นักพรตเด็กหนุ่มยืนอยู่บนขั้นบันได หยางเหล่าโถวแห่งร้านยามักจะนั่งถือกระบอกยาสูบพ่นควันโขมงอยู่ตรงนั้นเป็นประจำ
เฉินผิงอันยืนอยู่ใต้ชายคา เขาก้มหัวกราบตามขนบของลัทธิเต๋าอย่างถูกระเบียบ เงียบงันไม่เอ่ยคำใด
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันแสร้งทำเป็นลึกลับ แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรจริงๆ หลักๆ แล้วยังกังวลด้วยว่าจะเกี่ยวพันไปถึงหลี่หลิ่ว จึงได้แต่บากหน้าทำตัวเป็นน้ำเต้าตัน
นักพรตเด็กหนุ่มสะบัดชายแขนเสื้อ ประสานมือคารวะตามขนบของลัทธิขงจื๊ออย่างเข้าท่าเข้าที เพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
เด็กหนุ่มนั่งลงบนขั้นบันได ผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “เชิญนั่งตามสบาย พวกเราต่างก็เป็นแขก อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยมากเกินไปนัก”
ข้าเป็นแขกที่ผ่านทางมา เจ้าในเวลานี้ก็เหมือนกัน แต่หลังจากนี้กลับไม่แน่เสมอไป
เฉินผิงอันขยับเท้าไปนั่งลงบนม้านั่งยาว มีเพดานเปิดอ้าที่น้ำสี่ทิศมารวมกันในโถงเดียวกั้นขวางเขากับเด็กหนุ่มเอาไว้ ทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
สถานะของนักพรตเด็กหนุ่มตรงหน้า ไม่ต้องเดาเลย
เคยขี่วัวผ่านด่าน ท่องเที่ยวไปในใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างสบายอุรา แค่ชี้นิ้วง่ายๆ หนึ่งทีก็ซัดปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าให้ร่วงกลับไปที่ก้นบ่อโบราณ ทิ้งร่องรอยที่หลายพันปีก็ไม่อาจลบเลือนไว้บนร่างของอีกฝ่าย
และยิ่งบีบให้บรรพบุรุษใหญ่ชูเซิงต้องหลบหนีไปอยู่นอกฟ้า ไม่กล้าโผล่หน้ามา
ต่อให้เป็นนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ ยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาที่ ‘ทุกๆ สามวันห้าวันจะต้องไปถามไถ่ทักทายผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง’ เล่าลือกันว่าตอนที่เดินทางมาเยือนใต้หล้าไพศาล ทุกครั้งที่พูดคุยถึงมรรคาจารย์เต๋าผู้ก่อสร้างป๋ายอวี้จิงกับพวกป๋ายเหย่ก็ยังรู้สึกเป็นเกียรติ พูดจามั่นเหมาะน่าเชื่อถือว่า ขอรับประกันว่าคนที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุดในใต้หล้ายังคงเป็นท่านผู้นั้นของใต้หล้ามืดสลัวข้า
อยู่กับมรรคาจารย์เต๋า ทั้งที่เข้าใจแต่แสร้งทำเป็นเลอะเลือน ไม่ได้มีความหมายใดๆ ส่วนคนที่เลอะเลือนแต่แกล้งทำเป็นเข้าใจก็ยิ่งเป็นที่ตลกขบขันของคนอื่นเข้าไปใหญ่
มรรคาจารย์เต๋ามองภาพบรรยากาศของขอบเขตสิบสี่บนร่างเฉินผิงอันแล้วยิ้มเอ่ยว่า “คำว่าหลี่ (มารยาทและพิธีการ) ยากที่จะมีครบถ้วนทั้งเหตุผลและอารมณ์ ทั้งยังไม่ตายตัว จอมปราชญ์น้อยยังคงร้ายกาจอยู่มาก”
จากนั้นมรรคาจารย์เต๋าก็พูดเปิดโปงความลับสวรรค์ด้วยประโยคว่า “เจ้าสามารถแบกรับขอบเขตส่วนนี้ของลู่เฉินเอาไว้ได้ สิ่งที่สลายกระจายไปมีน้อยมาก สาเหตุไม่ได้เพียงแค่เพราะหลี่เซิ่งและลู่เฉินเท่านั้น คุณสมบัติของ ‘เรือกลวง’ บนร่างเจ้ามีค่อนข้างสูง ซึ่งนี่ก็มีความเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย มีเพียงมหามรรคาที่ถึงจะสามารถรวบรวมสภาพจิตใจที่นิ่งสงบว่างเปล่าเอาไว้ได้ สภาพจิตใจที่ว่างเปล่าใสสะอาดเรียกว่าศีลใจ ผู้ที่ปล่อยวางได้ฟ้าดินย่อมกว้างใหญ่ พูดถึงแค่ในบรรดาคนที่เจ้ารู้จัก โจวมี่ ชุยฉาน ฉีจิ้งชุน เจิ้งจวีจง อู๋ซวงเจี้ยง ล้วนเป็นจำพวกบัณฑิต หากเอ่ยถ้อยคำที่ธรรมดาสามัญสักหน่อย ก็คือคนคนหนึ่งต้องมีท้องที่ว่างเปล่าถึงจะกินได้มากขึ้น เหตุใดผู้ฝึกตนถึงแตกต่างจากคนทั่วไป อะไรคือคำกล่าวที่ว่าขึ้นเขาฝึกเป็นเซียน ก็หนีไม่พ้นการเจาะภูเขาทำเป็นเรือนพัก เอาเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ความคิดอันซับซ้อนลมปราณอันขุ่นมัวของมนุษย์ธรรมดาย้ายออกไป นำปราณวิญญาณฟ้าดิน วาสนามรรคกถาและบุญบารมีความโชคดีย้ายเข้ามา”
คนชุดเขียวผู้หนึ่งนั่งตัวตรงอย่างสำรวม คล้ายกับเด็กประถมในโรงเรียนที่เพิ่งได้เริ่มอ่านหนังสือรู้จักตัวอักษร
ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตบินทะยานหรือขอบเขตสิบสี่ล้วนไม่กล้าเรียกชื่อโจวมี่ออกมาตรงๆ เพราะกลัวว่าจะเปิดเผยความลับของโลกมนุษย์ให้แก่บนฟ้า
มรรคาจารย์เต๋าหัวเราะ ดูเหมือนว่าเจ้าหมอนี่จะยังถูกปิดหูปิดตา ก็เป็นเรื่องปกติ สามลัทธิเมธีร้อยสำนัก มีหรือจะปล่อยให้หนึ่งนั้นได้รับการยอมรับจากผู้ครองกระบี่ตั้งแต่อายุน้อยๆ? และยิ่งมีศิษย์พี่สองคนคอยจับตามองอยู่ ต่อให้เฉินผิงอันคิดจนหัวแตกก็ไม่มีทางคิดมาถึงตัวเอง ไม่มีทางนึกได้ว่าบนเส้นทางของการเดินทางไกลตลอดหลายปีมานี้ แท้จริงแล้วไม่เพียงแต่เป็นการถือเทียนท่องราตรีเท่านั้น แต่ยังเป็นการถือโคมยามทิวาอีกด้วย
เพียงแต่มรรคาจารย์เต๋าไม่รีบร้อนเปิดเผยเรื่องนี้ เขาถามว่า “นับแต่เด็กมาเจ้าก็ใกล้ชิดกับพระธรรม อีกทั้งยังมีความเข้าใจในเรื่องของการยอมรับและการปฏิเสธค่อนข้างมาก ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรู้ถึงสัจธรรมสามประโยคสินะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “พระพุทธเจ้าตรัสว่าโลก ทั้งไม่ใช่โลก แต่ชื่อเดิมคือโลก”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กล่าวได้ดี แต่พูดเฉยๆ ไม่สู้ยกตัวอย่างให้ฟัง หลักการเหตุผลคือความว่างเปล่าในฟ้าดิน ตัวอย่างก็คือจุดพักม้าคือท่าเรือ ทำให้คนฟังมีพื้นที่ให้หยัดยืน ไม่อย่างนั้นยอดฝีมือใช้เหตุผล ก็คงเหมือนการขี่กระเรียนไปเยือนหยางโจวแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ซูจื่อมีกวีบทหนึ่งบอกไว้ว่า เมฆเรืองรองแห่งเมืองตันโจว คลื่นน้ำแห่งนทีเฉียนถัง หากไร้วาสนาได้ไปชม ต้องเสียดายไปชั่วชีวิต เมื่อถึงคราได้มาเยือนกลับค้นพบว่าก็มีเพียงเท่านั้น เมฆเรืองรองแห่งเมืองตันโจว คลื่นน้ำแห่งนทีเฉียนถัง”
มรรคาจารย์เต๋ากล่าว “พูดอีก”
เฉินผิงอันตอบ “เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋าที่เที่ยงแท้”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มกล่าว “มิน่าเล่าซูจื่อถึงมอบเทียบอักษรให้ว่องไวเต็มใจยิ่งกว่าหลิ่วชี แล้วก็ไม่แปลกที่เจ้าอารามซุนโปรดปรานเจ้าเป็นพิเศษ กลับไปถึงบ้านเกิดเจอใครก็บอกว่ามีสหายน้อยอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลคนหนึ่ง เป็นคนอัศจรรย์”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ตนยังไม่ทันไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว ชื่อเสียงก็เลื่องลือไปทั่วหัวถนนแล้วหรือ? แบบนี้จะถือว่าสุราหอมมิต้องกลัวอยู่ในตรอกลึกหรือไม่?
มรรคาจารย์เต๋าถามว่า “เคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดศิษย์พี่สองคนนั้นของเจ้าถึงกล้าทำเรื่องจับตะพาบในไห? เมื่อหมื่นปีก่อน พวกเราสามคนก็ไม่อาจขจัดภัยแฝงอย่างซากปรักสรวงสวรรค์เก่านี้ได้อย่างสิ้นซาก ทุกวันนี้โจวมี่เข้าไปอยู่ในนั้น คาดว่าระดับความยากคงมากยิ่งกว่าเดิม แต่ตอนนี้พวกเราทั้งสามจะสลายมรรคาแล้ว เรื่องของการจัดการกับน้ำ แต่ไหนแต่ไรมาการอุดกั้นก็ไม่สู้การปล่อยให้ไหลผ่าน หลักการนี้ ชุยฉานและฉีจิ้งชุนต่างก็ไม่ใช่คนที่สายตาคับแคบ มีหรือจะไม่เข้าใจ? เจ้าลองคิดอีกทีว่า เหตุใดโจวมี่ถึงได้พาผู้คนขึ้นฟ้า เขากำลังรอคอยอะไรอยู่กันแน่? คิดจะเสริมตำแหน่งเทพให้ครบ ก็น่าจะพอๆ กับกองโหราศาสตร์ในราชวงศ์โลกมนุษย์ของพวกเรา เป็นดั่งหัวไชเท้าหนึ่งหัวกับหลุมหนึ่งหลุมมาโดยตลอด”
มรรคาจารย์เต๋าพูดมาถึงตรงนี้ก็ยิ้มเอ่ยว่า “โจวมี่คงไม่ได้เอาแต่รอพวกเราสามคนไปขวางประตูหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ผู้เยาว์คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ”
“เพราะบนโลกมนุษย์มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้โจวมี่ผู้ซึ่งวางแผนรอบคอบรัดกุมกลายเป็นประมาทเลินเล่อไปได้”
มรรคาจารย์เต๋ายกมือขึ้นชี้มาที่เฉินผิงอัน “ก็คือเจ้า นกในกรง”
โจวมี่ที่อยู่บนฟ้า เฉินผิงอันที่อยู่ในโลกมนุษย์มีการชักคะเย่อในด้านนิสัยใจคอกันอย่างหนึ่งอยู่ และสุดท้ายแล้วจะเป็นตัวตัดสินว่าใครที่จะสามารถเป็นหนึ่งนั้นที่ใหม่เอี่ยมและแข็งแกร่งยิ่งกว่า
ภูเขาลั่วพั่ว? วิญญาณ (พั่ว) กลับสู่ฟ้า วิญญาณกลับสู่ดิน
แน่นอนว่าโจวมี่ย่อมต้องมีวิธีการเป็นของตัวเอง บุกเบิกหาเส้นทางใหม่ บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ หาวิธีในการคลี่คลายปัญหา ไม่มีทางอยู่นิ่งเฉยรอความตายอย่างแน่นอน
มรรคาจารย์เต๋าเอ่ย “ดังนั้นชิงถงเทียนจวินถึงทิ้งจดหมายทางบ้านไว้ให้เจ้าฉบับหนึ่ง ถามว่าเจ้ากินอิ่มแล้วหรือไม่”
เส้นเอ็นหัวใจของเฉินผิงอันพลันขึงตึงขึ้นมาทันใด สองมือกำหมัดหลวมๆ วางไว้บนหัวเข่า สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ถามเสียงหนัก “ข้าก็คือ…หนึ่งนั้น?”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มเอ่ย “ฉีจิ้งชุนเอาภาระหนักอึ้งวางไว้บนบ่าเจ้าแต่เนิ่นๆ จริงเสียด้วย”
เฉินผิงอันพลันเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เหตุใดโจวจื่อที่คิดคำนวณได้อย่างครอบคลุมถึงได้ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเด็กกำพร้าของตรอกหนีผิงมาตั้งแต่แรก บุคคลอย่างโจวจื่อนี้ เดิมทีก็สามารถมองทะลุความเป็นความตาย หลุดพ้นจากความดีความเลวไปแล้ว
ตอนเป็นเด็กขึ้นเขาไปเก็บยาสมุนไพร ครั้งนั้นได้ถูกน้ำท่วมในภูเขากีดขวาง ภายหลังหยางเหล่าโถวจึงถ่ายทอดวิชาการหายใจให้บทหนึ่ง เพื่อเป็นของแลกเปลี่ยน เฉินผิงอันต้องทำกระบอกยาสูบอันหนึ่งให้เขา
ตอนที่กลับมาจากเมืองหลวงต้าสุยก็ได้มอบกระบี่บินให้เขาหนึ่งเล่ม ถูกเฉินผิงอันตั้งชื่อให้ว่าสืออู่ เหตุผลของหยางเหล่าโถวก็คือบ้านใครยามปีใหม่ไม่กินเกี๊ยวกันบ้างเล่า
บวกกับตัวอ่อนกระบี่บินที่เดิมทีมีชื่อว่า ‘เสี่ยวเฟิงตู’ เล่มนั้น ชูอี สืออู่ ความหมายก็คือหลบพ้นชูอี (วันที่หนึ่งของเดือน) แต่หลบไม่พ้นสืออู่ (วันที่สิบห้าของเดือน)
คิดไม่ถึงว่าที่หลบไม่พ้นที่สุด ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเฉินผิงอันเอง
ออกจากบ้านเดินทางไกลอีกครั้ง นำกระบี่ไปมอบให้หนิงเหยาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ บนข้อเท้าแปะยันต์ลมปราณที่แท้จริงเอาไว้
เฉินผิงอันถาม “เป็นข้ามาตั้งแต่แรกเลยหรือ?”
มรรคาจารย์เต๋าส่ายหน้า “นั่นก็ดูแคลนวิธีการของชิงถงเทียนจวินเกินไปแล้ว หนึ่งนี้ เป็นเจ้าที่เรียกร้องมาเอง”
เฉินผิงอันถอนหายใจโล่งอก ถามเข้าประเด็นโดยตรง “ขอถามมรรคาจารย์เต๋า สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้หรือไม่ อีกทั้งข้ายังคงเป็นข้าอยู่เหมือนเดิม?”
มรรคาจารย์เต๋าหัวเราะหึหึ “ขอให้ตัวเองโชคดีเถิด”
เฉินผิงอันบื้อใบ้
มรรคาจารย์เต๋าเดาได้ว่าเฉินผิงอันคงคิดไปคนละทางแล้ว นั่นก็เพราะคำกล่าวที่เดิมทีก็ดีๆ อยู่ กลับถูกคนบนโลกแพร่กระจายกันไปจนความหมายผิดเพี้ยนจากเดิมไปเรื่อยๆ แล้ว ดังนั้นมรรคาจารย์เต๋าจึงแก้ประโยคเล็กน้อย “คนที่ช่วยเหลือตัวเองมักมีโชคดี”
เฉินผิงอันถาม “หากหลี่หลิ่วหรือไม่ก็หม่าขู่เสวียนได้เห็นตัวอักษรเหล่านั้น ถ้าอย่างนั้นจะเป็นลายมือของใคร?”
เฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดมาโดยตลอดว่าตัวอักษรเหล่านั้นมาจากลายมือของหลี่หลิ่วหรือไม่ก็หม่าขู่เสวียน
มรรคาจารย์เต๋าส่ายหน้า “ไม่แน่หรอก สิ่งที่หลี่หลิ่วมองเห็น บางทีอาจเป็นต่งสุ่ยจิ่งที่ราวกับว่าคอยทวงหนี้แทนคนอื่น หรือไม่ก็เป็นหลินโส่วอีที่ ‘จิตแห่งมรรคาเฝ้าหนึ่ง’ สิ่งที่หม่าขู่เสวียนมองเห็น บางทีอาจเป็นเทพอัคคีหร่วนซิ่ว หรือไม่ก็เทพวารีหลี่หลิ่ว สิ่งที่กู้ช่านมองเห็นบางทีอาจเป็นซ่งจี๋ซิน หรือไม่ก็จ้าวเหยาผู้แต้มนัยน์ตามังกร สิ่งที่หร่วนซิ่วมองเห็นก็อาจจะเป็นลายมือของเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงหรือไม่ก็หลิวเสี้ยนหยาง แค่พอจะแน่ใจในข้อหนึ่ง ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็ล้วนคิดว่าไม่ใช่ลายมือของตัวเอง”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มกล่าว “เมื่อในใจเจ้ามั่นใจในเรื่องหนึ่งก็จะคอยหาเหตุผลและหลักฐานมาสนับสนุนความคิดส่วนนี้ของพวกเจ้าอย่างต่อเนื่อง คนงานเตาเผา คนฆ่าสัตว์ คนชันสูตรศพ ช่างไม้ นายพรานหาฟืน ชาวประมงจับปลา เพียงแค่เพราะทักษะของแต่ละคนแตกต่างกันไป ถ้าอย่างนั้นมองโลกใบเดียวกันก็จะมีการให้ความสำคัญที่แตกต่างกันไป”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วมุ่น ถามหยั่งเชิงว่า “ตัวอักษรพวกนั้นคล้ายคลึงกับเมืองหงจู๋? ราวกับจุดตัดของแม่น้ำแห่งกาลเวลาแห่งหนึ่ง เป็นเหตุให้ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นไปได้ ขณะเดียวกันใครก็ไม่ใช่คนแกะสลักตัวอักษร?”
มรรคาจารย์เต๋าตอบไม่ตรงคำถาม “การที่ชิงถงเทียนจวินร่ายตราผนึกนี้ไว้ก็เพื่อให้คนรุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้าไม่ถึงขั้นเหน็ดเหนื่อยใจบนเส้นทางการฝึกตนในอนาคตมากเกินไป แน่นอนว่าสิ่งที่เขาเป็นกังวลมากยิ่งกว่าก็คือหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกหล่นร่วงลงมาหยั่งรากลงบนพื้นดินแล้ว จะต้องสูญเสียสิ่งกีดขวางที่สกัดกั้นความลับสวรรค์ชั้นหนึ่งไป เมื่อพวกคนรุ่นเยาว์พากันออกไปหาประสบการณ์ด้านนอกก็จะเป็นการแพร่งพรายเบาะแสที่เกี่ยวข้องเร็วก่อนเวลาเกินไป”
เกี่ยวกับทิศทางการไหลไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลา คือข้อห้ามที่ไม่เล็กข้อหนึ่ง ผู้ฝึกตนต้องไปสืบเสาะตามหากันเอาเอง
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มกล่าว “ตอนนี้เจ้าสามารถตอบคำถามก่อนหน้านั้นได้แล้วใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันหันหน้ามองไปยังทิศทางของตรอกหนีผิงตามจิตใต้สำนึก
จากตรอกเล็กเดินมาถึงร้านยาแห่งนี้ หากว่ามีเงินซื้อยา ต่อให้เป็นอากาศที่มีลมหิมะ เส้นทางเปื้อนดินโคลน ก็ยังจะเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบา แต่หากในกระเป๋าไม่มีเงิน เส้นทางเดียวกัน ต่อให้ตลอดทั้งเส้นทางมีดอกไม้ฤดูใบไม้ร่วงผลิบาน ก็ยังทำให้ฝีเท้าของคนโซซัดโซเซ เหนื่อยล้าสิ้นเรี่ยวแรงได้อยู่ดี
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ย่อมเกิดจากสภาพจิตใจ ทุกวิธีการล้วนไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลำพัง จำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่สอดคล้องกันจึงจะเกิดขึ้นได้ ขึ้นเขาลงห้วย แต่กลับไม่อิดออดชักช้า นี่ก็คือคำว่าตัดความกังวลในใจทิ้งไป เพียงสนใจแต่เรื่องภายนอกอย่างที่ลัทธิพุทธกล่าวถึง แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์ของตนยังเคยให้คำอธิบายประโยคที่ว่า ‘ใจคนเป็นภัยไม่แน่นอน แก่นแห่งมรรคาจึงจะละเอียดอ่อน’ เอาไว้ด้วย
ตอนเด็กเรื่องของการเผาเครื่องปั้น ความรู้ที่ใหญ่ที่สุดก็หนีไม่พ้นสี่คำ ใจมั่นมือคล่อง (เปรียบเปรยว่าราบรื่นไปทุกอย่าง) ใจมุ่งไป มือทำตาม
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ต้องเดินเตร็ดเตร่ในตรอกไปเรื่อยเปื่อยเพียงลำพังเพียงแค่เพื่อหาเงินเหรียญทองแดงสักเหรียญบนพื้น แล้วก็ไม่ต้องรอคอยให้คนอื่นเปิดประตูบ้าน ข้ารู้สึกว่าล้วนไม่ยากลำบาก”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มถาม “เคยเก็บเงินได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างเขินอาย “เคยเก็บได้อยู่สองสามเหรียญจริงๆ”
ในค่ำคืนที่ต้องคอยแย่งน้ำกับคนอื่น มีเด็กคนหนึ่งนอนอยู่บนคันนา ยกขานั่งไขว่ห้าง เคี้ยวต้นหญ้าในปาก เหนือศีรษะคือทางช้างเผือกพร่างพราว เด็กชายชูเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งที่ตอนกลางวันเก็บมาจากบนพื้นขึ้นสูง
มรรคาจารย์เต๋ายกมือขึ้นชี้ไปที่ศีรษะ จากนั้นชี้ไปที่หัวใจ “ความมีเหตุผลของคนคนหนึ่งคือการสรุปรวมความรู้ที่สะสมมาในภายหลัง คือเส้นทางแต่ละเส้นที่พวกเราบุกเบิกกันเอง แต่ความรู้สึกของพวกเรากลับเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่เกิด มาจากหัวใจ อันว่าหัวใจนั้นเป็นประธานใหญ่ที่สุด เป็นช่องทางแสดงออกทางด้านความคิดและจิตวิญญาณ น่าเสียดายที่มนุษย์ต้องเหนื่อยยากเพราะสิ่งของนอกกาย ความคิดไม่มีอิสระจึงต้องทำสิ่งที่ฝืนใจ เป็นเหตุให้การฝึกตนนั้น พูดหนึ่งพันกล่าวหนึ่งหมื่น สุดท้ายก็หนีไม่พ้นคำว่าใจ”
“เฉินผิงอัน ขอถามเถอะว่าวัตถุประสงค์ของคำว่า ‘ศาสตร์’ ทั้งหลายบนโลกใบนี้นั้นอยู่ที่ใด?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดเล็กน้อยก็ตอบว่า “สามารถพิสูจน์ว่าเป็นเท็จ สามารถแก้ไขความผิด”
มรรคาจารย์เต๋าถามอีก “มรรคาอยู่ที่ใด?”
เฉินผิงอันตอบ “สามารถทำให้ใจคนใฝ่หา ผสานรวมกับหมื่นฟ้าดินและสรรพสิ่งให้เป็นหนึ่ง พ้นแล้วจากอุปาทาน”
มรรคาจารย์เต๋าพยักหน้ารับ คล้ายจะพอใจในคำตอบของเฉินผิงอันอยู่บ้าง สีหน้าเขาจึงมีความสะทกสะท้อนใจอยู่หลายส่วน “ร้อยบุปผาประชันกันผลิบาน พันนาวาช่วงชิงกันไหลล่อง ปราชญ์ผู้ล่วงลับเผ่ามนุษย์ที่เปลี่ยนฟ้าผลัดดินในช่วงแรกเริ่มสุดนั้น ท่ามกลางช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่ยากจะใช้ถ้อยคำมาบรรยายได้ ไม่ว่าจะเป็นฝึกตนเดินขึ้นเขา หรือการศึกษาหาความรู้ก็ล้วนเป็นช่วงเวลาที่งดงามอย่างมากทั้งสิ้น”
มรรคาจารย์เต๋าลุกขึ้นยืน “ตามข้าไปที่ตรอกหนีผิงรอบหนึ่ง”
นักพรตเด็กหนุ่มยืนอยู่บนขั้นบันได หยางเหล่าโถวแห่งร้านยามักจะนั่งถือกระบอกยาสูบพ่นควันโขมงอยู่ตรงนั้นเป็นประจำ
เฉินผิงอันยืนอยู่ใต้ชายคา เขาก้มหัวกราบตามขนบของลัทธิเต๋าอย่างถูกระเบียบ เงียบงันไม่เอ่ยคำใด
ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันแสร้งทำเป็นลึกลับ แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรจริงๆ หลักๆ แล้วยังกังวลด้วยว่าจะเกี่ยวพันไปถึงหลี่หลิ่ว จึงได้แต่บากหน้าทำตัวเป็นน้ำเต้าตัน
นักพรตเด็กหนุ่มสะบัดชายแขนเสื้อ ประสานมือคารวะตามขนบของลัทธิขงจื๊ออย่างเข้าท่าเข้าที เพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
เด็กหนุ่มนั่งลงบนขั้นบันได ผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “เชิญนั่งตามสบาย พวกเราต่างก็เป็นแขก อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยมากเกินไปนัก”
ข้าเป็นแขกที่ผ่านทางมา เจ้าในเวลานี้ก็เหมือนกัน แต่หลังจากนี้กลับไม่แน่เสมอไป
เฉินผิงอันขยับเท้าไปนั่งลงบนม้านั่งยาว มีเพดานเปิดอ้าที่น้ำสี่ทิศมารวมกันในโถงเดียวกั้นขวางเขากับเด็กหนุ่มเอาไว้ ทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
สถานะของนักพรตเด็กหนุ่มตรงหน้า ไม่ต้องเดาเลย
เคยขี่วัวผ่านด่าน ท่องเที่ยวไปในใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างสบายอุรา แค่ชี้นิ้วง่ายๆ หนึ่งทีก็ซัดปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าให้ร่วงกลับไปที่ก้นบ่อโบราณ ทิ้งร่องรอยที่หลายพันปีก็ไม่อาจลบเลือนไว้บนร่างของอีกฝ่าย
และยิ่งบีบให้บรรพบุรุษใหญ่ชูเซิงต้องหลบหนีไปอยู่นอกฟ้า ไม่กล้าโผล่หน้ามา
ต่อให้เป็นนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ ยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาที่ ‘ทุกๆ สามวันห้าวันจะต้องไปถามไถ่ทักทายผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง’ เล่าลือกันว่าตอนที่เดินทางมาเยือนใต้หล้าไพศาล ทุกครั้งที่พูดคุยถึงมรรคาจารย์เต๋าผู้ก่อสร้างป๋ายอวี้จิงกับพวกป๋ายเหย่ก็ยังรู้สึกเป็นเกียรติ พูดจามั่นเหมาะน่าเชื่อถือว่า ขอรับประกันว่าคนที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุดในใต้หล้ายังคงเป็นท่านผู้นั้นของใต้หล้ามืดสลัวข้า
อยู่กับมรรคาจารย์เต๋า ทั้งที่เข้าใจแต่แสร้งทำเป็นเลอะเลือน ไม่ได้มีความหมายใดๆ ส่วนคนที่เลอะเลือนแต่แกล้งทำเป็นเข้าใจก็ยิ่งเป็นที่ตลกขบขันของคนอื่นเข้าไปใหญ่
มรรคาจารย์เต๋ามองภาพบรรยากาศของขอบเขตสิบสี่บนร่างเฉินผิงอันแล้วยิ้มเอ่ยว่า “คำว่าหลี่ (มารยาทและพิธีการ) ยากที่จะมีครบถ้วนทั้งเหตุผลและอารมณ์ ทั้งยังไม่ตายตัว จอมปราชญ์น้อยยังคงร้ายกาจอยู่มาก”
จากนั้นมรรคาจารย์เต๋าก็พูดเปิดโปงความลับสวรรค์ด้วยประโยคว่า “เจ้าสามารถแบกรับขอบเขตส่วนนี้ของลู่เฉินเอาไว้ได้ สิ่งที่สลายกระจายไปมีน้อยมาก สาเหตุไม่ได้เพียงแค่เพราะหลี่เซิ่งและลู่เฉินเท่านั้น คุณสมบัติของ ‘เรือกลวง’ บนร่างเจ้ามีค่อนข้างสูง ซึ่งนี่ก็มีความเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย มีเพียงมหามรรคาที่ถึงจะสามารถรวบรวมสภาพจิตใจที่นิ่งสงบว่างเปล่าเอาไว้ได้ สภาพจิตใจที่ว่างเปล่าใสสะอาดเรียกว่าศีลใจ ผู้ที่ปล่อยวางได้ฟ้าดินย่อมกว้างใหญ่ พูดถึงแค่ในบรรดาคนที่เจ้ารู้จัก โจวมี่ ชุยฉาน ฉีจิ้งชุน เจิ้งจวีจง อู๋ซวงเจี้ยง ล้วนเป็นจำพวกบัณฑิต หากเอ่ยถ้อยคำที่ธรรมดาสามัญสักหน่อย ก็คือคนคนหนึ่งต้องมีท้องที่ว่างเปล่าถึงจะกินได้มากขึ้น เหตุใดผู้ฝึกตนถึงแตกต่างจากคนทั่วไป อะไรคือคำกล่าวที่ว่าขึ้นเขาฝึกเป็นเซียน ก็หนีไม่พ้นการเจาะภูเขาทำเป็นเรือนพัก เอาเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ความคิดอันซับซ้อนลมปราณอันขุ่นมัวของมนุษย์ธรรมดาย้ายออกไป นำปราณวิญญาณฟ้าดิน วาสนามรรคกถาและบุญบารมีความโชคดีย้ายเข้ามา”
คนชุดเขียวผู้หนึ่งนั่งตัวตรงอย่างสำรวม คล้ายกับเด็กประถมในโรงเรียนที่เพิ่งได้เริ่มอ่านหนังสือรู้จักตัวอักษร
ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตบินทะยานหรือขอบเขตสิบสี่ล้วนไม่กล้าเรียกชื่อโจวมี่ออกมาตรงๆ เพราะกลัวว่าจะเปิดเผยความลับของโลกมนุษย์ให้แก่บนฟ้า
มรรคาจารย์เต๋าหัวเราะ ดูเหมือนว่าเจ้าหมอนี่จะยังถูกปิดหูปิดตา ก็เป็นเรื่องปกติ สามลัทธิเมธีร้อยสำนัก มีหรือจะปล่อยให้หนึ่งนั้นได้รับการยอมรับจากผู้ครองกระบี่ตั้งแต่อายุน้อยๆ? และยิ่งมีศิษย์พี่สองคนคอยจับตามองอยู่ ต่อให้เฉินผิงอันคิดจนหัวแตกก็ไม่มีทางคิดมาถึงตัวเอง ไม่มีทางนึกได้ว่าบนเส้นทางของการเดินทางไกลตลอดหลายปีมานี้ แท้จริงแล้วไม่เพียงแต่เป็นการถือเทียนท่องราตรีเท่านั้น แต่ยังเป็นการถือโคมยามทิวาอีกด้วย
เพียงแต่มรรคาจารย์เต๋าไม่รีบร้อนเปิดเผยเรื่องนี้ เขาถามว่า “นับแต่เด็กมาเจ้าก็ใกล้ชิดกับพระธรรม อีกทั้งยังมีความเข้าใจในเรื่องของการยอมรับและการปฏิเสธค่อนข้างมาก ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรู้ถึงสัจธรรมสามประโยคสินะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “พระพุทธเจ้าตรัสว่าโลก ทั้งไม่ใช่โลก แต่ชื่อเดิมคือโลก”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “กล่าวได้ดี แต่พูดเฉยๆ ไม่สู้ยกตัวอย่างให้ฟัง หลักการเหตุผลคือความว่างเปล่าในฟ้าดิน ตัวอย่างก็คือจุดพักม้าคือท่าเรือ ทำให้คนฟังมีพื้นที่ให้หยัดยืน ไม่อย่างนั้นยอดฝีมือใช้เหตุผล ก็คงเหมือนการขี่กระเรียนไปเยือนหยางโจวแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ซูจื่อมีกวีบทหนึ่งบอกไว้ว่า เมฆเรืองรองแห่งเมืองตันโจว คลื่นน้ำแห่งนทีเฉียนถัง หากไร้วาสนาได้ไปชม ต้องเสียดายไปชั่วชีวิต เมื่อถึงคราได้มาเยือนกลับค้นพบว่าก็มีเพียงเท่านั้น เมฆเรืองรองแห่งเมืองตันโจว คลื่นน้ำแห่งนทีเฉียนถัง”
มรรคาจารย์เต๋ากล่าว “พูดอีก”
เฉินผิงอันตอบ “เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋าที่เที่ยงแท้”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มกล่าว “มิน่าเล่าซูจื่อถึงมอบเทียบอักษรให้ว่องไวเต็มใจยิ่งกว่าหลิ่วชี แล้วก็ไม่แปลกที่เจ้าอารามซุนโปรดปรานเจ้าเป็นพิเศษ กลับไปถึงบ้านเกิดเจอใครก็บอกว่ามีสหายน้อยอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลคนหนึ่ง เป็นคนอัศจรรย์”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ตนยังไม่ทันไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว ชื่อเสียงก็เลื่องลือไปทั่วหัวถนนแล้วหรือ? แบบนี้จะถือว่าสุราหอมมิต้องกลัวอยู่ในตรอกลึกหรือไม่?
มรรคาจารย์เต๋าถามว่า “เคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดศิษย์พี่สองคนนั้นของเจ้าถึงกล้าทำเรื่องจับตะพาบในไห? เมื่อหมื่นปีก่อน พวกเราสามคนก็ไม่อาจขจัดภัยแฝงอย่างซากปรักสรวงสวรรค์เก่านี้ได้อย่างสิ้นซาก ทุกวันนี้โจวมี่เข้าไปอยู่ในนั้น คาดว่าระดับความยากคงมากยิ่งกว่าเดิม แต่ตอนนี้พวกเราทั้งสามจะสลายมรรคาแล้ว เรื่องของการจัดการกับน้ำ แต่ไหนแต่ไรมาการอุดกั้นก็ไม่สู้การปล่อยให้ไหลผ่าน หลักการนี้ ชุยฉานและฉีจิ้งชุนต่างก็ไม่ใช่คนที่สายตาคับแคบ มีหรือจะไม่เข้าใจ? เจ้าลองคิดอีกทีว่า เหตุใดโจวมี่ถึงได้พาผู้คนขึ้นฟ้า เขากำลังรอคอยอะไรอยู่กันแน่? คิดจะเสริมตำแหน่งเทพให้ครบ ก็น่าจะพอๆ กับกองโหราศาสตร์ในราชวงศ์โลกมนุษย์ของพวกเรา เป็นดั่งหัวไชเท้าหนึ่งหัวกับหลุมหนึ่งหลุมมาโดยตลอด”
มรรคาจารย์เต๋าพูดมาถึงตรงนี้ก็ยิ้มเอ่ยว่า “โจวมี่คงไม่ได้เอาแต่รอพวกเราสามคนไปขวางประตูหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ผู้เยาว์คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ”
“เพราะบนโลกมนุษย์มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้โจวมี่ผู้ซึ่งวางแผนรอบคอบรัดกุมกลายเป็นประมาทเลินเล่อไปได้”
มรรคาจารย์เต๋ายกมือขึ้นชี้มาที่เฉินผิงอัน “ก็คือเจ้า นกในกรง”
โจวมี่ที่อยู่บนฟ้า เฉินผิงอันที่อยู่ในโลกมนุษย์มีการชักคะเย่อในด้านนิสัยใจคอกันอย่างหนึ่งอยู่ และสุดท้ายแล้วจะเป็นตัวตัดสินว่าใครที่จะสามารถเป็นหนึ่งนั้นที่ใหม่เอี่ยมและแข็งแกร่งยิ่งกว่า
ภูเขาลั่วพั่ว? วิญญาณ (พั่ว) กลับสู่ฟ้า วิญญาณกลับสู่ดิน
แน่นอนว่าโจวมี่ย่อมต้องมีวิธีการเป็นของตัวเอง บุกเบิกหาเส้นทางใหม่ บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ หาวิธีในการคลี่คลายปัญหา ไม่มีทางอยู่นิ่งเฉยรอความตายอย่างแน่นอน
มรรคาจารย์เต๋าเอ่ย “ดังนั้นชิงถงเทียนจวินถึงทิ้งจดหมายทางบ้านไว้ให้เจ้าฉบับหนึ่ง ถามว่าเจ้ากินอิ่มแล้วหรือไม่”
เส้นเอ็นหัวใจของเฉินผิงอันพลันขึงตึงขึ้นมาทันใด สองมือกำหมัดหลวมๆ วางไว้บนหัวเข่า สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ถามเสียงหนัก “ข้าก็คือ…หนึ่งนั้น?”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มเอ่ย “ฉีจิ้งชุนเอาภาระหนักอึ้งวางไว้บนบ่าเจ้าแต่เนิ่นๆ จริงเสียด้วย”
เฉินผิงอันพลันเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เหตุใดโจวจื่อที่คิดคำนวณได้อย่างครอบคลุมถึงได้ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเด็กกำพร้าของตรอกหนีผิงมาตั้งแต่แรก บุคคลอย่างโจวจื่อนี้ เดิมทีก็สามารถมองทะลุความเป็นความตาย หลุดพ้นจากความดีความเลวไปแล้ว
ตอนเป็นเด็กขึ้นเขาไปเก็บยาสมุนไพร ครั้งนั้นได้ถูกน้ำท่วมในภูเขากีดขวาง ภายหลังหยางเหล่าโถวจึงถ่ายทอดวิชาการหายใจให้บทหนึ่ง เพื่อเป็นของแลกเปลี่ยน เฉินผิงอันต้องทำกระบอกยาสูบอันหนึ่งให้เขา
ตอนที่กลับมาจากเมืองหลวงต้าสุยก็ได้มอบกระบี่บินให้เขาหนึ่งเล่ม ถูกเฉินผิงอันตั้งชื่อให้ว่าสืออู่ เหตุผลของหยางเหล่าโถวก็คือบ้านใครยามปีใหม่ไม่กินเกี๊ยวกันบ้างเล่า
บวกกับตัวอ่อนกระบี่บินที่เดิมทีมีชื่อว่า ‘เสี่ยวเฟิงตู’ เล่มนั้น ชูอี สืออู่ ความหมายก็คือหลบพ้นชูอี (วันที่หนึ่งของเดือน) แต่หลบไม่พ้นสืออู่ (วันที่สิบห้าของเดือน)
คิดไม่ถึงว่าที่หลบไม่พ้นที่สุด ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเฉินผิงอันเอง
ออกจากบ้านเดินทางไกลอีกครั้ง นำกระบี่ไปมอบให้หนิงเหยาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ บนข้อเท้าแปะยันต์ลมปราณที่แท้จริงเอาไว้
เฉินผิงอันถาม “เป็นข้ามาตั้งแต่แรกเลยหรือ?”
มรรคาจารย์เต๋าส่ายหน้า “นั่นก็ดูแคลนวิธีการของชิงถงเทียนจวินเกินไปแล้ว หนึ่งนี้ เป็นเจ้าที่เรียกร้องมาเอง”
เฉินผิงอันถอนหายใจโล่งอก ถามเข้าประเด็นโดยตรง “ขอถามมรรคาจารย์เต๋า สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้หรือไม่ อีกทั้งข้ายังคงเป็นข้าอยู่เหมือนเดิม?”
มรรคาจารย์เต๋าหัวเราะหึหึ “ขอให้ตัวเองโชคดีเถิด”
เฉินผิงอันบื้อใบ้
มรรคาจารย์เต๋าเดาได้ว่าเฉินผิงอันคงคิดไปคนละทางแล้ว นั่นก็เพราะคำกล่าวที่เดิมทีก็ดีๆ อยู่ กลับถูกคนบนโลกแพร่กระจายกันไปจนความหมายผิดเพี้ยนจากเดิมไปเรื่อยๆ แล้ว ดังนั้นมรรคาจารย์เต๋าจึงแก้ประโยคเล็กน้อย “คนที่ช่วยเหลือตัวเองมักมีโชคดี”
เฉินผิงอันถาม “หากหลี่หลิ่วหรือไม่ก็หม่าขู่เสวียนได้เห็นตัวอักษรเหล่านั้น ถ้าอย่างนั้นจะเป็นลายมือของใคร?”
เฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดมาโดยตลอดว่าตัวอักษรเหล่านั้นมาจากลายมือของหลี่หลิ่วหรือไม่ก็หม่าขู่เสวียน
มรรคาจารย์เต๋าส่ายหน้า “ไม่แน่หรอก สิ่งที่หลี่หลิ่วมองเห็น บางทีอาจเป็นต่งสุ่ยจิ่งที่ราวกับว่าคอยทวงหนี้แทนคนอื่น หรือไม่ก็เป็นหลินโส่วอีที่ ‘จิตแห่งมรรคาเฝ้าหนึ่ง’ สิ่งที่หม่าขู่เสวียนมองเห็น บางทีอาจเป็นเทพอัคคีหร่วนซิ่ว หรือไม่ก็เทพวารีหลี่หลิ่ว สิ่งที่กู้ช่านมองเห็นบางทีอาจเป็นซ่งจี๋ซิน หรือไม่ก็จ้าวเหยาผู้แต้มนัยน์ตามังกร สิ่งที่หร่วนซิ่วมองเห็นก็อาจจะเป็นลายมือของเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงหรือไม่ก็หลิวเสี้ยนหยาง แค่พอจะแน่ใจในข้อหนึ่ง ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็ล้วนคิดว่าไม่ใช่ลายมือของตัวเอง”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มกล่าว “เมื่อในใจเจ้ามั่นใจในเรื่องหนึ่งก็จะคอยหาเหตุผลและหลักฐานมาสนับสนุนความคิดส่วนนี้ของพวกเจ้าอย่างต่อเนื่อง คนงานเตาเผา คนฆ่าสัตว์ คนชันสูตรศพ ช่างไม้ นายพรานหาฟืน ชาวประมงจับปลา เพียงแค่เพราะทักษะของแต่ละคนแตกต่างกันไป ถ้าอย่างนั้นมองโลกใบเดียวกันก็จะมีการให้ความสำคัญที่แตกต่างกันไป”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วมุ่น ถามหยั่งเชิงว่า “ตัวอักษรพวกนั้นคล้ายคลึงกับเมืองหงจู๋? ราวกับจุดตัดของแม่น้ำแห่งกาลเวลาแห่งหนึ่ง เป็นเหตุให้ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นไปได้ ขณะเดียวกันใครก็ไม่ใช่คนแกะสลักตัวอักษร?”
