กระบี่จงมา 962.1 วัยเยาว์ผันผ่านอย่างรีบร้อน

ตอนที่ 962.1 วัยเยาว์ผันผ่านอย่างรีบร้อน

ซิ่วไฉเฒ่าเดินก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้าไป โบกมือ
บอกเป็นนัยแก่ทุกคนว่าไม่ต้องเปลี่ยนที่นั่ง ซิ่วไฉเฒ่านั่งลงบน
ม้านั่งตัวยาวข้างกายชุยตงซาน
ชุยตงซานริมฝีปากขมุบขมิบ น่าจะเรียกขานว่า ‘อาจารย์
ปู่’ แต่ไม่เปล่งเสียงออกมานั่นเอง
เฉินผิงอันหยิบเหล้าหนึ่งกาและจอกเทพีบุปผาสิบสองใบ
หนึ่งชุดออกมา ล้วนเป็นของที่ได้ติดมือมาจากการประชุมศาล
บุ๋นคราวก่อน ให้หมี่ลี่น้อยช่วยแบ่งจอกและรินสุราให้
ซิ่วไฉเฒ่ารับจอกเหล้ามา หมี่ลี่น้อยรินเหล้าให้อาจารย์ผู้
เฒ่าเหวินเซิ่งเต็มจอกแล้วก็วางกาเหล้าไว้บนม้านั่งยาวข้าง
กายอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ซิ่วไฉเฒ่าถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ หยิบ
ซองแดงปึกใหญ่ออกมาจากชายแขนเสื้อ ซองแดงทุกซองล้วน
บรรจุเงินเกล็ดหิมะสองเหรียญ เงินไม่มาก แต่บนซองแดงล้วน
มีประโยคมงคลรับวสันต์ น้ำหมึกเพิ่งจะแห้งไปได้ไม่นานก่อนที่ซิ่วไฉเฒ่าจะออกมาจากสวนกงเต๋อได้ตั้งใจขอให้
คนเขียนให้โดยเฉพาะ
ดังนั้นหลังจากที่ซิ่วไฉเฒ่ามอบซองแดงให้กับหมี่ลี่น้อย
แล้วก็ยิ้มเอ่ยเตือนว่า “หมี่ลี่น้อย อย่าทำซองแดงหายนะ พอ
จะมีค่าอยู่บ้างเล็กน้อย อีกทั้งหลักๆ แล้วคือหายาก ไม่ได้มีให้
เห็นกันบ่อยๆ อนาคตหากวันใดขาดเงินก็เอาไปที่สำ นักศึกษา
กวานหูหรือไม่ก็สำ นักโองการเทพของแจกันสมบัติทวีปพวก
เจ้า หาคนซื้อที่ดูของออก หากให้ราคาต่ำกว่าสองเหรียญเงิน
ฝนธัญพืชก็อย่าขายเด็ดขาด”
ชุยตงซานสะบัดซองแดงในมือ ได้ยินเสียงดังแกร่กๆ คือ
เงินเกล็ดหิมะสองเหรียญ ไม่ใช่เงินร้อนน้อยหรือเงินฝนธัญพืช
ผลคือถูกซิ่วไฉเฒ่าตบหัวเข้าให้
หมี่ลี่น้อยถือซองแดงไว้ด้วยสองมือ ก้มศีรษะคารวะ
โน้มตัวต่ำ เอ่ยเสียงใสกังวานว่า “สวัสดีปีใหม่อาจารย์ผู้เฒ่า
เหวินเซิ่ง ขอบคุณอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ขอให้อาจารย์ผู้เฒ่า
เหวินเซิ่งมีความสุขดุจมหาสมุทรบูรพามีอายุขัยยืนยาวยิ่งกว่า
ภูเขาหนันซาน ยิ่งอยู่ยิ่งอ่อนเยาว์ อารมณ์ดีทุกวัน”ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ตกลง ตกลง”
แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังได้ซองแดงหนึ่งซอง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อาจารย์ ข้าอายุมากขนาดนี้แล้ว
ของข้าไม่ต้องหรอก”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “อยู่กับอาจารย์ พวกเจ้าล้วนเป็น
เด็กน้อย รับไว้ รีบรับไว้เร็วเข้า”
เฉินผิงอันจึงได้แต่เก็บซองแดงมา ตัวอักษรที่เขียนไว้
ข้างบนล้วนมาจากลายมือของคนคนเดียวกัน แต่เนื้อหาของ
ถ้อยคำมงคลบนซองแดงแต่ละซองกลับต่างกันอยู่บ้าง
ยกตัวอย่างเช่นซองของชุยตงซานนั้นเขียนว่าปีใหม่มหามงคล
บนซองแดงของเฉินผิงอันเขียนว่า ‘ทั้งครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข
’ ในเมื่อสามารถแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่ลายมือของหลี่เซิ่งและจิง
เซิงซีผิง นั่นก็เป็นได้แค่ลายมือของปรมาจารย์มหาปราชญ์
แล้ว?
