ป๋ายเสวียนคีบอาหารให้ชุยตงซานทันใด ถามอย่างใคร่รู้ว่า “นอกจากใต้เท้าอิ่นกวานแล้ว สรุปว่ามีใครที่เผยเฉียนกลัวหรือไม่?”
ชุยตงซานตอบ “มีสิ กวอจู๋จิ่วไงล่ะ”
ป๋ายเสวียนอึ้งค้างไปนาน แน่นอนว่าเขาต้องเคยได้ยินเรื่องของกวอจู๋จิ่วของที่บ้านเกิด เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือคนหนึ่ง ดูเหมือนว่านางจะเข้าไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนเพื่อรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานด้วย
หลังจากอาหารมื้อหนึ่งผ่านไป หน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยก็ช่วยกันเก็บถ้วยชาม แต่สุดท้ายยังคงเป็นพ่อครัวเฒ่าที่ไม่ยอมให้แม่นางทั้งสองช่วยเหลือ ผูกผ้ากันเปื้อนไว้ที่เอวแล้วเข้าไปทำความสะอาดห้องครัวเพียงลำพัง
จูเหลี่ยนเก็บกวาดทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยก็ปลดผ้ากันเปื้อนออก เดินมานอกห้องครัวแล้วหัวเราะ
ทุกคนต่างเป็นคนเขียนตำราในชีวิตของตัวเอง ขณะเดียวกันการมองดูคนอื่นก็คือการเปิดตำรา
บางทีโลกอาจดูเบาพวกเราอย่างมาก แต่พวกเรากลับเห็นตัวเองสำคัญเกินไป
……
เรือข้ามฟากลำหนึ่งขยับเข้ามาในอาณาเขตของเมืองหลวงต้าหลีช้าๆ ผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินสองคนอย่างซ่งซวี่และอวี๋อวี๋ต่างก็ทะยานลมมาขึ้นเรือ
ซ่งจี๋ซินวางตำราในมือลง เดินออกจากห้องมาที่หัวเรือ
ซ่งซวี่กุมหมัดเอ่ย “ผู้ถวายงานต้าหลีซ่งซวี่ขึ้นเรือมาพบท่านอ๋อง”
อวี๋อวี๋กุมหมัดยิ้มกล่าว “อวี๋อวี๋คารวะท่านอ๋อง”
ซ่งจี๋ซินยิ้มเอ่ย “นี่คือวางท่าว่าหน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่อย่างนั้นหรือ?”
ซ่งซวี่เอ่ยอย่างจนใจ “หลานคารวะเสด็จอา”
ซ่งจี๋ซินกล่าวว่า “ขอแค่ข้าถอดชุดคลุมอ๋องที่อยู่บนร่างตัวนี้ออก ก็จะเป็นแค่ชาวบ้านอำเภอไหวหวงคนหนึ่งที่มาเที่ยวเมืองหลวง พวกเจ้าไม่ต้องตื่นเต้น”
ซ่งซวี่ส่ายหน้า ยังคงยืนกรานในความคิดของตัวเอง “เสด็จอา ท่านยังคงทำเช่นนี้ไม่ได้อยู่ดี”
ซ่งจี๋ซินหันหน้าไปมองแม่นางน้อยที่มีชาติกำเนิดมาจากสุกลอวี๋เสาค้ำยันแคว้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไปหาเหล้าดื่มเองเถอะ หาเจอได้เท่าไรก็ล้วนถือเป็นของเจ้า”
ในอดีตตอนที่อยู่จวนอ๋องเจ้าเมือง ซ่งจี๋ซินกับสิบคนของสายแผนภูมิดินต่างไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ทั้งไม่ได้ดึงมาเป็นพวก แต่ก็ไม่ห่างเหิน หยุดอยู่แค่พอสมควร
อวี๋อวี๋ใช้หมัดทุบฝ่ามือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความลิงโลด เสด็จอาของซ่งซวี่ท่านนี้ช่างเป็นคนมีคุณธรรมอันดับหนึ่งเสียจริง เสียดายที่ทุกวันนี้ยังไม่แต่งภรรยามีบุตร ไม่รู้ว่าวันหน้าสตรีคนใดจะโชคดี
ในเมื่อได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องแห่งพื้นที่ศักดินา นางจึงตั้งใจไปค้นหาสุราอย่างเต็มที่
ซ่งจี๋ซินหันหน้าไปเอ่ยกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนหนึ่งของจวนอ๋องเจ้าเมือง “สั่งการลงไป เรือข้ามฟากจะจอดที่นี่ชั่วคราว ไม่รีบร้อนออกเดินทาง”
ผู้ฝึกตนพยักหน้ารับแล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ
ซ่งจี๋ซินฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว ซ่งซวี่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม
คนหนึ่งคืออ๋องเจ้าเมือง คนหนึ่งคือองค์ชาย พากันก้มมองขุนเขาสายน้ำสกุลซ่งเบื้องใต้เรือข้ามฟากด้วยกัน
ซ่งจี๋ซินถามชวนคุย “พบหน้ากันครั้งนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะโตขึ้นอีกแล้ว คิดตกแล้วหรือไร?”