มรรคาจารย์เต๋าตอบไม่ตรงคำถาม “การที่ชิงถงเทียนจวินร่ายตราผนึกนี้ไว้ก็เพื่อให้คนรุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้าไม่ถึงขั้นเหน็ดเหนื่อยใจบนเส้นทางการฝึกตนในอนาคตมากเกินไป แน่นอนว่าสิ่งที่เขาเป็นกังวลมากยิ่งกว่าก็คือหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกหล่นร่วงลงมาหยั่งรากลงบนพื้นดินแล้ว จะต้องสูญเสียสิ่งกีดขวางที่สกัดกั้นความลับสวรรค์ชั้นหนึ่งไป เมื่อพวกคนรุ่นเยาว์พากันออกไปหาประสบการณ์ด้านนอกก็จะเป็นการแพร่งพรายเบาะแสที่เกี่ยวข้องเร็วก่อนเวลาเกินไป”
เกี่ยวกับทิศทางการไหลไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลา คือข้อห้ามที่ไม่เล็กข้อหนึ่ง ผู้ฝึกตนต้องไปสืบเสาะตามหากันเอาเอง
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มกล่าว “ตอนนี้เจ้าสามารถตอบคำถามก่อนหน้านั้นได้แล้วใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันหันหน้ามองไปยังทิศทางของตรอกหนีผิงตามจิตใต้สำนึก
จากตรอกเล็กเดินมาถึงร้านยาแห่งนี้ หากว่ามีเงินซื้อยา ต่อให้เป็นอากาศที่มีลมหิมะ เส้นทางเปื้อนดินโคลน ก็ยังจะเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบา แต่หากในกระเป๋าไม่มีเงิน เส้นทางเดียวกัน ต่อให้ตลอดทั้งเส้นทางมีดอกไม้ฤดูใบไม้ร่วงผลิบาน ก็ยังทำให้ฝีเท้าของคนโซซัดโซเซ เหนื่อยล้าสิ้นเรี่ยวแรงได้อยู่ดี
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ย่อมเกิดจากสภาพจิตใจ ทุกวิธีการล้วนไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลำพัง จำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่สอดคล้องกันจึงจะเกิดขึ้นได้ ขึ้นเขาลงห้วย แต่กลับไม่อิดออดชักช้า นี่ก็คือคำว่าตัดความกังวลในใจทิ้งไป เพียงสนใจแต่เรื่องภายนอกอย่างที่ลัทธิพุทธกล่าวถึง แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์ของตนยังเคยให้คำอธิบายประโยคที่ว่า ‘ใจคนเป็นภัยไม่แน่นอน แก่นแห่งมรรคาจึงจะละเอียดอ่อน’ เอาไว้ด้วย
ตอนเด็กเรื่องของการเผาเครื่องปั้น ความรู้ที่ใหญ่ที่สุดก็หนีไม่พ้นสี่คำ ใจมั่นมือคล่อง (เปรียบเปรยว่าราบรื่นไปทุกอย่าง) ใจมุ่งไป มือทำตาม
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ต้องเดินเตร็ดเตร่ในตรอกไปเรื่อยเปื่อยเพียงลำพังเพียงแค่เพื่อหาเงินเหรียญทองแดงสักเหรียญบนพื้น แล้วก็ไม่ต้องรอคอยให้คนอื่นเปิดประตูบ้าน ข้ารู้สึกว่าล้วนไม่ยากลำบาก”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มถาม “เคยเก็บเงินได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างเขินอาย “เคยเก็บได้อยู่สองสามเหรียญจริงๆ”
ในค่ำคืนที่ต้องคอยแย่งน้ำกับคนอื่น มีเด็กคนหนึ่งนอนอยู่บนคันนา ยกขานั่งไขว่ห้าง เคี้ยวต้นหญ้าในปาก เหนือศีรษะคือทางช้างเผือกพร่างพราว เด็กชายชูเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งที่ตอนกลางวันเก็บมาจากบนพื้นขึ้นสูง
มรรคาจารย์เต๋ายกมือขึ้นชี้ไปที่ศีรษะ จากนั้นชี้ไปที่หัวใจ “ความมีเหตุผลของคนคนหนึ่งคือการสรุปรวมความรู้ที่สะสมมาในภายหลัง คือเส้นทางแต่ละเส้นที่พวกเราบุกเบิกกันเอง แต่ความรู้สึกของพวกเรากลับเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่เกิด มาจากหัวใจ อันว่าหัวใจนั้นเป็นประธานใหญ่ที่สุด เป็นช่องทางแสดงออกทางด้านความคิดและจิตวิญญาณ น่าเสียดายที่มนุษย์ต้องเหนื่อยยากเพราะสิ่งของนอกกาย ความคิดไม่มีอิสระจึงต้องทำสิ่งที่ฝืนใจ เป็นเหตุให้การฝึกตนนั้น พูดหนึ่งพันกล่าวหนึ่งหมื่น สุดท้ายก็หนีไม่พ้นคำว่าใจ”
“เฉินผิงอัน ขอถามเถอะว่าวัตถุประสงค์ของคำว่า ‘ศาสตร์’ ทั้งหลายบนโลกใบนี้นั้นอยู่ที่ใด?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดเล็กน้อยก็ตอบว่า “สามารถพิสูจน์ว่าเป็นเท็จ สามารถแก้ไขความผิด”
มรรคาจารย์เต๋าถามอีก “มรรคาอยู่ที่ใด?”
เฉินผิงอันตอบ “สามารถทำให้ใจคนใฝ่หา ผสานรวมกับหมื่นฟ้าดินและสรรพสิ่งให้เป็นหนึ่ง พ้นแล้วจากอุปาทาน”
มรรคาจารย์เต๋าพยักหน้ารับ คล้ายจะพอใจในคำตอบของเฉินผิงอันอยู่บ้าง สีหน้าเขาจึงมีความสะทกสะท้อนใจอยู่หลายส่วน “ร้อยบุปผาประชันกันผลิบาน พันนาวาช่วงชิงกันไหลล่อง ปราชญ์ผู้ล่วงลับเผ่ามนุษย์ที่เปลี่ยนฟ้าผลัดดินในช่วงแรกเริ่มสุดนั้น ท่ามกลางช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่ยากจะใช้ถ้อยคำมาบรรยายได้ ไม่ว่าจะเป็นฝึกตนเดินขึ้นเขา หรือการศึกษาหาความรู้ก็ล้วนเป็นช่วงเวลาที่งดงามอย่างมากทั้งสิ้น”
มรรคาจารย์เต๋าลุกขึ้นยืน “ตามข้าไปที่ตรอกหนีผิงรอบหนึ่ง”