“แม่นางน้อย” คนนี้ คือป้ายจิ้ง ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้น สูงสุดของเมื่อหมื่นปี ก่อนจริงๆ หรือ?
เซี่ยโก่วหัวเราะร่วน
หากว่าอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เจ้าก็คอยดูเถอะว่าข้าจะพูดง่าย
หรือไม่?
เซี่ยโก่วเอ่ยลาแล้วทิ้งเรือนกายเป็นเส้นตรงดิ่งลงไปยังพื้นดิน ขณะที่อยู่ห่างจากบน พื้นอีกหลายจังก็พลันหยุดนิ่ง แล้วพลิ้วกายลง บนพื้นเบาๆ
เชื่องช้าจริงๆ ชื่นชม ๆ
จากนั้นเซี่ยโก่วก็เริ่มท่องเที่ยวไปตามขุนเขาสายน้ําอย่าง เชื่องช้าจริงๆ ชื่นชม ขนบธรรมเนียมและผู้คนของต่างบ้านต่างเมือง แน่นอนว่าสําหรับนางแล้ว ใต้หล้าเปลี่ยว ร้างแห่งนั้นก็ไม่ถือว่าเป็น บ้านเกิดอะไร
ระหว่างทางหากเจอกับสตรีหน้าตางดงามก็จะแสร้งปลอมตัวเป็น
เด็กหนุ่ม เปลี่ยนน้ําเสียงเล็กน้อย ขยับเข้าไปเอ่ยหยอกเย้าเกี้ยวพา สองสามประโยค ในตํารากล่าวไว้ได้ดี แม่ นางคนงามนิสัยเรียบร้อย กําลังเก็บต้นหม่อนอยู่ตามริมทาง ยามพวกนางแย้มยิ้มช่างน่ามอง
เหลือเกิน แล้วก็มีที่บอกว่าม้าของจักรพรรดิและขุนนางเบียดเสียดนับ พันตัว เดินเยื้องย่างเชื่องช้าอยู่บนทางหลวง พลังอํานาจน่าครั่น
คร้าม เซี่ยโก่วมักจะนั่งอยู่บนกิ่งต้นไม้ของป่าชานเมือง เอานิ้วแตะ
น้ําลายพลิกเปิดตําราอ่านดูอยู่บ่อยๆ
เจ้าคนที่ทุกวันนี้ใช้ชื่อว่าเสี่ยวโม่ ปีนั้นตอนที่ไปหลบนางอยู่ที่ถ้ํา ปี้เซียวแล้วพอออกมา จากชายหาดลั่วเป่าอีกครั้งก็กลายมาเป็นตา เฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมแล้ว เฮ้อ ทําให้นางที่ได้เห็นรู้สึกเวทนา
ยิ่งนัก
ตอนนี้หากใช้คํากล่าวของ
เนื้อหนังมังสาก่อนหน้านี้หล่อเหลารูปงามถึงปานใด สวมชุดขาว พลิ้วไสว พกกระบี่เดินทางไกลเพียงลําพัง ในตําราก็คือ มาดองอาจไม่มีใครเหมือนเลิศล้ําเป็นเอก
ถึงอย่างไรมุมมองความงามของแต่ละคนย่อมต่างกันออกไป ป๋า
ยจิ่งเห็นแล้วรู้สึกชื่นชอบ ต่อให้ปีนั้นเสี่ยวโม่จะไม่เคยล่อลวงหมู่ภมร ด้วยตัวเองมาก่อน แต่ก็ยังติดหนี้รักหลายก้อนอย่างเลี่ยงไม่ได้
แน่นอนว่าพวกสตรีที่ตาไม่มีแววพวกนั้นล้วนถูกป้ายวิ่งตามไปหาถึง
ที่แล้วพูดคุยความในใจกันไปแล้ว อันที่จริงก็เหมือนอย่างที่ป้ายจิ่งพูด
เองว่า ไม่แน่เสมอไปว่านางจะชอบเขามากสักเท่าไร แต่นางเบื่อนี่นา ฝึกตน? นางต้องฝึกตนอย่างจริงจังด้วยหรือ?ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่
ถึงอย่างไรก็ควรต้องหาเรื่องอะไรทําบ้าง นอกจากนี้แล้วป้ายวิ่งยัง เคยได้ยินเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งบอกว่า “นักพรต” ผู้นั้นได้อธิบายเรื่อง ของ “ลักษณะที่แท้จริง” ให้ ผู้ฝึกลมปราณฟัง บอกว่าผู้ฝึกตน ระหว่างที่เดินขึ้นสู่ที่สูงจําเป็นต้องรักษาจิตใจดั้งเดิมและความเป็น
ตัวเองดั้งเดิมเอาไว้ได้ ระหว่างนี้ก็มีเคล็ดลับและมีทางลัดมากมายให้
แม้จะบอกว่าคนที่พอจะต่อสู้ได้ของใต้หล้าไพศาลต่างก็ไปอยู่ใต้
หล้าเปลี่ยวร้างกัน หมดแล้ว ก็เหมือนอย่างอุตรกุรุทวีปใต้ฝ่าเท้า นางในเวลานี้ ว่ากันว่าฮว่อหลงเงินเหรินที่เป็น ลูกพี่ใหญ่ของในพื้นที่ ทุกวันนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่ยอดเขาพาตี้เหมือนกัน แต่เซี่ยโก่วก็ยังฝืนนิสัย
ยืนหยัดที่จะไม่ไปก่อเรื่อง หากอยู่ล่างภูเขาแล้วเจอกับพวกอันธพาล ที่ชอบไปเดินวนอยู่หน้า ประตูผี เซี่ยโก่วก็ไม่ถือสาพวกเขา
เพราะถึงอย่างไรก็ได้ยินมาว่าทุกวันนี้ทางฝั่งของศาลบุ๋นเป็น
ผู้ดูแลเรื่องอาหารการกิน สตรีอย่างหย่างจื่อนั่นก็ไม่ใช่ล้อรถหน้าที่ พลิกคว่ําหรอกหรือ? เฮ้อ ล้อรถหน้าที่พลิกคว่ํา (เปรียบเปรยถึง
บทเรียนจากอดีต) คํากล่าว อรถ (เปรียบเปรยถึง
ในทุก วันนี้ช่างมีมากมายจริงๆ
จาก
ตําราบนโลกมนุษย์
ไม่ว่าจะอย่างไร จะดีจะชั่วก็ควรจะหาตัวเจ้าผีขี้ขลาดผู้นั้นให้เจอ ก่อนค่อยว่ากัน หาก ไม่เป็นเพราะทุกวันนี้ไม่เหมาะจะต่อสู้กัน งูเจ้า ถิ่นคนแรกที่นางจะไปเจอก็คือป้ายฉางบุคคล อันดับหนึ่งของผู้ฝึก กระบี่ในอุตรกุรุทวีป แน่นอนว่าไม่ได้ไปเพื่อถามกระบี่ จะให้ถามกระบี่ กับผู้เยาว์คนหนึ่งที่ไม่ใช่ขอบเขตบินทะยานได้อย่างไร รังแกคนหรือ
อย่างไร
บนหลังคาเรือนที่เป็นแก้วใสสีเหลืองของตําหนักลัทธิเต๋าแห่ง
หนึ่ง เซี่ยโก่วอําพราง เรือนกาย นั่งขัดสมาธิ กินเนื้อหมักเต้าเจี้ยว พลางจิบเหล้าคําเล็ก มองนักพรตน้อยหลายคน ถือแล้ปัดฝุ่นสะบัด ไปมาพลางฝึกท่าย่ําเท้าอย่างจริงจังอยู่ตรงนั้น จากคําอธิบายบน