ซ่งซวี่พยักหน้ารับ
ซ่งจี๋ซินไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ต่อให้เป็นในครอบครัวเดียวกัน แต่ขอแค่มีคนมาก เจ้าประมุขตระกูลก็ยังมีใจลำเอียงน้อยใหญ่ต่อบุตรชายหญิงอย่างเลี่ยงไม่ได้
อะไรที่เรียกว่าลำเอียง ก็คือฝนตกเหมือนกัน ทว่าน้ำฝนที่ตกลงในที่นาของตนกลับน้อยกว่าของคนอื่น
คำปลอบใจของคนที่อยู่ข้างๆ ต่อให้มาจากความหวังดี ทำนองว่าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ดีขึ้น ทว่าคนฟังกลับเหมือนต้องดื่มน้ำรสขมกาหนึ่งจนเต็มอิ่ม ส่วนคนพูดก็ยัดน้ำตาลเล็กน้อยเข้ามาในปาก หลังจากนั้นมีแต่จะทำให้คนยิ่งรู้สึกขมขื่นมากกว่าเดิม
ราชสำนักในทุกวันนี้ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีปรีชาฌานทางด้านการปกครอง มีคุณูปการทางด้านการสู้รบ ถูกมองเป็นจักรพรรดิที่มากความสามารถที่สุดของสกุลซ่งต้าหลี
ซ่งจี๋ซินยิ้มเอ่ย “ตัวเองคิดตกแล้วก็ดีแล้ว เอาของขวัญมาให้เจ้าชิ้นหนึ่ง เป็นแท่นฝนหมึกสองอัน ล้วนเป็นของเลียนแบบ ว่ากันว่าพลัดหลงมาจากเชื้อพระวงศ์จูอิ๋งเก่า มีค่าแค่ไม่กี่เหรียญเงินเทพเซียนเท่านั้น”
แท่นฝนหมึกสองอันเลียนแบบแท่นฝนหมึกสามสิบหกถ้ำสวรรค์ และแท่นฝนหมึกเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคล ล้วนใช้ไม้จื่อถานฝังเลื่อมด้วยหยกทำเป็นกล่องบรรจุ ห่อด้วยผ้าแพรปักลาย แกะสลักด้วยอักษรลี่ซู ด้านหลังแท่นฝนหมึกแต่ละชิ้นมีตาหิน (ลักษณะเป็นวงๆ บนพื้นหินคล้ายดวงตา จึงเรียกว่าตาหิน) สามสิบหกดวงและเจ็ดสิบสองดวง ก็เหมือนอย่างที่ซ่งจี๋ซินบอก ไม่ถือว่ามีราคา ก็แค่มีความหมายที่ดีซึ่งถือว่าให้เป็นนิมิตหมายที่ดีได้ ในเมือซ่งซวี่ตัดสินใจว่าจะสงบใจฝึกตน เป็นเทพเซียนบนภูเขา ซ่งจี๋ซินที่เป็นเสด็จอามอบของชิ้นนี้ให้กับหลานชายก็เหมาะสมอย่างยิ่ง หากซ่งซวี่ยังคิดไม่ตกก็สามารถถือว่าเป็นคำเตือนด้วยความปรารถนาดีได้
ซ่งจี๋ซินถามชวนคุย “เจอเฉินผิงอัน ได้พูดคุยกันแล้วหรือ?”
ซ่งซวี่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “กล้ำกลืนความยากลำบากไปเสียเต็มอิ่ม สู้ไม่ได้ แล้วก็วางแผนเล่นงานไม่ได้”
ซ่งจี๋ซินที่เป็นผู้อาวุโสกลับไม่ค่อยมีเมตตาธรรมเท่าใดนัก ไม่เพียงแต่ไม่ปลอบใจหลานชาย กลับกันยังมีท่าทีสมน้ำหน้าอย่างไม่ปิดบัง เขาตบราวรั้ว ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ไม่ผิดจากที่คาด”
ซ่งซวี่ถามอย่างใคร่รู้ “เสด็จอากับอาจารย์เฉินเป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ค่อนข้างจะ…ซับซ้อน?”
ซ่งจี๋ซินพยักหน้า “ยากจะอธิบายได้หมดในคำเดียว ไม่ได้เป็นสหายที่ใช้ใจแลกใจอะไรกัน แต่ก็โชคดีที่ไม่ได้เป็นศัตรู จะเตือนเจ้าสักคำ หากไม่ใช่ว่าอับจนหนทางจริงๆ ก็อย่าไปหาเรื่องเฉินผิงอันอีก คนทั่วไปยากจนจนไม่มีข้าวให้ได้กินอิ่ม เอาข้าวให้เขาคำหนึ่งก็รู้จักพอแล้ว แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกครั้งที่ยืนอยู่ริมน้ำอยากได้ปลาก็จะเก็บงำอำพรางความต้องการแล้วเปลี่ยนหาวิธีการที่เหมาะสมยิ่งกว่า มอบปลาให้ไม่สู้สอนให้ตกปลา เขาเรียนรู้อะไรได้ไม่เร็วเท่าหลิวเสี้ยนหยาง แต่กลับมั่นคงยิ่งกว่า เพราะเรียนรู้ช้า คงเป็นเพราะรู้สึกว่ากว่าจะได้มาไม่ง่าย จึงกลายเป็นว่ายิ่งทะนุถนอมเห็นค่ามากกว่าเดิม ได้ใหม่ไม่ลืมเก่า คนประเภทนี้ หากเป็นศัตรูด้วย อันที่จริงกลับน่ากลัวอย่างมาก”
ซ่งซวี่ขยี้ซีกหน้าตัวเองแรงๆ “เป็นเช่นนี้จริง อาจารย์เฉินลงมือจัดการกับศัตรูก็มีวิธีการให้ใช้ไม่หมดสิ้น เวทคาถาวิชาอภินิหารปนกันหลากหลายอย่างน่าเหลือเชื่อ”
บนเรือมีแขกอีกคนมาเยือน
จ้าวเหยารองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายขวา
ซ่งซวี่เป็นเด็กรุ่นเยาว์ จ้าวเหยากลับเป็นสหายเก่าร่วมบ้านเกิดร่วมห้องเรียน
ฮ่องเต้พระองค์นั้นรู้ขอบเขตดียิ่ง
ซ่งจี๋ซินยิ้มพลางกวักมือเอ่ย “จ้าวตอไม้ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
กลับมาพบเจอกันอีกครั้งยามใด ยามปีที่พืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ พานพบระหว่างเมฆและน้ำ
จ้าวเหยาประสานมือคารวะ จากนั้นเอ่ยถามว่า “ไม่สู้เล่นหมากล้อมกันสักตา เล่นไปคุยกันไปดีไหม?”
ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “เล่นไม่ไหวแล้ว ทุกวันนี้เจ้าเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ฝึกตนประสบความสำเร็จแล้ว ความคิดย่อมรอบคอบรัดกุม จิตวิญญาณเต็มเปี่ยม ข้าต้องแพ้แน่ ไม่ให้โอกาสเจ้าได้กอบกู้ศักดิ์ศรีคืนไปหรอก”
จ้าวเหยาพลันเอ่ยว่า “ซ่งจี๋ซิน ข้ามองคนไม่ผิดเลย เจ้าร้ายกาจจริงๆ”
นับตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อย จ้าวเหยาที่มาจากตระกูลชั้นสูงบนถนนฝูลวี่ก็นับถือซ่งจี๋ซินอย่างสุดจิตสุดใจอยู่แล้ว
ตอนที่คนทั้งสองไปขอเล่าเรียนภายใต้สำนักของอาจารย์ฉีพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นเล่นหมากล้อม อ่านตำราไขความรู้ เขาล้วนมีฝีมือสูงกว่าจ้าวเหยาระดับหนึ่ง
ดังนั้นท่าทีที่จ้าวเหยามีต่อซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงจึงคล้ายเฉินผิงอันที่ปฏิบัติต่อหลิวเสี้ยนหยาง
ซ่งจี๋ซินตบไหล่จ้าวเหยา ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สรุปแล้วจะชมข้าหรือชมว่าตัวเองสายตาดีกันแน่? เจ้าใช้ได้เลยนี่นา หลายปีมานี้ไม่ได้อยู่ในวงการขุนนางมาอย่างเสียเปล่า รู้จักพูดกว่าตอนเป็นเด็กเยอะเลย”
จ้าวเหยาหัวเราะฮ่าๆ “ยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว ทุกคนล้วนยินดี”
ซ่งซวี่อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
แม้จะบอกว่าจ้าวเหยาอายุน้อยๆ ก็เป็นคนที่เลื่อนไปอยู่ใจกลางวงการขุนนางแล้ว อีกทั้งยังมีความเป็นมิตรกับผู้คน คำวิจารณ์ที่เกี่ยวกับเขาในราชสำนักต้าหลีก็ดีเยี่ยม สิ่งเดียวที่ขาดก็คือขาดสถานะขุนนางน้ำใสที่มีชื่อสอบติดเคอจวี่ นอกจากนี้ก็ยังไม่เคยสร้างคุณูปการในสนามรบมาก่อน
หากจะบอกว่าน้ำใสทางตรงของขุนนางบุ๋นต้าหลีคือปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกรซึ่งมาจากเส้นทางของการสอบเคอจวี่ ถ้าอย่างนั้นจ้าวเหยาผู้นี้ก็เหมือนสุนัขจิ้งจอกฌาน (แปลตรงตัวจากคำว่า 野狐禅 คือคำเหน็บแนมที่นิกายเซ็นหรือนิกายฌานใช้กล่าวถึงพวกคนที่แสร้งทำเป็นรู้แจ้งและหลงเดินไปในเส้นทางของความชั่วร้าย) ที่อยู่ในถ้ำขนทอง
แต่ซ่งซวี่กลับรู้สึกว่าจ้าวเหยาคือผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่มีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีอย่างมาก ก็เหมือนนกกระเรียนป่าที่โบยบินอยู่ในหมู่เมฆอย่างเดียวดายที่แค่มาหยุดพักอยู่ในราชสำนักชั่วคราว สักวันหนึ่งจะต้องสยายปีกโผบินไปบนนภากาศสีคราม
ทุกวันนี้ในราชสำนักต้าหลีต่างก็สงสัยใคร่รู้เรื่องหนึ่ง ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมือง จ้าวเหยาแห่งกรมพิธีการ สรุปแล้วถือว่าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายเหวินเซิ่งหรือไม่
ซ่งจี่ซินเอ่ยสัพยอก “เจอกับอาจารย์อาเฉินของเจ้าคนนั้นแล้วหรือ? คุยกันเป็นอย่างไรบ้าง?”
จ้าวเหยายิ้มกล่าว “ไม่เลวเท่าไร เข้ากันได้ดีเลยล่ะ”
ออกจากตรอกเก่าโทรมที่โจวไห่จิ้งพักอาศัยอยู่ชั่วคราว ฝีเท้าของเฉินผิงอันพลันซวนเซไม่มั่นคง เขายกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงพื้นหนักๆ พอยกเท้าอีกข้างก้าวออกไปกลับเบาสบายกว่ามากแล้ว
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ท่าทางดูไม่คุ้นชินอย่างเห็นได้ชัด แต่กระนั้นก็ยังรวบเอาท่วงทำนองที่เหลืออยู่ของมรรคกถามาได้ในเสี้ยววินาที
คิดไม่ถึงว่าตนที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลก็จะเป็นขอบเขตสิบสี่เช่นเดียวกัน?!