ซิ่วไฉเฒ่าจิบเหล้าหนึ่งอึก กาลเวลานั้นไร้เหตุผลเป็น
ที่สุด เหมือนโจรคนหนึ่งที่ต่อยตีกับคนอื่นโดยที่ไม่เคยพ่ายแพ้
มาก่อน ขโมยของก็ไม่เคยพลาดมาก่อน เฉินผิงอันเติบใหญ่แล้ว อยู่ในวัยไม่สับสนแล้ว เป่าผิงน้อยและเผยเฉียนก็เติบโต
แล้ว ถ้าอย่างนั้นสายเหวินเซิ่ง ตอนนี้ก็เหลือแค่ลูกศิษย์ของ
จวินเชี่ยน เจิ้งโย่วเฉียนเท่านั้นที่ยังถือว่าเป็นเด็กน้อยได้อย่าง
แท้จริง
ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าจึงหันไปมองเจิ้งโย่วเฉียน หัวเราะร่าเอ่ย
ว่า “โย่วเฉียนอ่า ฉวยโอกาสที่อาจารย์อาน้อยของเจ้ายังหนุ่ม
หนุ่มมากๆ อย่าได้รีบร้อนเติบโตเลย อายุน้อย ออกจากบ้าน
ไปอยู่ข้างนอกก็ไม่ต้องรู้ความมากนัก ขอแค่เป็นเรื่องที่
มีเหตุผลก็ไม่ต้องกลัว ทะเลาะได้ก็ทะเลาะ ต่อยตีได้ก็ต่อยตี สู้
ไม่ได้ก็ไม่ต้องรีบหนี บอกชื่ออาจารย์อาน้อยออกไป ถามอีก
ฝ่ายไปเลยว่ากลัวหรือไม่กลัว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากบอกชื่อของอาจารย์อาน้อย
แล้วยังไม่ได้ผลก็รีบบอกชื่อของอาจารย์ปู่ไปเลย”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “บอกชื่อของข้า ระวังว่าจะโดน
ซ้อมสองรอบ”
เจิ้งโย่วเฉียนเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์บอกว่าข้านิสัยแย่
ไม่ให้ข้าต่อยตีกับคนอื่น”อันที่จริงก่อนที่หลิวสือลิ่วจะออกไปจากใต้หล้าไพศาลก็
เคยพูดเรื่องนี้กับเจิ้งโย่วเฉียนมาก่อนจริงๆ หากว่าถูกใคร
รังแกเข้าจริงๆ ก็ห้ามไปรบกวนอาจารย์ปู่ ให้ไปหาอาจารย์อา
น้อยของเจ้า
ซิ่วไฉเฒ่าบ่นอุบ “พูดจาเหลวไหล คราวหน้าข้าได้เจอ
จวินเชี่ยน จะต้องตำหนิเขาสักสองสามคำให้ได้ โย่วเฉียนนิสัย
แย่เสียที่ไหน รับรองดูแลผู้คน มีมารยาทรู้กฎรู้ระเบียบมาก
เลยต่างหาก”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ศิษย์พี่จวินเชี่ยนพูดไม่ผิดเสียหน่อย
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของลูกศิษย์สายเหวิน
เซิ่งพวกเรา มีใครบ้างที่นิสัยดี อืม บางทีอาจมีแค่เป่าผิงกับ
ฉิงหล่างที่ดีเล็กน้อย”
หลี่เป่าผิงยิ้มตาหยี “ธรรมดา ธรรมดา”
เฉาฉิงหล่างยิ้มไม่พูดอะไร
ซิ่วไฉเฒ่ายกจอกเหล้าขึ้น สูดเหล้าดังซู้ด “ก็จริง ก็จริง”
ชุยตงซานยิ้มกว้าง กล้าเถียงและขัดคอต่อหน้าซิ่วไฉ
เฒ่า อีกทั้งซิ่วไฉเฒ่ายังรู้สึกว่าไม่เป็นไร ก็มีแค่อาจารย์ของตนคนเดียวจริงๆ แล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าถาม “ผิงอัน ช่วงนี้มีความมั่นใจเรื่องกลับคืน
มาเป็นห้าขอบเขตบนอีกครั้งไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มั่นใจ”
ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้วางใจ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็สามารถ
อนุญาตให้รายงานขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่งแจกจ่ายออกไปได้
แล้ว ถือว่าช่วยชี้แจงให้เจ้าอย่างกระจ่างว่า เมื่อผ่านศึกของ
ภูเขาทัวเยว่ขอบเขตถดถอยไปมาก จำ เป็นต้องปิดด่านนาน
หลายปี”
ทุกวันนี้ข้อห้ามที่ศาลบุ๋นมีต่อรายงานของสำ นัก เรียกได้
ว่าเข้มงวดมากที่สุดในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา นอกจากอิง
ตามการตัดสินใจของการประชุมศาลบุ๋นครั้งก่อน ไม่อนุญาต
ให้รายงานความคืบหน้าของการศึกในเปลี่ยวร้างโดยพลการ
ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ตัวของสงครามใหญ่ครั้งนี้เองก็ไม่อนุญาตให้
จวนเซียนบนภูเขาลูกใดวิพากษ์วิจารณ์อย่างส่งเดชแล้ว
นอกจากนี้เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของผู้ฝึกตนใหญ่บน
ยอดเขาไม่ว่าคนใดก็ตามของไพศาล รายงานข่าวของแต่ละฝ่ายห้ามกล่าวถึงเด็ดขาด มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น
อย่างเรื่องที่สิงกวานหาวซู่สังหารหนันกวงจ้าว รวมไปถึงเรื่อง
ที่สำ นักซานไห่บอกกล่าวแก่ใต้หล้าไพศาลโดยพลการถึงเรื่อง
ที่เซียนกระบี่หลายท่านของกำแพงเมืองปราณกระบี่ร่วมมือกัน
ไปถามกระบี่ที่เปลี่ยวร้าง และยังมีเรื่องที่เฉินผิงอันสามารถ
ใช้กระบี่ฟันเปิดภูเขาทัวเยว่เพียงลำพังและแกะสลักตัวอักษร
ใหม่ล่าสุดลงบนหัวกำแพงเมือง…นี่ยังเป็นเพราะสำ นักซานไห่
ละเมิดกฎ กระทำการโดยพลการ หากไม่เป็นเพราะหลัง
จบเรื่องเหวินเซิ่งช่วยพูดให้ บวกกับที่อิ่นกวานหนุ่มที่ชื่อเสียง
เลื่องลือไปทั้งใต้หล้าผู้นั้นก็เป็นลูกศิษย์ปิดสำ นักของซิ่วไฉเฒ่า
เป็นเหตุให้เรื่องนี้ในเมื่อเหวินเซิ่งยอมใจกว้างละเว้น ทาง
ฝั่งของศาลบุ๋นถึงได้ใช้มาตรการลงโทษแค่พอเป็นพิธีด้วยการ
ทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก หักเงินเทพเซียนก้อนหนึ่ง
ของสำ นักซานไห่ รายได้ทั้งหมดของรายงานฉบับนั้นต้อง
มอบให้กับศาลบุ๋น รวมไปถึงถูกบันทึกความผิดครั้งหนึ่ง หาไม่
แล้วผู้ที่จับพู่กันเขียนรายงานของสำ นักซานไห่ ทุกวันนี้ก็น่าจะต้องตรากตรำอ่านตำราอริยะปราชญ์อยู่ในสวนกงเต๋อของ
ศาลบุ๋นไปแล้ว
“ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าอาจารย์แกะสลักตัวอักษรบนหัว
กำแพงเมือง รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ”
ชุยตงซานจุ๊ปาก “รอกระทั่งรายงานฉบับนี้เผยกายบน
โลก ได้ยินว่าทุกวันนี้อาจารย์เป็นแค่ขอบเขตก่อกำเนิด คงจะ
รู้สึกว่าท่านเก่งกาจกันขึ้นมาทันที”
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมซิ่วไฉเฒ่าถึงต้องทำสิ่งที่เกินความ
จำ เป็นนี้ ก็ไม่ได้เข้าใจได้ยากนัก ก็เพื่อให้มีคำวิพากษ์วิจารณ์
น้อยลง
ในเมื่อเป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณ
กระบี่ ทำไมถึงไม่ไปใต้หล้าเปลี่ยวร้าง?
ไปมาแล้ว
แต่ต่อจากนี้จะต้องมีข้อสงสัยอย่างใหม่ผุดขึ้นมาแน่นอน
ในเมื่อแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองได้แล้ว
เหตุใดไม่ไปใต้หล้าเปลี่ยวร้างอีกรอบ?
ดังนั้นรายงานข่าวฉบับนี้ก็คือคำอธิบายชุยตงซานกล่าว “ในรายงานฉบับนั้น จำ ไว้ว่าถือโอกาส
พูดถึงเรื่องที่หมี่อันดับหนึ่งของสำ นักกระบี่ชิงผิงพวกเรา
ฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้วด้วย”
ซิ่วไฉเฒ่าถามอย่างกังขา “ในที่สุดเซียนกระบี่หมี่ก็
ฝ่าทะลุขอบเขตแล้วหรือ?”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เพิ่งจะฝ่าทะลุ
ขอบเขต”
ซิ่วไฉเฒ่าตบเข่าฉาด พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เยี่ยมไป
เลย!”
สำ นักวิถีกระบี่แห่งหนึ่งมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน
คนหนึ่งเป็นป้ายอักษรทอง ก็ไม่ต้องมีความกังวลว่าจะเป็น
ไม้ใหญ่ที่เรียกลมอีกแล้ว ต้องเป็นคนอื่นที่อกสั่นขวัญแขวนถึง
จะถูก
แล้วนับประสาอะไรกับที่เซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้คือหมี่อวี้
ชื่อเสียงของคนเงาของต้นไม้ หมี่อวี้ที่ได้ฉายาว่าหมี่ผ่าเอว
มาตอนเป็นเซียนดินสองขอบเขต ทุกวันนี้อยู่ในใต้หล้าไพศาล
ก็นับว่ามีน้ำหนักอย่างมากซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “เมื่อไม่นานมานี้เอง อาจารย์หันที่เป็น
ผู้ริเริ่ม ส่วนข้าก็เสนอแนะไปเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง
ศาลบุ๋นก็รีบเปิดการประชุมเทพภูเขาขนาดเล็กขึ้นมาทันที
ซานจวินของห้ามหาบรรพตแผ่นดินกลางซึ่งรวมถึงภูเขาจวี
ซานและภูเขาจิ่วอี๋ต่างก็ไปกันครบ ยังมีซานจวินของแคว้น