ตํารา ทั้งหลาย ทุกวันนี้มีนักพรตอยู่มากมายแล้ว คําว่าเหยียบพายุ ย่างดารา ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีลูก เล่นมากขึ้นเรื่อยๆ ฝีเท้าของเหล่า นักพรตเปลี่ยนทิศทาง กราบไหว้ดวงดาว อัญเชิญเทพลง มาจุติ ประหนึ่งเหยียบย่างอยู่บนพายุบนฟ้าและบนดวงดาว นับตั้งแต่สาม ก้าวย่างเก้าวิถีใน ช่วงแรกเริ่มสุด วิถีแห่งดวงดาวมีการผันแปรอย่าง ต่อเนื่อง กลายมาเป็นซับซ้อนมากขึ้น เรื่อยๆ หากระหว่างที่เหยียบ พายุยังเพิ่มการทํามุทราเข้าไปด้วย ก็เล่าลือกันว่ามีมากถึงหนึ่งพัน เก้าร้อยกว่าชนิดเลยด้วยซ้ํา
เซี่ยโก่วลูบหมวกขนเตียว ส่ายหน้าพึมพํา “ยิ่งลูกเล่นมากเท่าไร ความคิดก็ยิ่งน้อยลงมากเท่านั้น”
เซี่ยโก่วเคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อนว่าคนบางคนที่เป็นหนึ่งใน
ตัวสํารองสิบผู้กล้าใน ใต้หล้าจําแลงกายเป็นนกช่วยถ่ายทอดมรรคา
ตัวสํารองได้มีวิชาคาถาบทนี้
นั่นต่างหากถึงจะเป็นบรรพจารย์อย่างแท้จริง
ดูพวกนักพรตน้อยย่ําเท้าท่าเหยียบพายุแล้วรู้สึกเบื่อ
เซี่ยโก่วดื่ม
เหล้าหมดหนังกา แล้วจึงขยับเปลี่ยนที่นั่ง มาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน นั่ง
ยองอยู่ด้านข้าง มองคนเอาข้าวเหนียวใส่ใน อ่างหินแล้วตําให้แหลก กําลังทําขนมข้าวเหนียวกันอยู่ ก่อนหน้านี้เซี่ยโก่วเคยกินขนมก้อน ข้าวเหนียวมาก่อน เห็นแล้วน้ําลายสออยากกิน
หลังจากนั้นก็ข้ามมหาสมุทรใหญ่ เซี่ยโก่วจึงมาถึงแจกันสมบัติ ทวีป ไปเยือนเมืองหล วงของต้าหลีก่อนรอบหนึ่ง เรียนรู้ภาษา ทางการ หรือก็คือภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ สุดท้ายเซี่ยโก่วมายืนอยู่นอกตรอกเล็กเส้นหนึ่ง ดูเหมือนว่าด้าน
ในจะมีบ้านของซิ่วหู่ผู้นั้นอยู่
สองมือของนางถือขาหมูมันเยิ้มไว้มือละขา
เหนือปากตรอกเล็กมีพื้นที่ประกอบพิธีกรรมมอซอขนาดเท่า เปลือกหอยอยู่แห่งหนึ่ง มี อาจารย์และศิษย์คู่หนึ่งอยู่ด้านใน ผู้ฝึกตน เฒ่าที่อยู่ข้างในมองนางแวบหนึ่ง เซี่ยโก่วแสร้ง ทําเป็นไม่รับรู้ บางทีอาจเป็นเพราะผู้ฝึกตนเฒ่าอายุมากแล้วถึงได้แยกแยะไม่
ถูก แอบใช้เสียงในใจ สอบถามลูกศิษย์ที่เห็นได้ชัดว่าอายุน้อยยิ่งกว่า ว่ารู้จักแม่นางน้อยที่อยู่นอกตรอกหรือไม่ว่า เป็นใคร มีประวัติความ เป็นมาหรือไม่ หากแม่นางน้อยเดินเข้ามาในซอยจะต้องออกไปขัด ขวางหรือไม่
หลังจากนั้นเซี่ยโก่วก็แอบแวะไปดูสํานักกระบี่หลงเฉวียน
หลักๆ แล้วเพราะได้ยินมาว่าหร่วนฉงคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ของราชวงศ์ต้าหลี ผลคือเป็นแค่ขอบเขตหยกดิบเท่านั้น ทว่า
ความสามารถในการหลอมกระบี่กลับนับว่าพอใช้ได้
ในภูเขามีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มท่าทางเอ้อระเหยลอยชายอยู่คนหนึ่ง ขอบเขตของเขาไม่สูง แต่กลับประหลาดนัก ถึงกับสัมผัสได้ถึงการ ลอบมองของตน ทั้งสองฝ่ายจึงสบตากันอยู่ไกลๆ
รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่เซี่ยโก่วก็ไม่ได้คิดลึก ในที่สุดก็มาถึงอําเภอไหวหวง เขตการปกครองหลงเฉวียน
จังหวัดจู่โจวต้าหลี
ตลอดทางมานี้นอกจากผู้ฝึกกระบี่หนุ่มของสํานักกระบี่หลง เฉวียนคนนั้นที่น่าสนใจ อยู่บ้างเล็กน้อยแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ เจอบุคคลยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคนใด
เซียโก๋วทําตามกฎของที่นี่ด้วยการ
เซี่ยโก่วทําตามกฎของที่นี่ด้วยการเดินเท้า
เดินจากตัวจังหวัดไป
ทางทิศใต้ มาถึงเมือง เล็กแล้วก็หาร้านที่ตั้งอยู่ด้านล่างขั้นบันได ซื้อ ขนมสองสามชิ้นมากิน อ่านต่อที่ โนเวลแอลเค
หลังจากนั้นก็เดินไปทางภูเขามั่วมั่ว
ฮ่าๆ เจ้าคอยดูเถอะ ข้ามาดักรออยู่หน้าประตูแล้ว
2.เจ้าคอยดูเถอะ ภูเขามั่วมั่ว
ภูเขาลั่วมั่ว
หน้าประตูภูเขา
คนเฝ้าประตูคนใหม่ของภูเขาลั่วมั่วคือนักพรตตัวปลอมคนหนึ่ง ที่ปักปิ่นไม้ไว้บนศีรษะ เขากําลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ยกขานั่งไขว่ ห้าง ทําท่าพลิกเปิดหนังสืออย่างลับๆ ล่อๆ
เด็กสาวสวมหมวกขนเดียวที่ยังอยู่ห่างจากหน้าประตูภูเขาอีก ระยะทางหนึ่งยกมือขึ้น ขยี้ตาแรงๆ นางที่เห็นเรื่องต่างๆ มาจนไม่รู้สึก ประหลาดใจกับอะไรอีกแล้ว เวลานี้กลับยัง แสดงสีหน้าเหลือเชื่อ ออกมาอย่างอดไม่ได้
ใต้หล้ามีเรื่องบังเอิญขนาดนี้จริงๆ หรือ?
กลัวอะไรก็เจออย่างนั้น?
เสี่ยวโม่ เจ้านี่มันจริงๆ เลย แบบนี้ออกจะเกินกว่าเหตุไปแล้วนะ ปี นั้นไปหลบหมัก เหล้าอยู่ที่ถ้ํานี้เชียวหาดลั่วเป่า ทุกวันนี้กลับดีนัก
โดยตรงเลยหรือ?
ถึงกับมาหลบอยู่ข้างกายนักพรต 1. ด้วยอุปสรรคเสียจริง เจ็บปวด
เส้นทางความรักของตนช่างเต็ม
หัวใจยิ่งนัก
อยากนอนกับ…เพีย มั้ย อยากหาคู่บําเพ็ญเพียรสักคน เหตุใดถึงได้
ยากเย็นขนาดนี้นะ
เซี่ยโก่วเบ้ปาก ร่ายวิชาอภินิหารบทหนึ่ง เรือนกายแบ่งออกเป็น สองส่วน นางพลันร้อง เอ๊ะหนึ่งที หรี่ตากวาดมองไปรอบด้าน หรือว่า เจ้าแห่งถ้ําปี้เซียวอยู่ในภูเขาลูกนี้ด้วย?
นักพรตเซียนเว่ยของพวกเราตามองถนนหูฟังหกด้านมาจนเคย
ซิน ผลคือสังเกตเห็น ว่าหลังจากแขกผู้นั้นขยับเข้าใกล้ประตูภูเขา แล้ว มาแล้วก็วิ่งหนีไปอีกครั้ง
แต่พอวิ่งหนีไปแล้วดันกลับมาอีกรอบ
คราวนี้ทําเอาเซียนเว่ยมึนงงไปทันที
เห็นเด็กหนุ่มสวมหมวกขนเตียว หรือบางทีอาจจะเป็นเด็กสาว สุดท้ายเหมือนนางจะ ตัดสินใจได้แล้วจึงเดินมาทางหน้าประตูภูเขา
แห่งนี้ช้าๆ
เซียนเว่ยรีบเก็บตําราในมือสอดไว้ในอ้อมอก ลุกขึ้นยืน
ผลคือคนที่สวมหมวกขนเดียวผู้นั้นกลับเดินอ้อมขยับไปนั่งตรง
โต๊ะอีกฝั่งหนึ่ง
ถ่ายทอดวิชาไขข้อข้องใจ ให้ค, ท้องไปทั่วใต้หล้า นอกจากเพื่อ
ยังสร้างที่พักเท้าแห่งแล้วแห่ง
เล่าไว้ตามสถานที่ต่างๆ ลักษณะคล้ายศาลาใน โลกยุคหลัง บน
กําแพงทิ้งตัวอักษรที่เป็นเคล็ดวิชาเอาไว้หลายบท
ผู้ที่มีวาสนาย่อมได้พานพบ ได้รับไป ได้ฝึกตน เพราะในสายตา ของนักพรต สรรพ ชีวิตในโลกมนุษย์ล้วนสามารถฝึกตนได้
ที่ถูกต้องสมกับคํากล่าวขานนี้ที่สุดกระมัง?
สมกับวามเป็นสวรรค์ ก็น่าจะเป็นเรื่องนี้
เซี่ยโก่วนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที เก็บความคิด
จิตใจกลับคืนมา คลี่ยิ้มส่งไปให้
เซียนเว่ยสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายใช้สายตาที่ซับซ้อนอย่างมาก
เหม่อมองมายังตน
คงไม่ถึงกับตามหาตนเพื่อมานับญาติกันหรอกกระมัง?
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าตนก็ไม่เคยร่ํารวยมาก่อนจริงๆ เป็นคนเฝ้า ประตูอยู่ที่ภูเขาลั่วคั่วแห่ง นี้ เงินเดือนก็พอมีอยู่บ้าง แต่เงินเกล็ดหิมะ ทุกเหรียญที่เข้ามาอยู่ในกระเป๋าล้วนมีเหตุที่ต้องเอาไปใช้
เพราะมีภาระหน้าที่ติดตัว เซียนเว่ยจึงได้แต่เดินไปหา ยิ้มถามว่า “สหายท่านนี้จะดื่มชาหรือไม่?”
เซียโก่วถาม “เสียเงินหรือไม่?”
เซียนเว่ยยิ้มตอบ “ไม่คิดเงิน”
เซี่ยโก๋วยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ขอสองกา”
เซียนเว่ยอึ้งตะลึงไปอีกครั้ง
กายมีร่างจริงของ “เหลียนนั่งถักตะกร้าสานอยู่ในลานบ้าน ข้าง
กายมีร่างจริงของป้ายจิ่ง นั่งอยู่ ฝ่ายหลังเล่าต้นสายปลายเหตุให้ผู้ เฒ่าร่างผอมที่บอกว่าตัวเองชื่อจูเหลี่ยน ดูเหมือน จะเป็นคนดูแล ภูเขาลั่วคั่วแห่งนี้ฟังตามจริงทั้งหมด ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรให้ต้อง ปิดบัง ไม่มี เรื่องอะไรที่เปิดเผยไม่ได้อยู่แล้ว มาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เป็นผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจ ขอบเขต บินทะยาน เคยใช้นามแฝงว่าป้าย จิ่ง ทุกวันนี้ใช้ชื่อว่าเซี่ยโก่ว มารําลึกความหลังกับเสี่ยวโม่ ภูเขาลั่ว
ทั่วไม่ต้องกังวลว่านางจะก่อเรื่อง นางไม่กล้าสร้างเรื่องให้นายท่าน ป้ายเจ๋อและจอม ปราชญ์น้อยโมโหเด็ดขาด เพราะแต่ละคนนางล้วน สู้ไม่ได้
ผู้เฒ่ามีสีหน้าเมตตาเป็นมิตรอยู่ตลอด พอได้ยินคําแนะนําตัวเอง ของเซี่ยโก่วก็ไม่ เพียงแต่ไม่ตกตะลึงระคนหวาดกลัว กลับยังพยัก หน้ายิ้มรับ มือก็ไม่หยุดสานตะกร้าอย่าง คล่องแคล่วชํานาญ ทว่า ประโยคแรกที่เขาเปิดปากพูดกลับทําให้เซี่ยโก่วตะลึงค้างไปทันที
“ผ่านเรื่องราวมานับพัน ตอนนั้นเพียงแค่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ” ประโยคถัดมาของผู้เฒ่าก็ทําให้เซี่ยโก่วที่ได้ฟังทั้งปลาบปลื้มทั้ง เจ็บแปลบในใจ ตอนที่ ผู้เฒ่าพูด น้ําเสียงของเขาไม่ช้าไม่เร็ว ไม่รีบ ไม่ร้อน ให้ท่วงทํานองที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
“แม่นางเซี่ย เดินทางข้ามภูเขาข้ามมหาสมุทรมาหาคนในใจ ดี มากเลยนะ จุดเดียวที่ ต้องระวังก็คือ อย่าทําให้อาจารย์เสี่ยวโม่ต้อง ตกใจ เรื่องความรักฉันท์ชายหญิง ใครหวั่นไหวก่อนคนนั้นก็ต้อง เสียเปรียบ ยิ่งเสียเปรียบก็ยิ่งลืมได้ยาก ถึงท้ายที่สุดแล้ว สรุปแล้วว่า ชอบอีกฝ่ายหรือว่าชอบตัวเองกันแน่ ก็แยกแยะได้ไม่ชัดเจนอีกแล้ว คําตอบมักจะอยู่บนร่าง ของอีกฝ่ายเสมอ ดังนั้นถึงได้บอกว่าเมื่อมีรัก ก็ย่อมมีทุกข์”
เซี่ยโก่วลูบหมวกขนเตียว ผู้เฒ่าข้างกายผู้นี้คือยอดฝีมือเลยนี่
เพียงแต่เซี่ยโก่วคิดแล้วก็ยังรู้สึกเห็นต่างอยู่บ้างเล็กน้อย จึงทํา ตามคํากล่าวของหล้าไพศาลที่บอกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตา
ตามด้วยการเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจูก่อน จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ไม่ถือว่าเป็นความรักความชอบอะไรหรอก ข้าไม่เคยมีความรู้สึก ทุกข์ทนความแค้นลึกล้ํา ไม่มีความกลัดกลุ้มอะไรให้กล่าวถึง ข้าแค่ รู้สึกว่าเสี่ยวโม่หน้าตาดี ส่วนขอบเขตอะไรนั่นก็ไม่ได้ด้อยกว่าข้าสัก เท่าไร หากว่าอยู่ด้วยกันก็จะสามารถครองคู่กัน ได้อย่างยาวนาน อีก
ทั้งพวกเราต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ ย่อมมีเรื่องให้คุยกันได้” จูเหลี่ยนไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
คิดจนหัวแตกก็ยังคิด ไม่ออก “แม่นา…ต่อให้เซี่ยโก่ว
ชอบเจ้าจริงๆ เจ้าจะยังชอบเขาอีกไหม?”
เซี่ยโก่วอึ้งไปนาน ก่อนจะใคร่ครวญอย่างจริงจังแล้วเอ่ยว่า “ก็ยัง
ชอบอยู่เหมือนเดิม”
“แรกสุดทําไมถึงชอบเขาล่ะ?”
เดียว รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “อาจาร
เซี่ยโก่วตบหมวกขนเดียว รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “อาจารย์ผู้เฒ่า
จูเหลี่ยน ข้าก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่า เสี่ยวโม่หล่อมากไงล่ะ!”
“ผิดแล้ว”
ผู้เฒ่าที่นั่งถักตะกร้าอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่หัวเราะพลางส่ายหน้า เอ่ย
เสียงเบาว่า “ชีวิตนี้ เดิมทีไม่รู้ทุกข์ กลัวที่สุดว่าจะเจอความ
อ่อนหวาน”