เป็นเหตุให้เฉินผิงอันเพียงแค่ทำท่าง่ายๆ อย่างการกระทืบเท้า สำหรับเมืองหลวงต้าหลีแล้วกลับกลายเป็นภาพบรรยากาศแห่งฟ้าดินที่ราวกับมีคลื่นถาโถมซัดกระหน่ำ
เฉินผิงอันมองไปยังทิศที่ตั้งของกองโหราศาสตร์ในเมืองหลวงแวบหนึ่ง ทางฝั่งนั้นต้องสัมผัสได้แล้วอย่างแน่นอน และยังมีป๋ายอวี้จิงจำลองในเมืองหลวงแห่งที่สองนั่นด้วย
ที่ว่าการกองโหราศาสตร์เมืองหลวงต้าหลีคือพื้นที่ต้องห้ามที่มีการป้องกันอย่างเข้มงวด ว่ากันว่าระดับความเข้มงวดเป็นรองแค่วังหลวงและสุสานหลวงเท่านั้น
จำนวนคนมีไม่มาก ขุนนางและเสมียนของแต่ละฝ่ายรวมกันยังมีไม่ถึงสองร้อยคน
ในบรรดาที่ว่าการมากมายของต้าหลี ที่นี่คือสถานที่แห่งหนึ่งที่มีไอเมฆหมอกล้อมวนบดบัง ไม่ปรากฎเด่นชัดมากที่สุด
สืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย เป็นกิจการที่บุตรรับช่วงต่อจากบิดา ขุนนางในกองโหราศาสตร์ทุกคนมิอาจโยกย้ายไปทำงานตำแหน่งอื่นได้ หากขาดตำแหน่งใดไปก็จะให้ฝ่ายงานในกองโหราศาสตร์เข้ามาเสริมตำแหน่งไล่ตามลำดับเอง หากไม่ใช่คำสั่งพิเศษจากทางราชสำนักก็ห้ามให้มีการลดขั้นเลื่อนขั้น ลาออกหรือเกษียณง่ายๆ ดังนั้นจึงเป็นชามข้าวเหล็กที่ไม่มีทางหายไปไหนได้ มีความหมายอยู่สองชั้นก็คือ ไม่มีคนนอกมาแย่งชิง และตัวเองก็วางลงไม่ได้ด้วย
แม้ว่าขุนนางของกองโหราศาสตร์ทุกคนจะอยู่ในเมืองหลวงของต้าหลี แต่อันที่จริงกลับเท่ากับว่าตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว แทบไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับภายนอก ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกก็ล้วนต้องมีการตรวจสอบ รายงานหลายชั้นตั้งแต่ฝ่ายในกันเองไปจนถึงฝ่ายกรมพิธีการ เอกสารผ่านด่านพิเศษในการออกไปข้างนอกทุกครั้ง เมื่อใช้ไปแล้วครั้งหนึ่งก็เท่ากับว่าถูกเพิกถอน แล้วยังต้องมีการบันทึกลงเอกสาร คนที่อยู่ข้างในไม่กล้าผูกมิตรตีสนิทกับขุนนาง ส่วนขุนนางเมืองหลวงที่อยู่ข้างนอกก็ยิ่งไม่กล้าคบค้าสมาคมกับกองโหราศาสตร์ หากมีความเกี่ยวข้องกันเกินขอบเขตแม้แต่นิดเดียวก็ง่ายที่จะสูญเสียหมวกขุนนางใบนี้ไป แล้วยังเป็นการเสียหมวกขุนนางประเภทที่ว่าต้องเสียหัวตัวเองตามไปด้วย
เฉินผิงอันเดินเนิบช้าอยู่ในตรอกเส้นหนึ่ง
ข้าวชนิดเดียวกันเลี้ยงคนได้ร้อยรูปแบบ
มองโลกที่ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลใบนี้ ดูเหมือนว่าไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นคนตาบอดที่กำลังคลำช้าง
ขอบเขตสายตาที่มองเห็นไม่เหมือนกัน มุมมองไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็ย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหว
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว สิ่งที่สายตามองไปเห็น วัตถุที่จับต้องได้จริงหลายอย่างล้วนชัดเจนแจ่มแจ้ง ส่วนผู้ฝึกตนกลับสามารถมองเห็นการไหลเวียนของปราณวิญญาณฟ้าดินได้อย่างเลือนราง นอกจากนี้ก็ยังมีศาสตร์การมองลมปราณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย
ระหว่างที่ความคิดของเฉินผิงอันขึ้นๆ ลงๆ ฟ้าดินก็คล้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เล็กละเอียดตามไปด้วย ยิ่งขยับเข้าใกล้ทิศทางของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือควรจะพูดว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ขอบเขตที่ยืมลู่เฉินมาชั่วคราวนี้ก็ยิ่งลดฮวบไปอย่างรวดเร็ว ดูท่าแล้วคนคนเดียวกัน แต่ก็น่าจะมีการแบ่งหลักแบ่งรองด้วย
แบบนี้ต่างหากจึงจะสมเหตุสมผล
ไม่อย่างนั้นตนอาศัยมรรคกถาค้ำฟ้าของตบะขอบเขตสิบสี่มุ่งหน้าไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จะไม่เท่ากับว่ามีขอบเขตสิบสี่โผล่เพิ่มมาสองคนเลยหรือ
ก่อนหน้านี้ตอนที่หลี่เซิ่งอยู่ที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น การที่เขาตอบตกลงกับอาจารย์ว่าจะลองดูอีกสักครั้ง ก็เป็นเพราะว่าได้เดินเลียบตอนบนตอนล่างของแม่น้ำแห่งกาลเวลามาเห็นถึงก้าวนี้แล้วหรือไม่?
ถ้าอย่างนั้นหลี่เซิ่งหวังให้ตนอาศัยโอกาสนี้ ทำอะไร?
หากเป็นแค่การกระทำที่กระทำไปตามโอกาสของหลี่เซิ่ง ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันที่ได้ครอบครองมรรคกถานี้ อันที่จริงกลับสามารถทำอะไรได้มากมาย ยกตัวอย่างเช่นกลับภูเขาลั่วพัวที่เป็นบ้านเกิดไปรอบหนึ่ง หรือไม่ก็ใช้ค่าตอบแทนที่ ‘ขอบเขตถดถอย’ มาเดินทางไกลไปเยือนอุตรกุรุทวีปหรือไม่ก็ใบถงทวีป
เฉินผิงอันพลันเกิดความคิดที่แรงกล้าอย่างหนึ่ง
ก้าวหนึ่งก้าวออกไปจากเมืองหลวงต้าหลี มาโผล่ที่เรือนหลังของร้านยาตระกูลหยางโดยตรง ทั้งเหมือนความคิดที่เกิดขึ้นมาตามอารมณ์ และก็ทั้งเหมือนดวงจิตถูกกระชากให้เดินไปโดยที่มองไม่เห็น
ผลคือเฉินผิงอันได้ไปเจอกับนักพรตที่มีลักษณะเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มถาม “มีคนที่นับตั้งแต่เด็กมาก็คอยมองดวงดาวของแต่ละยุคแต่ละสมัยอยู่เพียงลำพัง เฉินผิงอัน เจ้าลองพูดมาสิว่า คนผู้นี้ลำบากหรือไม่?”
ป๋ายเสวียนคีบอาหารให้ชุยตงซานทันใด ถามอย่างใคร่รู้ว่า “นอกจากใต้เท้าอิ่นกวานแล้ว สรุปว่ามีใครที่เผยเฉียนกลัวหรือไม่?”
ชุยตงซานตอบ “มีสิ กวอจู๋จิ่วไงล่ะ”
ป๋ายเสวียนอึ้งค้างไปนาน แน่นอนว่าเขาต้องเคยได้ยินเรื่องของกวอจู๋จิ่วของที่บ้านเกิด เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือคนหนึ่ง ดูเหมือนว่านางจะเข้าไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนเพื่อรับหน้าที่เป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานด้วย
หลังจากอาหารมื้อหนึ่งผ่านไป หน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยก็ช่วยกันเก็บถ้วยชาม แต่สุดท้ายยังคงเป็นพ่อครัวเฒ่าที่ไม่ยอมให้แม่นางทั้งสองช่วยเหลือ ผูกผ้ากันเปื้อนไว้ที่เอวแล้วเข้าไปทำความสะอาดห้องครัวเพียงลำพัง
จูเหลี่ยนเก็บกวาดทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยก็ปลดผ้ากันเปื้อนออก เดินมานอกห้องครัวแล้วหัวเราะ
ทุกคนต่างเป็นคนเขียนตำราในชีวิตของตัวเอง ขณะเดียวกันการมองดูคนอื่นก็คือการเปิดตำรา
บางทีโลกอาจดูเบาพวกเราอย่างมาก แต่พวกเรากลับเห็นตัวเองสำคัญเกินไป
……
เรือข้ามฟากลำหนึ่งขยับเข้ามาในอาณาเขตของเมืองหลวงต้าหลีช้าๆ ผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินสองคนอย่างซ่งซวี่และอวี๋อวี๋ต่างก็ทะยานลมมาขึ้นเรือ
ซ่งจี๋ซินวางตำราในมือลง เดินออกจากห้องมาที่หัวเรือ
ซ่งซวี่กุมหมัดเอ่ย “ผู้ถวายงานต้าหลีซ่งซวี่ขึ้นเรือมาพบท่านอ๋อง”
อวี๋อวี๋กุมหมัดยิ้มกล่าว “อวี๋อวี๋คารวะท่านอ๋อง”
ซ่งจี๋ซินยิ้มเอ่ย “นี่คือวางท่าว่าหน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่อย่างนั้นหรือ?”
ซ่งซวี่เอ่ยอย่างจนใจ “หลานคารวะเสด็จอา”
ซ่งจี๋ซินกล่าวว่า “ขอแค่ข้าถอดชุดคลุมอ๋องที่อยู่บนร่างตัวนี้ออก ก็จะเป็นแค่ชาวบ้านอำเภอไหวหวงคนหนึ่งที่มาเที่ยวเมืองหลวง พวกเจ้าไม่ต้องตื่นเต้น”
ซ่งซวี่ส่ายหน้า ยังคงยืนกรานในความคิดของตัวเอง “เสด็จอา ท่านยังคงทำเช่นนี้ไม่ได้อยู่ดี”
ซ่งจี๋ซินหันหน้าไปมองแม่นางน้อยที่มีชาติกำเนิดมาจากสุกลอวี๋เสาค้ำยันแคว้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไปหาเหล้าดื่มเองเถอะ หาเจอได้เท่าไรก็ล้วนถือเป็นของเจ้า”
ในอดีตตอนที่อยู่จวนอ๋องเจ้าเมือง ซ่งจี๋ซินกับสิบคนของสายแผนภูมิดินต่างไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ทั้งไม่ได้ดึงมาเป็นพวก แต่ก็ไม่ห่างเหิน หยุดอยู่แค่พอสมควร
อวี๋อวี๋ใช้หมัดทุบฝ่ามือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความลิงโลด เสด็จอาของซ่งซวี่ท่านนี้ช่างเป็นคนมีคุณธรรมอันดับหนึ่งเสียจริง เสียดายที่ทุกวันนี้ยังไม่แต่งภรรยามีบุตร ไม่รู้ว่าวันหน้าสตรีคนใดจะโชคดี
ในเมื่อได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องแห่งพื้นที่ศักดินา นางจึงตั้งใจไปค้นหาสุราอย่างเต็มที่
ซ่งจี๋ซินหันหน้าไปเอ่ยกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนหนึ่งของจวนอ๋องเจ้าเมือง “สั่งการลงไป เรือข้ามฟากจะจอดที่นี่ชั่วคราว ไม่รีบร้อนออกเดินทาง”
ผู้ฝึกตนพยักหน้ารับแล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ
ซ่งจี๋ซินฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว ซ่งซวี่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม
คนหนึ่งคืออ๋องเจ้าเมือง คนหนึ่งคือองค์ชาย พากันก้มมองขุนเขาสายน้ำสกุลซ่งเบื้องใต้เรือข้ามฟากด้วยกัน
ซ่งจี๋ซินถามชวนคุย “พบหน้ากันครั้งนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะโตขึ้นอีกแล้ว คิดตกแล้วหรือไร?”
ซ่งซวี่พยักหน้ารับ
ซ่งจี๋ซินไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ต่อให้เป็นในครอบครัวเดียวกัน แต่ขอแค่มีคนมาก เจ้าประมุขตระกูลก็ยังมีใจลำเอียงน้อยใหญ่ต่อบุตรชายหญิงอย่างเลี่ยงไม่ได้
อะไรที่เรียกว่าลำเอียง ก็คือฝนตกเหมือนกัน ทว่าน้ำฝนที่ตกลงในที่นาของตนกลับน้อยกว่าของคนอื่น
คำปลอบใจของคนที่อยู่ข้างๆ ต่อให้มาจากความหวังดี ทำนองว่าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ดีขึ้น ทว่าคนฟังกลับเหมือนต้องดื่มน้ำรสขมกาหนึ่งจนเต็มอิ่ม ส่วนคนพูดก็ยัดน้ำตาลเล็กน้อยเข้ามาในปาก หลังจากนั้นมีแต่จะทำให้คนยิ่งรู้สึกขมขื่นมากกว่าเดิม
ราชสำนักในทุกวันนี้ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีปรีชาฌานทางด้านการปกครอง มีคุณูปการทางด้านการสู้รบ ถูกมองเป็นจักรพรรดิที่มากความสามารถที่สุดของสกุลซ่งต้าหลี
ซ่งจี๋ซินยิ้มเอ่ย “ตัวเองคิดตกแล้วก็ดีแล้ว เอาของขวัญมาให้เจ้าชิ้นหนึ่ง เป็นแท่นฝนหมึกสองอัน ล้วนเป็นของเลียนแบบ ว่ากันว่าพลัดหลงมาจากเชื้อพระวงศ์จูอิ๋งเก่า มีค่าแค่ไม่กี่เหรียญเงินเทพเซียนเท่านั้น”
แท่นฝนหมึกสองอันเลียนแบบแท่นฝนหมึกสามสิบหกถ้ำสวรรค์ และแท่นฝนหมึกเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคล ล้วนใช้ไม้จื่อถานฝังเลื่อมด้วยหยกทำเป็นกล่องบรรจุ ห่อด้วยผ้าแพรปักลาย แกะสลักด้วยอักษรลี่ซู ด้านหลังแท่นฝนหมึกแต่ละชิ้นมีตาหิน (ลักษณะเป็นวงๆ บนพื้นหินคล้ายดวงตา จึงเรียกว่าตาหิน) สามสิบหกดวงและเจ็ดสิบสองดวง ก็เหมือนอย่างที่ซ่งจี๋ซินบอก ไม่ถือว่ามีราคา ก็แค่มีความหมายที่ดีซึ่งถือว่าให้เป็นนิมิตหมายที่ดีได้ ในเมือซ่งซวี่ตัดสินใจว่าจะสงบใจฝึกตน เป็นเทพเซียนบนภูเขา ซ่งจี๋ซินที่เป็นเสด็จอามอบของชิ้นนี้ให้กับหลานชายก็เหมาะสมอย่างยิ่ง หากซ่งซวี่ยังคิดไม่ตกก็สามารถถือว่าเป็นคำเตือนด้วยความปรารถนาดีได้
ซ่งจี๋ซินถามชวนคุย “เจอเฉินผิงอัน ได้พูดคุยกันแล้วหรือ?”
ซ่งซวี่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “กล้ำกลืนความยากลำบากไปเสียเต็มอิ่ม สู้ไม่ได้ แล้วก็วางแผนเล่นงานไม่ได้”
ซ่งจี๋ซินที่เป็นผู้อาวุโสกลับไม่ค่อยมีเมตตาธรรมเท่าใดนัก ไม่เพียงแต่ไม่ปลอบใจหลานชาย กลับกันยังมีท่าทีสมน้ำหน้าอย่างไม่ปิดบัง เขาตบราวรั้ว ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ไม่ผิดจากที่คาด”
ซ่งซวี่ถามอย่างใคร่รู้ “เสด็จอากับอาจารย์เฉินเป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ค่อนข้างจะ…ซับซ้อน?”
ซ่งจี๋ซินพยักหน้า “ยากจะอธิบายได้หมดในคำเดียว ไม่ได้เป็นสหายที่ใช้ใจแลกใจอะไรกัน แต่ก็โชคดีที่ไม่ได้เป็นศัตรู จะเตือนเจ้าสักคำ หากไม่ใช่ว่าอับจนหนทางจริงๆ ก็อย่าไปหาเรื่องเฉินผิงอันอีก คนทั่วไปยากจนจนไม่มีข้าวให้ได้กินอิ่ม เอาข้าวให้เขาคำหนึ่งก็รู้จักพอแล้ว แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกครั้งที่ยืนอยู่ริมน้ำอยากได้ปลาก็จะเก็บงำอำพรางความต้องการแล้วเปลี่ยนหาวิธีการที่เหมาะสมยิ่งกว่า มอบปลาให้ไม่สู้สอนให้ตกปลา เขาเรียนรู้อะไรได้ไม่เร็วเท่าหลิวเสี้ยนหยาง แต่กลับมั่นคงยิ่งกว่า เพราะเรียนรู้ช้า คงเป็นเพราะรู้สึกว่ากว่าจะได้มาไม่ง่าย จึงกลายเป็นว่ายิ่งทะนุถนอมเห็นค่ามากกว่าเดิม ได้ใหม่ไม่ลืมเก่า คนประเภทนี้ หากเป็นศัตรูด้วย อันที่จริงกลับน่ากลัวอย่างมาก”
ซ่งซวี่ขยี้ซีกหน้าตัวเองแรงๆ “เป็นเช่นนี้จริง อาจารย์เฉินลงมือจัดการกับศัตรูก็มีวิธีการให้ใช้ไม่หมดสิ้น เวทคาถาวิชาอภินิหารปนกันหลากหลายอย่างน่าเหลือเชื่อ”
บนเรือมีแขกอีกคนมาเยือน
จ้าวเหยารองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายขวา
ซ่งซวี่เป็นเด็กรุ่นเยาว์ จ้าวเหยากลับเป็นสหายเก่าร่วมบ้านเกิดร่วมห้องเรียน
ฮ่องเต้พระองค์นั้นรู้ขอบเขตดียิ่ง
ซ่งจี๋ซินยิ้มพลางกวักมือเอ่ย “จ้าวตอไม้ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
กลับมาพบเจอกันอีกครั้งยามใด ยามปีที่พืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ พานพบระหว่างเมฆและน้ำ
จ้าวเหยาประสานมือคารวะ จากนั้นเอ่ยถามว่า “ไม่สู้เล่นหมากล้อมกันสักตา เล่นไปคุยกันไปดีไหม?”
ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “เล่นไม่ไหวแล้ว ทุกวันนี้เจ้าเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ฝึกตนประสบความสำเร็จแล้ว ความคิดย่อมรอบคอบรัดกุม จิตวิญญาณเต็มเปี่ยม ข้าต้องแพ้แน่ ไม่ให้โอกาสเจ้าได้กอบกู้ศักดิ์ศรีคืนไปหรอก”
จ้าวเหยาพลันเอ่ยว่า “ซ่งจี๋ซิน ข้ามองคนไม่ผิดเลย เจ้าร้ายกาจจริงๆ”
นับตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อย จ้าวเหยาที่มาจากตระกูลชั้นสูงบนถนนฝูลวี่ก็นับถือซ่งจี๋ซินอย่างสุดจิตสุดใจอยู่แล้ว
ตอนที่คนทั้งสองไปขอเล่าเรียนภายใต้สำนักของอาจารย์ฉีพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นเล่นหมากล้อม อ่านตำราไขความรู้ เขาล้วนมีฝีมือสูงกว่าจ้าวเหยาระดับหนึ่ง
ดังนั้นท่าทีที่จ้าวเหยามีต่อซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงจึงคล้ายเฉินผิงอันที่ปฏิบัติต่อหลิวเสี้ยนหยาง
ซ่งจี๋ซินตบไหล่จ้าวเหยา ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สรุปแล้วจะชมข้าหรือชมว่าตัวเองสายตาดีกันแน่? เจ้าใช้ได้เลยนี่นา หลายปีมานี้ไม่ได้อยู่ในวงการขุนนางมาอย่างเสียเปล่า รู้จักพูดกว่าตอนเป็นเด็กเยอะเลย”
จ้าวเหยาหัวเราะฮ่าๆ “ยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว ทุกคนล้วนยินดี”
ซ่งซวี่อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
แม้จะบอกว่าจ้าวเหยาอายุน้อยๆ ก็เป็นคนที่เลื่อนไปอยู่ใจกลางวงการขุนนางแล้ว อีกทั้งยังมีความเป็นมิตรกับผู้คน คำวิจารณ์ที่เกี่ยวกับเขาในราชสำนักต้าหลีก็ดีเยี่ยม สิ่งเดียวที่ขาดก็คือขาดสถานะขุนนางน้ำใสที่มีชื่อสอบติดเคอจวี่ นอกจากนี้ก็ยังไม่เคยสร้างคุณูปการในสนามรบมาก่อน
หากจะบอกว่าน้ำใสทางตรงของขุนนางบุ๋นต้าหลีคือปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกรซึ่งมาจากเส้นทางของการสอบเคอจวี่ ถ้าอย่างนั้นจ้าวเหยาผู้นี้ก็เหมือนสุนัขจิ้งจอกฌาน (แปลตรงตัวจากคำว่า 野狐禅 คือคำเหน็บแนมที่นิกายเซ็นหรือนิกายฌานใช้กล่าวถึงพวกคนที่แสร้งทำเป็นรู้แจ้งและหลงเดินไปในเส้นทางของความชั่วร้าย) ที่อยู่ในถ้ำขนทอง
แต่ซ่งซวี่กลับรู้สึกว่าจ้าวเหยาคือผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่มีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีอย่างมาก ก็เหมือนนกกระเรียนป่าที่โบยบินอยู่ในหมู่เมฆอย่างเดียวดายที่แค่มาหยุดพักอยู่ในราชสำนักชั่วคราว สักวันหนึ่งจะต้องสยายปีกโผบินไปบนนภากาศสีคราม
ทุกวันนี้ในราชสำนักต้าหลีต่างก็สงสัยใคร่รู้เรื่องหนึ่ง ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมือง จ้าวเหยาแห่งกรมพิธีการ สรุปแล้วถือว่าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายเหวินเซิ่งหรือไม่
ซ่งจี่ซินเอ่ยสัพยอก “เจอกับอาจารย์อาเฉินของเจ้าคนนั้นแล้วหรือ? คุยกันเป็นอย่างไรบ้าง?”
จ้าวเหยายิ้มกล่าว “ไม่เลวเท่าไร เข้ากันได้ดีเลยล่ะ”
ออกจากตรอกเก่าโทรมที่โจวไห่จิ้งพักอาศัยอยู่ชั่วคราว ฝีเท้าของเฉินผิงอันพลันซวนเซไม่มั่นคง เขายกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงพื้นหนักๆ พอยกเท้าอีกข้างก้าวออกไปกลับเบาสบายกว่ามากแล้ว
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ท่าทางดูไม่คุ้นชินอย่างเห็นได้ชัด แต่กระนั้นก็ยังรวบเอาท่วงทำนองที่เหลืออยู่ของมรรคกถามาได้ในเสี้ยววินาที
คิดไม่ถึงว่าตนที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลก็จะเป็นขอบเขตสิบสี่เช่นเดียวกัน?!
เป็นเหตุให้เฉินผิงอันเพียงแค่ทำท่าง่ายๆ อย่างการกระทืบเท้า สำหรับเมืองหลวงต้าหลีแล้วกลับกลายเป็นภาพบรรยากาศแห่งฟ้าดินที่ราวกับมีคลื่นถาโถมซัดกระหน่ำ
เฉินผิงอันมองไปยังทิศที่ตั้งของกองโหราศาสตร์ในเมืองหลวงแวบหนึ่ง ทางฝั่งนั้นต้องสัมผัสได้แล้วอย่างแน่นอน และยังมีป๋ายอวี้จิงจำลองในเมืองหลวงแห่งที่สองนั่นด้วย
ที่ว่าการกองโหราศาสตร์เมืองหลวงต้าหลีคือพื้นที่ต้องห้ามที่มีการป้องกันอย่างเข้มงวด ว่ากันว่าระดับความเข้มงวดเป็นรองแค่วังหลวงและสุสานหลวงเท่านั้น
จำนวนคนมีไม่มาก ขุนนางและเสมียนของแต่ละฝ่ายรวมกันยังมีไม่ถึงสองร้อยคน
ในบรรดาที่ว่าการมากมายของต้าหลี ที่นี่คือสถานที่แห่งหนึ่งที่มีไอเมฆหมอกล้อมวนบดบัง ไม่ปรากฎเด่นชัดมากที่สุด
สืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย เป็นกิจการที่บุตรรับช่วงต่อจากบิดา ขุนนางในกองโหราศาสตร์ทุกคนมิอาจโยกย้ายไปทำงานตำแหน่งอื่นได้ หากขาดตำแหน่งใดไปก็จะให้ฝ่ายงานในกองโหราศาสตร์เข้ามาเสริมตำแหน่งไล่ตามลำดับเอง หากไม่ใช่คำสั่งพิเศษจากทางราชสำนักก็ห้ามให้มีการลดขั้นเลื่อนขั้น ลาออกหรือเกษียณง่ายๆ ดังนั้นจึงเป็นชามข้าวเหล็กที่ไม่มีทางหายไปไหนได้ มีความหมายอยู่สองชั้นก็คือ ไม่มีคนนอกมาแย่งชิง และตัวเองก็วางลงไม่ได้ด้วย
แม้ว่าขุนนางของกองโหราศาสตร์ทุกคนจะอยู่ในเมืองหลวงของต้าหลี แต่อันที่จริงกลับเท่ากับว่าตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว แทบไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับภายนอก ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกก็ล้วนต้องมีการตรวจสอบ รายงานหลายชั้นตั้งแต่ฝ่ายในกันเองไปจนถึงฝ่ายกรมพิธีการ เอกสารผ่านด่านพิเศษในการออกไปข้างนอกทุกครั้ง เมื่อใช้ไปแล้วครั้งหนึ่งก็เท่ากับว่าถูกเพิกถอน แล้วยังต้องมีการบันทึกลงเอกสาร คนที่อยู่ข้างในไม่กล้าผูกมิตรตีสนิทกับขุนนาง ส่วนขุนนางเมืองหลวงที่อยู่ข้างนอกก็ยิ่งไม่กล้าคบค้าสมาคมกับกองโหราศาสตร์ หากมีความเกี่ยวข้องกันเกินขอบเขตแม้แต่นิดเดียวก็ง่ายที่จะสูญเสียหมวกขุนนางใบนี้ไป แล้วยังเป็นการเสียหมวกขุนนางประเภทที่ว่าต้องเสียหัวตัวเองตามไปด้วย
เฉินผิงอันเดินเนิบช้าอยู่ในตรอกเส้นหนึ่ง
ข้าวชนิดเดียวกันเลี้ยงคนได้ร้อยรูปแบบ
มองโลกที่ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลใบนี้ ดูเหมือนว่าไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นคนตาบอดที่กำลังคลำช้าง
ขอบเขตสายตาที่มองเห็นไม่เหมือนกัน มุมมองไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็ย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหว
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว สิ่งที่สายตามองไปเห็น วัตถุที่จับต้องได้จริงหลายอย่างล้วนชัดเจนแจ่มแจ้ง ส่วนผู้ฝึกตนกลับสามารถมองเห็นการไหลเวียนของปราณวิญญาณฟ้าดินได้อย่างเลือนราง นอกจากนี้ก็ยังมีศาสตร์การมองลมปราณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย
ระหว่างที่ความคิดของเฉินผิงอันขึ้นๆ ลงๆ ฟ้าดินก็คล้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เล็กละเอียดตามไปด้วย ยิ่งขยับเข้าใกล้ทิศทางของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือควรจะพูดว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ขอบเขตที่ยืมลู่เฉินมาชั่วคราวนี้ก็ยิ่งลดฮวบไปอย่างรวดเร็ว ดูท่าแล้วคนคนเดียวกัน แต่ก็น่าจะมีการแบ่งหลักแบ่งรองด้วย
แบบนี้ต่างหากจึงจะสมเหตุสมผล
ไม่อย่างนั้นตนอาศัยมรรคกถาค้ำฟ้าของตบะขอบเขตสิบสี่มุ่งหน้าไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จะไม่เท่ากับว่ามีขอบเขตสิบสี่โผล่เพิ่มมาสองคนเลยหรือ
ก่อนหน้านี้ตอนที่หลี่เซิ่งอยู่ที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น การที่เขาตอบตกลงกับอาจารย์ว่าจะลองดูอีกสักครั้ง ก็เป็นเพราะว่าได้เดินเลียบตอนบนตอนล่างของแม่น้ำแห่งกาลเวลามาเห็นถึงก้าวนี้แล้วหรือไม่?
ถ้าอย่างนั้นหลี่เซิ่งหวังให้ตนอาศัยโอกาสนี้ ทำอะไร?
หากเป็นแค่การกระทำที่กระทำไปตามโอกาสของหลี่เซิ่ง ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันที่ได้ครอบครองมรรคกถานี้ อันที่จริงกลับสามารถทำอะไรได้มากมาย ยกตัวอย่างเช่นกลับภูเขาลั่วพัวที่เป็นบ้านเกิดไปรอบหนึ่ง หรือไม่ก็ใช้ค่าตอบแทนที่ ‘ขอบเขตถดถอย’ มาเดินทางไกลไปเยือนอุตรกุรุทวีปหรือไม่ก็ใบถงทวีป
เฉินผิงอันพลันเกิดความคิดที่แรงกล้าอย่างหนึ่ง
ก้าวหนึ่งก้าวออกไปจากเมืองหลวงต้าหลี มาโผล่ที่เรือนหลังของร้านยาตระกูลหยางโดยตรง ทั้งเหมือนความคิดที่เกิดขึ้นมาตามอารมณ์ และก็ทั้งเหมือนดวงจิตถูกกระชากให้เดินไปโดยที่มองไม่เห็น
ผลคือเฉินผิงอันได้ไปเจอกับนักพรตที่มีลักษณะเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มถาม “มีคนที่นับตั้งแต่เด็กมาก็คอยมองดวงดาวของแต่ละยุคแต่ละสมัยอยู่เพียงลำพัง เฉินผิงอัน เจ้าลองพูดมาสิว่า คนผู้นี้ลำบากหรือไม่?”