ใหญ่อีกหลายสิบท่านที่นั่งอยู่ในห้องโถงเดียวกัน แน่นอนว่า
พวกเขาใช้วิธีการที่คล้ายคลึงกับที่เทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิว
และอวี้พ่านสุ่ยใช้ในการร่วมงานพิธีของภูเขาเซียนตูวันนี้
พูดคุยกันครึกครื้นยิ่ง โดยเฉพาะพวกโจวโหยว ไหวเหลียน
ที่มาอย่างฮึกเหิม กลับไปอย่างฮึกเหิม ดูจากท่าทางของ
พวกเขาแล้วเหมือนจะยังไม่สาแก่ใจพอด้วยซ้ำ ”
หลี่เซิ่งยังคงเผยตัวน้อยครั้ง
หย่าเซิ่งไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง รับผิดชอบจัดการกิจธุระ
อย่างเป็นรูปธรรมของศาลบุ๋นในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ทุกวันนี้คนที่ดูแลกิจธุระของศาลบุ๋นในแผ่นดินกลาง
อย่างแท้จริงก็คือหลี่เซิ่งแล้ว เจ้าลัทธิหลักรองสามท่านของ
ศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อ ทุกวันนี้คนที่อยู่ในศาลบุ๋นก็มีแค่เจ้าลัทธิรองคนเดียวเท่านั้น ซึ่งอาจารย์หันท่านนี้ก็ถือว่าเป็นผู้ช่วยของ
เหวินเซิ่ง
ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าจึงถูกอาจารย์ผู้เฒ่าแซ่ลี่คนหนึ่งเรียก
อย่างหยอกล้อว่าเป็นแม่บ้าน
หลายวันมานี้ ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ในศาลบุ๋นยุ่งวุ่นวายมาก
จริงๆ หัวหมุนอยู่ตลอดไม่แบ่งกลางวันกลางคืน
ครั้งนี้ศาลบุ๋นเรียกตัวเทพภูเขามาเข้าประชุม เนื่องจาก
เทพวารีต่างก็ทำการคุ้มกันทางน้ำกันไปแล้ว เทพภูเขาอย่าง
พวกเจ้าคงจะนั่งดูดายอยู่เฉยๆ ไม่ได้กระมัง แพร่ออกไปย่อม
ไม่น่าฟัง จะมากจะน้อยก็ควรทำอะไรบ้าง หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูก
นินทาว่าเทพภูเขาอย่างพวกเจ้าได้แต่นั่งเฉยรอเสวยสุขอย่าง
เดียว เพียงแต่ว่าเทพภูเขาระดับสูงของแต่ละแคว้นเว้นจาก
ซานจวินห้ามหาบรรพตแผ่นดินกลางแล้ว เห็นได้ชัดว่าต่างก็
สัมผัสได้ว่าดูเหมือนซิ่วไฉเฒ่าจะจงใจเล่นงานพวกไหวเหลียน
เป็นพิเศษ แม้แต่ซานจวินหญิงของภูเขาแยนจือที่นิสัยดีที่สุด
จูอวี้เซียนที่มีฉายาว่า ‘ขู่ไช่’ ก็ยังถูกกระตุ้นให้เดือดดาลแล้ว
นางตบที่เท้าแขนเก้าอี้อย่างแรง โต้กลับเหวินเซิ่งไปหลายประโยค จูอวี้เซียนยังป่าวประกาศในศาลบุ๋นว่าให้ว่ากันไป
ตามเรื่องตามสถานการณ์ เลิกพูดจาตีวัวกระทบคราดเสียที
เหวินเซิ่งหากเจ้ายังพูดจาเสียดสีเหน็บแนมกันอยู่อย่างนี้ นาง
จะเดินจากไปทันที ขอให้อาจารย์หันวางใจ ภูเขาแยนจือก็
ไม่ทิ้งภาระหน้าที่ อะไรที่ควรทำ ศาลบุ๋นให้ใบรายการมาได้
เลย เมื่อเป็นหน้าที่ก็ไม่มีทางเกี่ยงงอน นางกับภูเขาแยนจือ
จะทำตามทุกเรื่อง แต่วันนี้นางจะไม่มีทางมาทนรองรับ
อารมณ์ใครในศาลบุ๋นแห่งนี้เด็ดขาด จูอวี้เซียนมีสีหน้าดุร้าย
พูดจาเฉียบขาดอย่างที่หาได้ยาก โจวโหยวแห่งภูเขาสุ้ยซาน
ลุกพรวดขึ้นทันใด คิดจะออกไปก่อนเป็นคนแรก ซิ่วไฉเฒ่ารีบ
มายืนอยู่ด้านหลังของโจวโหยว สองมือกดลงบนบ่าของซาน
จวินแห่งภูเขาสุ้ยซาน บอกว่าจะโกรธไปทำไมกัน เพียงแต่ว่า
สายตาของซิ่วไฉเฒ่าในเวลานั้นกลับเหลือบมองไปยังซานจวิน
ภูเขากุ้ยซานที่มีฉายาเทพว่า ‘เทียนจิน’ ฝ่ายหลังที่เพิ่งจะยก
ก้นขึ้นก็ได้แต่นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้อีกครั้ง
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “อันที่จริงการที่ข้าต้องกินน้ำแกง
ประตูปิดบนภูเขาพวกนั้น ข้าเดาเอาว่าก่อนหน้านี้พวกเขาน่าจะได้รับคำสั่งจากปรมาจารย์มหาปราชญ์ จงใจไม่ให้ข้า
เดินขึ้นภูเขา ไม่เกี่ยวกับซานจวินทั้งสี่ท่าน”
ใบหน้าของซิ่วไฉเฒ่าเต็มไปด้วยความละอายใจ “หา?
ถึงกับมีเหตุพลิกผันแบบนี้ด้วยหรือ? ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็
ใส่ร้ายพวกไหวเหลียนเขาแล้ว ไม่เป็นไรๆ ความสามารถอย่าง
อื่นของอาจารย์นั้นไม่มี มีเพียงไม่กลัวความผิดพลาดเป็นที่สุด
คราวหน้าเมื่อเจอกันอีกครั้งก็พูดจาให้ชัดแจ้ง พูดกันอย่าง
ตรงไปตรงมาก็พอ หากพวกเขายังรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ อย่าง
มากอาจารย์ก็แค่ไปขออภัยถึงบ้านก็พอ
ในความเป็นจริงแล้วหลังจากการประชุมเทพภูเขาใน
ศาลบุ๋นครั้งนั้นสิ้นสุดลง ในสวนกงเต๋อ ซิ่วไฉเฒ่าก็รอให้พวก
โจวโหยวมาหา แล้วก็จริงดังคาด ซานจวินทั้งห้าท่าน
พร้อมใจกันมาหา จูอวี้เซียนเอ่ยขออภัยก่อน ซิ่วไฉเฒ่ากลับ
เอ่ยขอบคุณนาง เพราะประโยค ‘ไม่ทิ้งภาระ’ ‘จะทำตามทุกข้อ
’ ของซานจวินหญิงท่านนี้ ก็คือผลลัพธ์ที่ซิ่วไฉเฒ่า หรือควรจะ
บอกว่าศาลบุ๋นต้องการ มีจูอวี้เซียนแสดงท่าทีเช่นนี้นำขึ้น
มาก่อน เทพภูเขาคนอื่นๆ ก็พอจะเข้าใจกันอยู่ในใจแล้ว ส่วนการ ‘ทะเลาะโต้เถียง’ ระหว่างการประชุม ก็เหมือนกับแกล้ม
สองสามจานระหว่างที่ดื่มเหล้าเท่านั้น พูดประโยคที่เป็น
ความจริงสักหน่อย ซานจวินของราชวงศ์ใหญ่พวกนั้น ไม่แน่
ว่าอยากคิดมาแทนที่เสินจวินของห้ามหาบรรพต ถูกเหวิน
เซิ่งค่อนแคะกับปากตัวเองเลยด้วยซ้ำ

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset