเจ้าขุนเขาเฉินเป็ นอาจารย์ ฟังคาแนะนาจากข้าสักคา ทุกวันนี้ ที่นั่นไม่ต้อนรับแขก ไปถึงหน้าประตูภูเขา คนนอกก็ต้องหยุดฝีเท้า แต่เพียงเท่านั้น หากเจ้าไม่เชื่อ ถึงเวลานั้นก็จะไปเสียเที่ยวเปล่าๆ ข้า เองก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะ ช่างเถอะๆ คนที่มาล้วนเป็ นแขก ไป ถึงหน้าประตูภูเขาแล้วข้าจะช่วยบอกกล่าวกับนักพรตเซียนเว่ยให้ แล้วกัน น่าจะได้ดื่มน้าชาสักถ้วย เมื่อเป็ นเช่นนี้ก็ไม่ถือว่ามาเสียเที่ยว แล้ว กลับไปถึงบ้านเกิดก็เอาไปคุยโวกับคนอื่นได้ ไม่ถือว่าคุยโวโดย ไม่ต้องร่างค าพูด”

 

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ “ได้รับความกรุณาแล้ว”

เด็กชายชุดสีชาดตีหน้าเคร่งพยักหน้ารับ ถือว่าเป็ นเด็กรุ่นหลังที่ เข้าใจหลักการเหตุผลดีคนหนึ่ง ไม่เลว

 

ท่องอยู่ในยุทธภพต้องไม่อดตายแน่นอน

 

ทั้งสองฝ่ ายพบเจอกันโดยบังเอิญ ด้วยโชควาสนาน าพาจึงจับคู่ เดินทางไปด้วยกันทั้งอย่างนี้ ขึ้นเขาลงห้วยมุ่งหน้าไปทางภูเขาลั่วพั่ว

 

เด็กชายชุดสีชาดหนึ่งเพราะเป็ นคนใจใหญ่ อีกอย่างก็ไม่กลัวว่า จะเจอคนที่มาดักฆ่าชิงทรัพย์จริงๆ อยู่ในอาณาเขตของจังหวัดฉู่โจ วแห่งนี้ ใครเล่าจะกล้าก่อเรื่อง?

 

แต่บางครั้งก็จะหันไปมองประเมินคนหนุ่มที่บอกว่าตัวเองเป็ นคน ที่ผ่านทางมาบ้างเป็ นครั้งคราว เดินข้ามภูเขา คนชุดเขียวข้างกาย เหมือนเดินไปบนพื้นที่ราบ มีมาดของยอดฝีมืออยู่บ้าง คาดว่าหากไป อยู่ในแคว้นเล็กทางทิศใต้นอกเหนือจากต้าหลี เปิดศูนย์ตั้งพรรคก็คง ไม่ยาก มิน่าเล่าถึงกล้ามาเสี่ยงดวงที่ภูเขาลั่วพั่ว

 

เด็กชายชุดสีชาดถามอย่างอดไม่ไหว “ฟังจากน้าเสียงของเจ้า ไม่เหมือนคนต่างถิ่น? เป็ นคนที่ไหนหรือ อยู่ใกล้กับลาน้าใหญ่ก็เลย เดินทางขึ้นเหนือมาตลอดทางหรือ?”

 

ราชวงศ์ต้าหลีในทุกวันนี้ คาว่าคนต่างถิ่นก็มีเพียงคนที่มาจาก ขุนเขาสายน้ากว้างขวางทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปแล้ว แต่หาก เป็ นเมื่อหลายปีก่อน นั่นจะหมายถึงคนต่างทวีป

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พบเจอกันโดยบังเอิญ อย่าได้ถามถึงชาติ ก าเนิด”

 

เด็กชายชุดแดงหัวเราะ โอ้โห อายุไม่มาก แต่กลับโชกโชนยิ่ง นัก

 

คนจิ๋วควันธูปหัวเราะคิกคัก “ทางฝั่งของเมืองหงจู่นั้นขึ้นชื่อว่า เป็ นสวรรค์แห่งการผลาญเงินเลยนะ วีรบุรุษมิอาจผ่านด่านสาวงาม ตอนนี้ในกระเป๋ าเงินคงเหลือเงินอยู่ไม่กี่แดงสินะ?”

 

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าท่องอยู่ในยุทธภพมักจะไปไหนมาไหน เพียงลาพัง ไม่ชอบเรื่องทานองนี้”

 

เด็กชายชุดแดงเบ้ปาก ล้วนเป็ นบุรุษตัวโตๆ กันแล้ว มาแสร ้ง วางมาดเป็ นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงอะไรกับข้า ไม่จริงใจเอาเสียเลย

 

เดิมทีคิดว่าดื่มชาที่หน้าประตูภูเขาหมดแล้ว รู ้สึกว่าคนผู้นี้น่าคบ หาก็จะพาไปเปิ ดหูเปิ ดตาที่ศาลเทพอภิบาลเมือง พยายามแสดง มิตรภาพของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ ถึงเวลานั้นค่อยยกสถานะของ ตัวเองออกมาทาให้อีกฝ่ ายตกใจ ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือเจ้าจาง ผิงผู้นั้นทั่วร่างเต็มไปด้วยความยากจนข้นแค้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะ ยินดีให้ตนพาแขกไปเยือนหวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ตอนที่ยังอยู่ บนภูเขาหมั่นโถว ตนพยายามจะช่วยสานสะพานความสัมพันธ ์ให้ อย่างเต็มที่ ไปหาเจ้าแม่เทพแห่งผืนดินที่เก่งงานบ้านงานเรือนมา ผล คือความหวังดีกลับถูกมองเป็ นประสงค์ร ้าย ทาให้ตนได้แต่ใช ้น้าตา

อาบหน้า เรื่องราวในอดีตไม่ชวนพิสมัย โชคดีที่ทุกวันนี้มีชีวิตที่ไม่ เลวแล้ว เดินไปที่ไหนก็มีหน้ามีตา

 

มาถึงเนินเขาแห่งหนึ่งที่การมองเห็นเปิดกว้าง เด็กชายชุดแดงก็ ตบหลังของงูป๋ ายฮวาบอกเป็ นนัยให้อีกฝ่ ายพักผ่อนชมทิวทัศน์ก่อน ครู่หนึ่ง

 

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ด้านข้าง ดึงหญ้าหวานต้นหนึ่งมา ปาดดิน ออก ยัดใส่ปากเคี้ยวสายตามองตรงไปข้างหน้า นอกภูเขาห่างไป ไกลมีแอ่งน้าอยู่แห่งหนึ่ง ลมแรงอากาศหนาวเย็น น้าใสทรายขาว หญ้าอ่อนเขียวขจีขึ้นเป็ นพุ่มกอ ฝูงนกบินวน

 

ตอนเด็กรู ้สึกว่าบ้านเกิดใหญ่มาก พอเติบใหญ่กลับรู ้สึกว่า แจกันสมบัติทวีปเล็กมาก

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset