กระบี่จงมา 854.4 คำตอบของปริศนาที่ทายผิด

ตอนที่ 854.4 คำตอบของปริศนาที่ทายผิด

ป๋า​ย​เสวียน​คีบ​อาหาร​ให้​ชุยตง​ซาน​ทันใด​ ถามอย่าง​ใคร่รู้​ว่า​ “นอกจาก​ใต้เท้า​อิ่น​กวาน​แล้ว​ สรุป​ว่า​มีใคร​ที่​เผย​เฉียน​กลัว​หรือไม่​?”

ชุยตง​ซาน​ตอบ​ “มีสิ กวอ​จู๋จิ่ว​ไงล่ะ​”

ป๋า​ย​เสวียน​อึ้ง​ค้าง​ไป​นาน​ แน่นอน​ว่า​เขา​ต้อง​เคย​ได้ยิน​เรื่อง​ของ​กวอ​จู๋จิ่ว​ของ​ที่​บ้านเกิด​ เป็น​บุคคล​ที่​มีชื่อเสียง​เลื่องลือ​คน​หนึ่ง​ ดูเหมือนว่า​นาง​จะเข้าไป​อยู่​คฤหาสน์​หลบ​ร้อน​เพื่อ​รับหน้าที่​เป็น​ผู้ฝึก​กระบี่​สาย​อิ่น​กวาน​ด้วย​

หลังจาก​อาหาร​มื้อ​หนึ่ง​ผ่าน​ไป​ หน่วน​ซู่และ​หมี่​ลี่​น้อย​ก็​ช่วยกัน​เก็บ​ถ้วยชาม​ แต่​สุดท้าย​ยังคง​เป็น​พ่อครัว​เฒ่าที่​ไม่ยอมให้​แม่นาง​ทั้งสอง​ช่วยเหลือ​ ผูก​ผ้ากันเปื้อน​ไว้​ที่​เอว​แล้ว​เข้าไป​ทำความสะอาด​ห้องครัว​เพียงลำพัง​

จูเหลี่ยน​เก็บกวาด​ทำความสะอาด​เสร็จ​เรียบร้อย​ก็​ปลด​ผ้ากันเปื้อน​ออก​ เดิน​มานอก​ห้องครัว​แล้ว​หัวเราะ​

ทุกคน​ต่าง​เป็น​คนเขียน​ตำรา​ใน​ชีวิต​ของ​ตัวเอง​ ขณะเดียวกัน​การ​มองดู​คนอื่น​ก็​คือ​การ​เปิด​ตำรา​

บางที​โลก​อาจ​ดูเบา​พวกเรา​อย่าง​มาก​ แต่​พวกเรา​กลับ​เห็น​ตัวเอง​สำคัญ​เกินไป​

……

เรือข้ามฟาก​ลำ​หนึ่ง​ขยับ​เข้ามา​ใน​อาณาเขต​ของ​เมืองหลวง​ต้า​หลี​ช้าๆ ผู้ฝึก​ตน​สาย​แผนภูมิ​ดิน​สอง​คน​อย่าง​ซ่งซวี่​และ​อวี๋อวี๋​ต่าง​ก็​ทะยาน​ลม​มาขึ้น​เรือ​

ซ่งจี๋ซิน​วาง​ตำรา​ใน​มือ​ลง​ เดิน​ออกจาก​ห้อง​มาที่​หัว​เรือ​

ซ่งซวี่​กุม​หมัด​เอ่ย​ “ผู้​ถวายงาน​ต้า​หลี​ซ่งซวี่​ขึ้น​เรือ​มาพบ​ท่าน​อ๋อง​”

อวี๋อวี๋​กุม​หมัด​ยิ้ม​กล่าว​ “อวี๋อวี๋​คารวะ​ท่าน​อ๋อง​”

ซ่งจี๋ซิน​ยิ้ม​เอ่ย​ “นี่​คือ​วางท่า​ว่า​หน้าที่​ก็​ต้อง​เป็น​หน้าที่​อย่างนั้น​หรือ​?”

ซ่งซวี่​เอ่ย​อย่าง​จนใจ​ “หลาน​คารวะ​เสด็จ​อา​”

ซ่งจี๋ซินก​ล่า​ว​ว่า​ “ขอ​แค่​ข้า​ถอด​ชุด​คลุม​อ๋อง​ที่อยู่​บน​ร่าง​ตัว​นี้​ออก​ ก็​จะเป็น​แค่​ชาวบ้าน​อำเภอ​ไหว​หวง​คน​หนึ่ง​ที่มา​เที่ยว​เมืองหลวง​ พวก​เจ้าไม่ต้อง​ตื่นเต้น​”

ซ่งซวี่​ส่ายหน้า​ ยังคง​ยืนกราน​ใน​ความคิด​ของ​ตัวเอง​ “เสด็จ​อา​ ท่าน​ยังคง​ทำ​เช่นนี้​ไม่ได้​อยู่ดี​”

ซ่งจี๋ซิน​หันหน้า​ไป​มอง​แม่นาง​น้อย​ที่​มีชาติกำเนิด​มาจาก​สุกล​อวี๋​เสาค้ำ​ยัน​แคว้น​ ยิ้ม​บาง​ๆ เอ่ย​ว่า​ “ไปหา​เหล้า​ดื่ม​เอง​เถอะ​ หา​เจอ​ได้​เท่าไร​ก็​ล้วน​ถือเป็น​ของ​เจ้า”

ใน​อดีต​ตอน​ที่อยู่​จวน​อ๋อง​เจ้าเมือง​ ซ่งจี๋ซิน​กับ​สิบ​คน​ของ​สาย​แผนภูมิ​ดิน​ต่าง​ไม่ถือว่า​เป็น​คนแปลกหน้า​ต่อกัน​ ทั้ง​ไม่ได้​ดึง​มาเป็น​พวก​ แต่​ก็​ไม่ห่างเหิน​ หยุด​อยู่​แค่​พอสมควร​

อวี๋อวี๋​ใช้หมัด​ทุบ​ฝ่ามือ​ ใบหน้า​เต็มไปด้วย​ความ​ลิงโลด​ เสด็จ​อา​ของ​ซ่งซวี่​ท่าน​นี้​ช่างเป็น​คน​มีคุณธรรม​อันดับ​หนึ่ง​เสีย​จริง​ เสียดาย​ที่​ทุกวันนี้​ยัง​ไม่แต่ง​ภรรยา​มีบุตร​ ไม่รู้​ว่า​วันหน้า​สตรี​คนใด​จะโชคดี​

ใน​เมื่อ​ได้รับ​คำสั่ง​จาก​ท่าน​อ๋อง​แห่ง​พื้นที่​ศักดินา​ นาง​จึงตั้งใจ​ไป​ค้นหา​สุรา​อย่าง​เต็มที่​

ซ่งจี๋ซิน​หันหน้า​ไป​เอ่ย​กับ​ผู้ฝึก​ตน​ติดตาม​กองทัพ​คน​หนึ่ง​ของ​จวน​อ๋อง​เจ้าเมือง​ “สั่งการ​ลง​ไป​ เรือข้ามฟาก​จะจอด​ที่นี่​ชั่วคราว​ ไม่รีบร้อน​ออกเดินทาง​”

ผู้ฝึก​ตน​พยักหน้า​รับ​แล้ว​จากไป​อย่าง​เงียบเชียบ​

ซ่งจี๋ซิน​ฟุบ​ตัว​อยู่​บน​ราว​รั้ว​ ซ่งซวี่​ยืน​อยู่​ด้าน​ข้าง​อย่าง​นอบน้อม​

คน​หนึ่ง​คือ​อ๋อง​เจ้าเมือง​ คน​หนึ่ง​คือ​องค์​ชาย​ พา​กัน​ก้ม​มอง​ขุนเขา​สายน้ำ​สกุล​ซ่งเบื้อง​ใต้​เรือข้ามฟาก​ด้วยกัน​

ซ่งจี๋ซิน​ถามชวน​คุย​ “พบ​หน้า​กัน​ครั้งนี้​ ดูเหมือนว่า​เจ้าจะโต​ขึ้น​อีกแล้ว​ คิดตก​แล้ว​หรือ​ไร​?”

ซ่งซวี่​พยักหน้า​รับ​

ซ่งจี๋ซิน​ไม่ได้​พูด​อะไร​เกี่ยวกับ​เรื่อง​นี้​มาก​นัก​ ต่อให้​เป็น​ใน​ครอบครัว​เดียวกัน​ แต่​ขอ​แค่​มีคน​มาก​ เจ้าประมุข​ตระกูล​ก็​ยัง​มีใจลำเอียง​น้อย​ใหญ่​ต่อ​บุตรชาย​หญิง​อย่าง​เลี่ยง​ไม่ได้​

อะไร​ที่​เรียก​ว่า​ลำเอียง​ ก็​คือ​ฝนตก​เหมือนกัน​ ทว่า​น้ำฝน​ที่​ตกลง​ใน​ที่นา​ของ​ตน​กลับ​น้อยกว่า​ของ​คนอื่น​

คำ​ปลอบใจ​ของ​คน​ที่อยู่​ข้างๆ​ ต่อให้​มาจาก​ความหวังดี​ ทำนอง​ว่า​ไม่เป็นไร​หรอก​ เดี๋ยว​ก็​ดีขึ้น​ ทว่า​คนฟัง​กลับ​เหมือน​ต้อง​ดื่ม​น้ำ​รส​ขม​กา​หนึ่ง​จน​เต็มอิ่ม​ ส่วน​คนพูด​ก็​ยัด​น้ำตาล​เล็กน้อย​เข้ามา​ใน​ปาก​ หลังจากนั้น​มีแต่​จะทำให้​คน​ยิ่ง​รู้สึก​ขมขื่น​มากกว่า​เดิม​

ราชสำนัก​ใน​ทุกวันนี้​ ฮ่องเต้​องค์​ปัจจุบัน​มีปรีชา​ฌาน​ทาง​ด้าน​การปกครอง​ มีคุณูปการ​ทาง​ด้าน​การ​สู้รบ​ ถูก​มอง​เป็น​จักรพรรดิ​ที่​มาก​ความสามารถ​ที่สุด​ของ​สกุล​ซ่งต้า​หลี​

ซ่งจี๋ซิน​ยิ้ม​เอ่ย​ “ตัวเอง​คิดตก​แล้วก็​ดีแล้ว​ เอา​ของขวัญ​มาให้​เจ้าชิ้น​หนึ่ง​ เป็น​แท่น​ฝน​หมึก​สอง​อัน​ ล้วน​เป็น​ของ​เลียนแบบ​ ว่า​กัน​ว่า​พลัด​หลง​มาจาก​เชื้อพระวงศ์​จูอิ๋ง​เก่า​ มีค่า​แค่​ไม่กี่​เหรียญเงิน​เทพ​เซียน​เท่านั้น​”

แท่น​ฝน​หมึก​สอง​อัน​เลียนแบบ​แท่น​ฝน​หมึก​สามสิบ​หก​ถ้ำสวรรค์​ และ​แท่น​ฝน​หมึก​เจ็ด​สิบสอง​พื้นที่​มงคล​ ล้วน​ใช้ไม้จื่อ​ถาน​ฝังเลื่อม​ด้วย​หยก​ทำเป็น​กล่อง​บรรจุ​ ห่อ​ด้วย​ผ้าแพร​ปัก​ลาย​ แกะสลัก​ด้วย​อักษร​ลี่​ซู ด้านหลัง​แท่น​ฝน​หมึก​แต่ละ​ชิ้น​มีตา​หิน​ (ลักษณะ​เป็น​วง​ๆ บน​พื้น​หิน​คล้าย​ดวงตา​ จึงเรียก​ว่า​ตา​หิน​) สามสิบ​หก​ดวง​และ​เจ็ด​สิบสอง​ดวง​ ก็​เหมือน​อย่าง​ที่​ซ่งจี๋ซินบ​อก​ ไม่ถือว่า​มีราคา​ ก็​แค่​มีความหมาย​ที่​ดี​ซึ่งถือว่า​ให้​เป็น​นิมิตหมาย​ที่​ดี​ได้​ ใน​เมือ​ซ่งซวี่​ตัดสินใจ​ว่า​จะสงบใจ​ฝึก​ตน​ เป็น​เทพ​เซียน​บน​ภูเขา​ ซ่งจี๋ซิน​ที่​เป็น​เสด็จ​อา​มอบ​ของ​ชิ้น​นี้​ให้​กับ​หลานชาย​ก็​เหมาะสม​อย่างยิ่ง​ หาก​ซ่งซวี่​ยัง​คิด​ไม่ตก​ก็​สามารถ​ถือว่า​เป็น​คำเตือน​ด้วย​ความปรารถนาดี​ได้​

ซ่งจี๋ซิน​ถามชวน​คุย​ “เจอ​เฉิน​ผิง​อัน​ ได้​พูดคุย​กัน​แล้ว​หรือ​?”

ซ่งซวี่​ยิ้มเจื่อน​เอ่ย​ว่า​ “กล้ำกลืน​ความยากลำบาก​ไป​เสีย​เต็มอิ่ม​ สู้ไม่ได้​ แล้วก็​วางแผน​เล่นงาน​ไม่ได้​”

ซ่งจี๋ซิน​ที่​เป็น​ผู้อาวุโส​กลับ​ไม่ค่อย​มีเมตตาธรรม​เท่าใด​นัก​ ไม่เพียงแต่​ไม่ปลอบใจ​หลานชาย​ กลับกัน​ยังมี​ท่าที​สมน้ำหน้า​อย่าง​ไม่ปิดบัง​ เขา​ตบ​ราว​รั้ว​ ยิ้ม​ตาหยี​เอ่ย​ว่า​ “ไม่ผิด​จาก​ที่​คาด​”

ซ่งซวี่​ถามอย่าง​ใคร่รู้​ “เสด็จ​อา​กับ​อาจารย์​เฉิน​เป็น​เพื่อนบ้าน​กัน​มานาน​หลาย​ปี​ ดูเหมือนว่า​ความสัมพันธ์​ค่อนข้างจะ​…ซับซ้อน​?”

ซ่งจี๋ซินพ​ยัก​หน้า​ “ยาก​จะอธิบาย​ได้​หมด​ใน​คำ​เดียว​ ไม่ได้​เป็น​สหาย​ที่​ใช้ใจแลก​ใจอะไร​กัน​ แต่​ก็​โชคดี​ที่​ไม่ได้​เป็น​ศัตรู​ จะเตือน​เจ้าสัก​คำ​ หาก​ไม่ใช่ว่า​อับจน​หนทาง​จริงๆ​ ก็​อย่า​ไป​หาเรื่อง​เฉิน​ผิง​อัน​อีก​ คน​ทั่วไป​ยากจน​จน​ไม่มีข้าว​ให้ได้​กิน​อิ่ม​ เอา​ข้าว​ให้​เขา​คำ​หนึ่ง​ก็​รู้จัก​พอแล้ว​ แต่​เฉิน​ผิง​อัน​กลับ​ไม่ได้​เป็น​อย่างนั้น​ ทุกครั้งที่​ยืน​อยู่​ริมน้ำ​อยากได้​ปลา​ก็​จะเก็บงำ​อำพราง​ความต้องการ​แล้ว​เปลี่ยน​หา​วิธีการ​ที่​เหมาะสม​ยิ่งกว่า​ มอบ​ปลา​ให้​ไม่สู้สอน​ให้​ตกปลา​ เขา​เรียนรู้​อะไร​ได้​ไม่เร็ว​เท่า​หลิว​เสี้ยน​หยาง​ แต่กลับ​มั่นคง​ยิ่งกว่า​ เพราะ​เรียนรู้​ช้า คง​เป็น​เพราะ​รู้สึก​ว่า​กว่า​จะได้มา​ไม่ง่าย​ จึงกลายเป็น​ว่า​ยิ่ง​ทะนุถนอม​เห็น​ค่า​มากกว่า​เดิม​ ได้​ใหม่​ไม่ลืม​เก่า​ คน​ประเภท​นี้​ หาก​เป็น​ศัตรู​ด้วย​ อันที่จริง​กลับ​น่ากลัว​อย่าง​มาก​”

ซ่งซวี่​ขยี้​ซีก​หน้า​ตัวเอง​แรง​ๆ “เป็น​เช่นนี้​จริง​ อาจารย์​เฉิน​ลงมือ​จัดการ​กับ​ศัตรู​ก็​มีวิธีการ​ให้​ใช้ไม่หมดสิ้น​ เวท​คาถา​วิชา​อภินิหาร​ปน​กัน​หลาก​หลายอย่าง​น่า​เหลือเชื่อ​”

บน​เรือ​มีแขก​อีก​คน​มาเยือน​

จ้าว​เหยา​รอง​เจ้ากรม​พิธีการ​ฝ่ายขวา​

ซ่งซวี่​เป็น​เด็ก​รุ่นเยาว์​ จ้าว​เหยา​กลับเป็น​สหาย​เก่า​ร่วม​บ้านเกิด​ร่วม​ห้องเรียน​

ฮ่องเต้​พระองค์​นั้น​รู้​ขอบเขต​ดี​ยิ่ง​

ซ่งจี๋ซิน​ยิ้ม​พลาง​กวักมือ​เอ่ย​ “จ้าว​ตอไม้​ ไม่ได้​เจอกัน​นาน​เลย​นะ​”

กลับมา​พบ​เจอกัน​อีกครั้ง​ยาม​ใด​ ยาม​ปี​ที่​พืชพรรณ​ธัญญาหาร​อุดมสมบูรณ์​ พานพบ​ระหว่าง​เมฆและ​น้ำ​

จ้าว​เหยา​ประสานมือ​คารวะ​ จากนั้น​เอ่ย​ถามว่า​ “ไม่สู้เล่น​หมากล้อม​กัน​สัก​ตา​ เล่น​ไป​คุย​กัน​ไป​ดี​ไหม​?”

ซ่งจี๋ซิน​ยิ้ม​กล่าว​ “เล่น​ไม่ไหว​แล้ว​ ทุกวันนี้​เจ้าเป็น​เทพ​เซียน​บน​ภูเขา​ที่​ฝึก​ตน​ประสบความสำเร็จ​แล้ว​ ความคิด​ย่อม​รอบคอบ​รัดกุม​ จิตวิญญาณ​เต็มเปี่ยม​ ข้า​ต้อง​แพ้​แน่​ ไม่ให้โอกาส​เจ้าได้​กอบกู้​ศักดิ์ศรี​คืน​ไป​หรอก​”

จ้าว​เหยา​พลัน​เอ่ย​ว่า​ “ซ่งจี๋ซิน​ ข้า​มอง​คน​ไม่ผิด​เลย​ เจ้าร้ายกาจ​จริงๆ​”

นับตั้งแต่​ตอนที่​อายุ​ยัง​น้อย​ จ้าว​เหยา​ที่​มาจาก​ตระกูล​ชั้นสูง​บน​ถนน​ฝูลวี่​ก็​นับถือ​ซ่งจี๋ซินอ​ย่าง​สุดจิต​สุดใจ​อยู่แล้ว​

ตอนที่​คน​ทั้งสอง​ไป​ขอ​เล่าเรียน​ภายใต้​สำนัก​ของ​อาจารย์​ฉีพร้อมกัน​ ไม่ว่า​จะเป็นเล่น​หมากล้อม​ อ่าน​ตำรา​ไข​ความรู้​ เขา​ล้วน​มีฝีมือ​สูงกว่า​จ้าว​เหยา​ระดับ​หนึ่ง​

ดังนั้น​ท่าที​ที่​จ้าว​เหยา​มีต่อ​ซ่งจี๋ซิน​แห่ง​ตรอก​หนี​ผิง​จึงคล้าย​เฉิน​ผิง​อัน​ที่​ปฏิบัติ​ต่อ​หลิว​เสี้ยน​หยาง​

ซ่งจี๋ซินตบ​ไหล่​จ้าว​เหยา​ ยิ้ม​ตาหยี​เอ่ย​ว่า​ “สรุป​แล้​วจะ​ชมข้า​หรือ​ชมว่า​ตัวเอง​สายตา​ดีกัน​แน่​? เจ้าใช้ได้​เลย​นี่​นา​ หลาย​ปี​มานี้​ไม่ได้​อยู่​ใน​วงการ​ขุนนาง​มาอย่าง​เสียเปล่า​ รู้จัก​พูด​กว่า​ตอน​เป็น​เด็ก​เยอะ​เลย​”

จ้าว​เหยา​หัวเราะ​ฮ่าๆ “ยิง​ธนู​นัด​เดียว​ได้​นก​สอง​ตัว​ ทุกคน​ล้วน​ยินดี​”

ซ่งซวี่​อึ้ง​ตะลึง​ไป​เล็กน้อย​

แม้จะบอ​กว่า​จ้าว​เหยา​อายุ​น้อย​ๆ ก็​เป็น​คน​ที่​เลื่อน​ไป​อยู่​ใจกลาง​วงการ​ขุนนาง​แล้ว​ อีก​ทั้ง​ยังมี​ความเป็นมิตร​กับ​ผู้คน​ คำวิจารณ์​ที่​เกี่ยวกับ​เขา​ใน​ราชสำนัก​ต้า​หลี​ก็​ดีเยี่ยม​ สิ่งเดียว​ที่​ขาด​ก็​คือ​ขาด​สถานะ​ขุนนาง​น้ำ​ใสที่​มีชื่อ​สอบ​ติด​เค​อจวี่​ นอกจากนี้​ก็​ยัง​ไม่เคย​สร้าง​คุณูปการ​ใน​สนามรบ​มาก่อน​

หาก​จะบอ​กว่า​น้ำ​ใสทางตรง​ของ​ขุนนาง​บุ๋น​ต้า​หลี​คือ​ปลา​หลี​กระโดด​ข้าม​ประตู​มังกร​ซึ่งมาจาก​เส้นทาง​ของ​การ​สอบ​เค​อจวี่​ ถ้าอย่างนั้น​จ้าว​เหยา​ผู้​นี้​ก็​เหมือน​สุนัขจิ้งจอก​ฌาน​ (แปล​ตรงตัว​จาก​คำ​ว่า​ 野狐禅 คือ​คำ​เหน็บแนม​ที่​นิกาย​เซ็น​หรือ​นิกาย​ฌาน​ใช้กล่าวถึง​พวก​คน​ที่​แสร้ง​ทำเป็น​รู้แจ้ง​และ​หลง​เดิน​ไป​ใน​เส้นทาง​ของ​ความ​ชั่วร้าย​) ที่อยู่​ใน​ถ้ำขน​ทอง​

แต่​ซ่งซวี่​กลับ​รู้สึก​ว่า​จ้าว​เหยา​คือ​ผู้ฝึก​ตน​คน​หนึ่ง​ที่​มีความหยิ่ง​ทระนง​ใน​ศักดิ์ศรี​อย่าง​มาก​ ก็​เหมือน​นก​กระเรียน​ป่า​ที่​โบยบิน​อยู่​ใน​หมู่​เมฆอย่าง​เดียวดาย​ที่​แค่​มาหยุดพัก​อยู่​ใน​ราชสำนัก​ชั่วคราว​ สักวันหนึ่ง​จะต้อง​สยาย​ปีก​โผบิน​ไป​บน​นภา​กา​ศสีคราม​

ทุกวันนี้​ใน​ราชสำนัก​ต้า​หลี​ต่าง​ก็​สงสัย​ใคร่​รู้เรื่อง​หนึ่ง​ ซ่งมู่อ๋อง​เจ้าเมือง​ จ้าว​เหยา​แห่ง​กรม​พิธีการ​ สรุป​แล้ว​ถือว่า​เป็น​ลูกศิษย์​ผู้สืบทอด​ของ​สาย​เห​วิน​เซิ่งหรือไม่​

ซ่งจี่ซิน​เอ่ย​สัพยอก​ “เจอ​กับ​อาจารย์​อาเฉิน​ของ​เจ้าคน​นั้น​แล้ว​หรือ​? คุย​กัน​เป็น​อย่างไรบ้าง​?”

จ้าว​เหยา​ยิ้ม​กล่าว​ “ไม่เลว​เท่าไร​ เข้ากันได้ดี​เลย​ล่ะ​”

ออกจาก​ตรอก​เก่า​โทรม​ที่​โจว​ไห่​จิ้งพักอาศัย​อยู่​ชั่วคราว​ ฝีเท้า​ของ​เฉิน​ผิง​อัน​พลัน​ซวนเซ​ไม่มั่นคง​ เขา​ยก​เท้า​ข้าง​หนึ่ง​เหยียบ​ลงพื้น​หนัก​ๆ พอ​ยก​เท้า​อีก​ข้าง​ก้าว​ออก​ไป​กลับ​เบา​สบาย​กว่า​มาก​แล้ว​

เฉิน​ผิง​อัน​ยกมือ​ข้าง​หนึ่ง​ขึ้น​มา ท่าทาง​ดู​ไม่คุ้นชิน​อย่าง​เห็นได้ชัด​ แต่กระนั้น​ก็​ยัง​รวบ​เอา​ท่วงทำนอง​ที่​เหลืออยู่​ของ​มรรค​กถา​มาได้​ใน​เสี้ยว​วินาที​

คิดไม่ถึง​ว่า​ตน​ที่อยู่​ใน​ใต้​หล้า​ไพศาล​ก็​จะเป็น​ขอบเขต​สิบ​สี่เช่นเดียวกัน​?!

เป็นเหตุให้​เฉิน​ผิง​อัน​เพียงแค่​ทำท่า​ง่ายๆ​ อย่าง​การ​กระทืบเท้า​ สำหรับ​เมืองหลวง​ต้า​หลี​แล้ว​กลับ​กลายเป็น​ภาพ​บรรยากาศ​แห่ง​ฟ้าดิน​ที่​ราวกับ​มีคลื่น​ถาโถมซัด​กระหน่ำ​

เฉิน​ผิง​อัน​มอง​ไป​ยัง​ทิศ​ที่ตั้ง​ของกอง​โหราศาสตร์​ใน​เมืองหลวง​แวบ​หนึ่ง​ ทาง​ฝั่งนั้น​ต้อง​สัมผัส​ได้​แล้ว​อย่าง​แน่นอน​ และ​ยังมี​ป๋า​ยอ​วี้​จิงจำลองใน​เมืองหลวง​แห่ง​ที่สอง​นั่น​ด้วย​

ที่ว่าการ​กอง​โหราศาสตร์​เมืองหลวง​ต้า​หลี​คือ​พื้นที่​ต้องห้าม​ที่​มีการป้องกัน​อย่าง​เข้มงวด​ ว่า​กัน​ว่า​ระดับ​ความเข้มงวด​เป็นรอง​แค่​วังหลวง​และ​สุสาน​หลวง​เท่านั้น​

จำนวน​คน​มีไม่มาก​ ขุนนาง​และ​เสมียน​ของ​แต่ละ​ฝ่าย​รวมกัน​ยังมี​ไม่ถึงสอง​ร้อย​คน​

ใน​บรรดา​ที่ว่าการ​มากมาย​ของ​ต้า​หลี​ ที่นี่​คือ​สถานที่​แห่ง​หนึ่ง​ที่​มีไอ​เมฆหมอก​ล้อ​มวน​บดบัง​ ไม่ปราก​ฎเด่นชัด​มาก​ที่สุด​

สืบทอด​ต่อกัน​มาหลาย​ยุค​หลาย​สมัย​ เป็น​กิจการ​ที่​บุตร​รับ​ช่วงต่อ​จาก​บิดา​ ขุน​นางใน​กอง​โหราศาสตร์​ทุกคน​มิอาจ​โยกย้าย​ไป​ทำงาน​ตำแหน่ง​อื่น​ได้​ หาก​ขาด​ตำแหน่ง​ใด​ไป​ก็​จะให้​ฝ่าย​งาน​ใน​กอง​โหราศาสตร์​เข้ามา​เสริม​ตำแหน่ง​ไล่​ตามลำดับ​เอง​ หาก​ไม่ใช่คำสั่ง​พิเศษ​จาก​ทาง​ราชสำนัก​ก็​ห้าม​ให้​มีการ​ลดขั้น​เลื่อนขั้น​ ลาออก​หรือ​เกษียณ​ง่ายๆ​ ดังนั้น​จึงเป็น​ชามข้าว​เหล็ก​ที่​ไม่มีทาง​หาย​ไป​ไหน​ได้​ มีความหมาย​อยู่​สองชั้น​ก็​คือ​ ไม่มีคนนอก​มาแย่งชิง​ และ​ตัวเอง​ก็​วาง​ลง​ไม่ได้​ด้วย​

แม้ว่า​ขุนนาง​ของกอง​โหราศาสตร์​ทุกคน​จะอยู่​ใน​เมืองหลวง​ของ​ต้า​หลี​ แต่​อันที่จริง​กลับ​เท่ากับ​ว่า​ตัดขาด​จาก​โลก​ภายนอก​แล้ว​ แทบ​ไม่มีความสัมพันธ์​ใดๆ​ กับ​ภายนอก​ ทุกครั้งที่​ออก​ไป​ข้างนอก​ก็​ล้วน​ต้อง​มีการ​ตรวจสอบ​ รายงาน​หลาย​ชั้น​ตั้งแต่​ฝ่ายใน​กันเอง​ไป​จนถึง​ฝ่าย​กรม​พิธีการ​ เอกสาร​ผ่าน​ด่าน​พิเศษ​ใน​การออกไป​ข้างนอก​ทุกครั้ง​ เมื่อ​ใช้ไป​แล้ว​ครั้งหนึ่ง​ก็​เท่ากับ​ว่า​ถูก​เพิกถอน​ แล้ว​ยัง​ต้อง​มีการ​บันทึก​ลง​เอกสาร​ คน​ที่อยู่​ข้างใน​ไม่กล้า​ผูกมิตร​ตีสนิท​กับ​ขุนนาง​ ส่วน​ขุนนาง​เมืองหลวง​ที่อยู่​ข้างนอก​ก็​ยิ่ง​ไม่กล้า​คบค้าสมาคม​กับ​กอง​โหราศาสตร์​ หาก​มีความเกี่ยวข้องกัน​เกินขอบเขต​แม้แต่​นิดเดียว​ก็​ง่าย​ที่จะ​สูญเสีย​หมวก​ขุนนาง​ใบ​นี้​ไป​ แล้ว​ยัง​เป็นการ​เสีย​หมวก​ขุนนาง​ประเภท​ที่ว่า​ต้อง​เสียหัว​ตัวเอง​ตาม​ไป​ด้วย​

เฉิน​ผิง​อัน​เดิน​เนิบ​ช้าอยู่​ใน​ตรอก​เส้น​หนึ่ง​

ข้าว​ชนิด​เดียวกัน​เลี้ยง​คน​ได้​ร้อย​รูปแบบ​

มองโลก​ที่​ฟ้าดิน​กว้างใหญ่​ไพศาล​ใบ​นี้​ ดูเหมือนว่า​ไม่ว่า​ใคร​ก็​ล้วน​เป็น​คนตาบอด​ที่​กำลัง​คลำ​ช้าง

ขอบเขต​สายตา​ที่​มองเห็น​ไม่เหมือนกัน​ มุมมอง​ไม่เหมือนกัน​ ผลลัพธ์​ที่​ได้​ออกมา​ก็​ย่อม​ต่างกัน​ราว​ฟ้ากับ​เหว​

ผู้ฝึก​ยุทธ​เต็มตัว​ สิ่งที่​สายตา​มอง​ไป​เห็น​ วัตถุ​ที่​จับต้อง​ได้​จริง​หลายอย่าง​ล้วน​ชัดเจน​แจ่มแจ้ง ส่วน​ผู้ฝึก​ตน​กลับ​สามารถ​มองเห็น​การ​ไหลเวียน​ของ​ปราณ​วิญญาณ​ฟ้าดิน​ได้​อย่าง​เลือนราง​ นอกจากนี้​ก็​ยังมี​ศาสตร์​การ​มอง​ลมปราณ​ของ​สิ่งศักดิ์สิทธิ์​ด้วย​

ระหว่าง​ที่​ความคิด​ของ​เฉิน​ผิง​อัน​ขึ้นๆ ลงๆ​ ฟ้าดิน​ก็​คล้าย​เกิด​การเปลี่ยนแปลง​ที่​เล็ก​ละเอียด​ตาม​ไป​ด้วย​ ยิ่ง​ขยับ​เข้าใกล้​ทิศทาง​ของ​กำแพงเมือง​ปราณ​กระบี่​ หรือ​ควรจะ​พูดว่า​ใต้​หล้า​เปลี่ยว​ร้าง​ ขอบเขต​ที่​ยืม​ลู่​เฉิน​มาชั่ว​คราวนี้​ก็​ยิ่ง​ลด​ฮวบ​ไป​อย่าง​รวดเร็ว​ ดูท่า​แล้ว​คน​คน​เดียวกัน​ แต่​ก็​น่าจะ​มีการ​แบ่ง​หลัก​แบ่ง​รอง​ด้วย​

แบบนี้​ต่างหาก​จึงจะสมเหตุสมผล​

ไม่อย่างนั้น​ตน​อาศัย​มรรค​กถา​ค้ำฟ้า​ของ​ตบะ​ขอบเขต​สิบ​สี่มุ่งหน้า​ไป​เยือน​ใต้​หล้า​เปลี่ยว​ร้าง​ จะไม่เท่ากับ​ว่า​มีขอบเขต​สิบ​สี่โผล่​เพิ่ม​มาสอง​คน​เลย​หรือ​

ก่อนหน้านี้​ตอนที่​ห​ลี่​เซิ่งอยู่​ที่​หอ​เห​ริ​นอวิ๋น​อี้​อวิ๋น​ การ​ที่​เขา​ตอบ​ตกลง​กับ​อาจารย์​ว่า​จะลองดู​อีก​สักครั้ง​ ก็​เป็น​เพราะว่า​ได้​เดิน​เลียบ​ตอน​บน​ตอน​ล่าง​ของ​แม่น้ำ​แห่ง​กาลเวลา​มาเห็น​ถึงก้าว​นี้​แล้ว​หรือไม่​?

ถ้าอย่างนั้น​ห​ลี่​เซิ่งหวัง​ให้​ตน​อาศัย​โอกาส​นี้​ ทำ​อะไร​?

หาก​เป็น​แค่​การกระทำ​ที่​กระทำ​ไป​ตาม​โอกาส​ของ​ห​ลี่​เซิ่ง ไม่ได้​มีเป้าหมาย​อะไร​ ถ้าอย่างนั้น​เฉิน​ผิง​อัน​ที่​ได้​ครอบครอง​มรรค​กถา​นี้​ อันที่จริง​กลับ​สามารถ​ทำ​อะไร​ได้​มากมาย​ ยกตัวอย่างเช่น​กลับ​ภูเขา​ลั่ว​พัว​ที่​เป็น​บ้านเกิด​ไป​รอบ​หนึ่ง​ หรือไม่​ก็​ใช้ค่าตอบแทน​ที่​ ‘ขอบเขต​ถดถอย​’ มาเดินทางไกล​ไป​เยือน​อุตรกุรุทวีป​หรือไม่​ก็​ใบ​ถงทวีป​

เฉิน​ผิง​อัน​พลัน​เกิด​ความคิด​ที่​แรงกล้า​อย่างหนึ่ง​

ก้าว​หนึ่ง​ก้าว​ออก​ไป​จาก​เมืองหลวง​ต้า​หลี​ มาโผล่​ที่​เรือน​หลัง​ของ​ร้าน​ยา​ตระกูล​หยาง​โดยตรง​ ทั้ง​เหมือน​ความคิด​ที่​เกิดขึ้น​มาตามอารมณ์​ และ​ก็​ทั้ง​เหมือน​ดวงจิต​ถูก​กระชาก​ให้​เดิน​ไป​โดยที่​มองไม่เห็น​

ผล​คือ​เฉิน​ผิง​อัน​ได้​ไป​เจอ​กับ​นักพรต​ที่​มีลักษณะ​เป็น​เด็กหนุ่ม​คน​หนึ่ง​

มรรคา​จารย์​เต๋า​ยิ้ม​ถาม “มีคน​ที่​นับตั้งแต่​เด็ก​มาก็​คอย​มอง​ดวงดาว​ของ​แต่ละ​ยุค​แต่ละ​สมัย​อยู่​เพียงลำพัง​ เฉิน​ผิง​อัน​ เจ้าลอง​พูด​มาสิว่า​ คน​ผู้​นี้​ลำบาก​หรือไม่​?”

ป๋า​ย​เสวียน​คีบ​อาหาร​ให้​ชุยตง​ซาน​ทันใด​ ถามอย่าง​ใคร่รู้​ว่า​ “นอกจาก​ใต้เท้า​อิ่น​กวาน​แล้ว​ สรุป​ว่า​มีใคร​ที่​เผย​เฉียน​กลัว​หรือไม่​?”

ชุยตง​ซาน​ตอบ​ “มีสิ กวอ​จู๋จิ่ว​ไงล่ะ​”

ป๋า​ย​เสวียน​อึ้ง​ค้าง​ไป​นาน​ แน่นอน​ว่า​เขา​ต้อง​เคย​ได้ยิน​เรื่อง​ของ​กวอ​จู๋จิ่ว​ของ​ที่​บ้านเกิด​ เป็น​บุคคล​ที่​มีชื่อเสียง​เลื่องลือ​คน​หนึ่ง​ ดูเหมือนว่า​นาง​จะเข้าไป​อยู่​คฤหาสน์​หลบ​ร้อน​เพื่อ​รับหน้าที่​เป็น​ผู้ฝึก​กระบี่​สาย​อิ่น​กวาน​ด้วย​

หลังจาก​อาหาร​มื้อ​หนึ่ง​ผ่าน​ไป​ หน่วน​ซู่และ​หมี่​ลี่​น้อย​ก็​ช่วยกัน​เก็บ​ถ้วยชาม​ แต่​สุดท้าย​ยังคง​เป็น​พ่อครัว​เฒ่าที่​ไม่ยอมให้​แม่นาง​ทั้งสอง​ช่วยเหลือ​ ผูก​ผ้ากันเปื้อน​ไว้​ที่​เอว​แล้ว​เข้าไป​ทำความสะอาด​ห้องครัว​เพียงลำพัง​

จูเหลี่ยน​เก็บกวาด​ทำความสะอาด​เสร็จ​เรียบร้อย​ก็​ปลด​ผ้ากันเปื้อน​ออก​ เดิน​มานอก​ห้องครัว​แล้ว​หัวเราะ​

ทุกคน​ต่าง​เป็น​คนเขียน​ตำรา​ใน​ชีวิต​ของ​ตัวเอง​ ขณะเดียวกัน​การ​มองดู​คนอื่น​ก็​คือ​การ​เปิด​ตำรา​

บางที​โลก​อาจ​ดูเบา​พวกเรา​อย่าง​มาก​ แต่​พวกเรา​กลับ​เห็น​ตัวเอง​สำคัญ​เกินไป​

……

เรือข้ามฟาก​ลำ​หนึ่ง​ขยับ​เข้ามา​ใน​อาณาเขต​ของ​เมืองหลวง​ต้า​หลี​ช้าๆ ผู้ฝึก​ตน​สาย​แผนภูมิ​ดิน​สอง​คน​อย่าง​ซ่งซวี่​และ​อวี๋อวี๋​ต่าง​ก็​ทะยาน​ลม​มาขึ้น​เรือ​

ซ่งจี๋ซิน​วาง​ตำรา​ใน​มือ​ลง​ เดิน​ออกจาก​ห้อง​มาที่​หัว​เรือ​

ซ่งซวี่​กุม​หมัด​เอ่ย​ “ผู้​ถวายงาน​ต้า​หลี​ซ่งซวี่​ขึ้น​เรือ​มาพบ​ท่าน​อ๋อง​”

อวี๋อวี๋​กุม​หมัด​ยิ้ม​กล่าว​ “อวี๋อวี๋​คารวะ​ท่าน​อ๋อง​”

ซ่งจี๋ซิน​ยิ้ม​เอ่ย​ “นี่​คือ​วางท่า​ว่า​หน้าที่​ก็​ต้อง​เป็น​หน้าที่​อย่างนั้น​หรือ​?”

ซ่งซวี่​เอ่ย​อย่าง​จนใจ​ “หลาน​คารวะ​เสด็จ​อา​”

ซ่งจี๋ซินก​ล่า​ว​ว่า​ “ขอ​แค่​ข้า​ถอด​ชุด​คลุม​อ๋อง​ที่อยู่​บน​ร่าง​ตัว​นี้​ออก​ ก็​จะเป็น​แค่​ชาวบ้าน​อำเภอ​ไหว​หวง​คน​หนึ่ง​ที่มา​เที่ยว​เมืองหลวง​ พวก​เจ้าไม่ต้อง​ตื่นเต้น​”

ซ่งซวี่​ส่ายหน้า​ ยังคง​ยืนกราน​ใน​ความคิด​ของ​ตัวเอง​ “เสด็จ​อา​ ท่าน​ยังคง​ทำ​เช่นนี้​ไม่ได้​อยู่ดี​”

ซ่งจี๋ซิน​หันหน้า​ไป​มอง​แม่นาง​น้อย​ที่​มีชาติกำเนิด​มาจาก​สุกล​อวี๋​เสาค้ำ​ยัน​แคว้น​ ยิ้ม​บาง​ๆ เอ่ย​ว่า​ “ไปหา​เหล้า​ดื่ม​เอง​เถอะ​ หา​เจอ​ได้​เท่าไร​ก็​ล้วน​ถือเป็น​ของ​เจ้า”

ใน​อดีต​ตอน​ที่อยู่​จวน​อ๋อง​เจ้าเมือง​ ซ่งจี๋ซิน​กับ​สิบ​คน​ของ​สาย​แผนภูมิ​ดิน​ต่าง​ไม่ถือว่า​เป็น​คนแปลกหน้า​ต่อกัน​ ทั้ง​ไม่ได้​ดึง​มาเป็น​พวก​ แต่​ก็​ไม่ห่างเหิน​ หยุด​อยู่​แค่​พอสมควร​

อวี๋อวี๋​ใช้หมัด​ทุบ​ฝ่ามือ​ ใบหน้า​เต็มไปด้วย​ความ​ลิงโลด​ เสด็จ​อา​ของ​ซ่งซวี่​ท่าน​นี้​ช่างเป็น​คน​มีคุณธรรม​อันดับ​หนึ่ง​เสีย​จริง​ เสียดาย​ที่​ทุกวันนี้​ยัง​ไม่แต่ง​ภรรยา​มีบุตร​ ไม่รู้​ว่า​วันหน้า​สตรี​คนใด​จะโชคดี​

ใน​เมื่อ​ได้รับ​คำสั่ง​จาก​ท่าน​อ๋อง​แห่ง​พื้นที่​ศักดินา​ นาง​จึงตั้งใจ​ไป​ค้นหา​สุรา​อย่าง​เต็มที่​

ซ่งจี๋ซิน​หันหน้า​ไป​เอ่ย​กับ​ผู้ฝึก​ตน​ติดตาม​กองทัพ​คน​หนึ่ง​ของ​จวน​อ๋อง​เจ้าเมือง​ “สั่งการ​ลง​ไป​ เรือข้ามฟาก​จะจอด​ที่นี่​ชั่วคราว​ ไม่รีบร้อน​ออกเดินทาง​”

ผู้ฝึก​ตน​พยักหน้า​รับ​แล้ว​จากไป​อย่าง​เงียบเชียบ​

ซ่งจี๋ซิน​ฟุบ​ตัว​อยู่​บน​ราว​รั้ว​ ซ่งซวี่​ยืน​อยู่​ด้าน​ข้าง​อย่าง​นอบน้อม​

คน​หนึ่ง​คือ​อ๋อง​เจ้าเมือง​ คน​หนึ่ง​คือ​องค์​ชาย​ พา​กัน​ก้ม​มอง​ขุนเขา​สายน้ำ​สกุล​ซ่งเบื้อง​ใต้​เรือข้ามฟาก​ด้วยกัน​

ซ่งจี๋ซิน​ถามชวน​คุย​ “พบ​หน้า​กัน​ครั้งนี้​ ดูเหมือนว่า​เจ้าจะโต​ขึ้น​อีกแล้ว​ คิดตก​แล้ว​หรือ​ไร​?”

ซ่งซวี่​พยักหน้า​รับ​

ซ่งจี๋ซิน​ไม่ได้​พูด​อะไร​เกี่ยวกับ​เรื่อง​นี้​มาก​นัก​ ต่อให้​เป็น​ใน​ครอบครัว​เดียวกัน​ แต่​ขอ​แค่​มีคน​มาก​ เจ้าประมุข​ตระกูล​ก็​ยัง​มีใจลำเอียง​น้อย​ใหญ่​ต่อ​บุตรชาย​หญิง​อย่าง​เลี่ยง​ไม่ได้​

อะไร​ที่​เรียก​ว่า​ลำเอียง​ ก็​คือ​ฝนตก​เหมือนกัน​ ทว่า​น้ำฝน​ที่​ตกลง​ใน​ที่นา​ของ​ตน​กลับ​น้อยกว่า​ของ​คนอื่น​

คำ​ปลอบใจ​ของ​คน​ที่อยู่​ข้างๆ​ ต่อให้​มาจาก​ความหวังดี​ ทำนอง​ว่า​ไม่เป็นไร​หรอก​ เดี๋ยว​ก็​ดีขึ้น​ ทว่า​คนฟัง​กลับ​เหมือน​ต้อง​ดื่ม​น้ำ​รส​ขม​กา​หนึ่ง​จน​เต็มอิ่ม​ ส่วน​คนพูด​ก็​ยัด​น้ำตาล​เล็กน้อย​เข้ามา​ใน​ปาก​ หลังจากนั้น​มีแต่​จะทำให้​คน​ยิ่ง​รู้สึก​ขมขื่น​มากกว่า​เดิม​

ราชสำนัก​ใน​ทุกวันนี้​ ฮ่องเต้​องค์​ปัจจุบัน​มีปรีชา​ฌาน​ทาง​ด้าน​การปกครอง​ มีคุณูปการ​ทาง​ด้าน​การ​สู้รบ​ ถูก​มอง​เป็น​จักรพรรดิ​ที่​มาก​ความสามารถ​ที่สุด​ของ​สกุล​ซ่งต้า​หลี​

ซ่งจี๋ซิน​ยิ้ม​เอ่ย​ “ตัวเอง​คิดตก​แล้วก็​ดีแล้ว​ เอา​ของขวัญ​มาให้​เจ้าชิ้น​หนึ่ง​ เป็น​แท่น​ฝน​หมึก​สอง​อัน​ ล้วน​เป็น​ของ​เลียนแบบ​ ว่า​กัน​ว่า​พลัด​หลง​มาจาก​เชื้อพระวงศ์​จูอิ๋ง​เก่า​ มีค่า​แค่​ไม่กี่​เหรียญเงิน​เทพ​เซียน​เท่านั้น​”

แท่น​ฝน​หมึก​สอง​อัน​เลียนแบบ​แท่น​ฝน​หมึก​สามสิบ​หก​ถ้ำสวรรค์​ และ​แท่น​ฝน​หมึก​เจ็ด​สิบสอง​พื้นที่​มงคล​ ล้วน​ใช้ไม้จื่อ​ถาน​ฝังเลื่อม​ด้วย​หยก​ทำเป็น​กล่อง​บรรจุ​ ห่อ​ด้วย​ผ้าแพร​ปัก​ลาย​ แกะสลัก​ด้วย​อักษร​ลี่​ซู ด้านหลัง​แท่น​ฝน​หมึก​แต่ละ​ชิ้น​มีตา​หิน​ (ลักษณะ​เป็น​วง​ๆ บน​พื้น​หิน​คล้าย​ดวงตา​ จึงเรียก​ว่า​ตา​หิน​) สามสิบ​หก​ดวง​และ​เจ็ด​สิบสอง​ดวง​ ก็​เหมือน​อย่าง​ที่​ซ่งจี๋ซินบ​อก​ ไม่ถือว่า​มีราคา​ ก็​แค่​มีความหมาย​ที่​ดี​ซึ่งถือว่า​ให้​เป็น​นิมิตหมาย​ที่​ดี​ได้​ ใน​เมือ​ซ่งซวี่​ตัดสินใจ​ว่า​จะสงบใจ​ฝึก​ตน​ เป็น​เทพ​เซียน​บน​ภูเขา​ ซ่งจี๋ซิน​ที่​เป็น​เสด็จ​อา​มอบ​ของ​ชิ้น​นี้​ให้​กับ​หลานชาย​ก็​เหมาะสม​อย่างยิ่ง​ หาก​ซ่งซวี่​ยัง​คิด​ไม่ตก​ก็​สามารถ​ถือว่า​เป็น​คำเตือน​ด้วย​ความปรารถนาดี​ได้​

ซ่งจี๋ซิน​ถามชวน​คุย​ “เจอ​เฉิน​ผิง​อัน​ ได้​พูดคุย​กัน​แล้ว​หรือ​?”

ซ่งซวี่​ยิ้มเจื่อน​เอ่ย​ว่า​ “กล้ำกลืน​ความยากลำบาก​ไป​เสีย​เต็มอิ่ม​ สู้ไม่ได้​ แล้วก็​วางแผน​เล่นงาน​ไม่ได้​”

ซ่งจี๋ซิน​ที่​เป็น​ผู้อาวุโส​กลับ​ไม่ค่อย​มีเมตตาธรรม​เท่าใด​นัก​ ไม่เพียงแต่​ไม่ปลอบใจ​หลานชาย​ กลับกัน​ยังมี​ท่าที​สมน้ำหน้า​อย่าง​ไม่ปิดบัง​ เขา​ตบ​ราว​รั้ว​ ยิ้ม​ตาหยี​เอ่ย​ว่า​ “ไม่ผิด​จาก​ที่​คาด​”

ซ่งซวี่​ถามอย่าง​ใคร่รู้​ “เสด็จ​อา​กับ​อาจารย์​เฉิน​เป็น​เพื่อนบ้าน​กัน​มานาน​หลาย​ปี​ ดูเหมือนว่า​ความสัมพันธ์​ค่อนข้างจะ​…ซับซ้อน​?”

ซ่งจี๋ซินพ​ยัก​หน้า​ “ยาก​จะอธิบาย​ได้​หมด​ใน​คำ​เดียว​ ไม่ได้​เป็น​สหาย​ที่​ใช้ใจแลก​ใจอะไร​กัน​ แต่​ก็​โชคดี​ที่​ไม่ได้​เป็น​ศัตรู​ จะเตือน​เจ้าสัก​คำ​ หาก​ไม่ใช่ว่า​อับจน​หนทาง​จริงๆ​ ก็​อย่า​ไป​หาเรื่อง​เฉิน​ผิง​อัน​อีก​ คน​ทั่วไป​ยากจน​จน​ไม่มีข้าว​ให้ได้​กิน​อิ่ม​ เอา​ข้าว​ให้​เขา​คำ​หนึ่ง​ก็​รู้จัก​พอแล้ว​ แต่​เฉิน​ผิง​อัน​กลับ​ไม่ได้​เป็น​อย่างนั้น​ ทุกครั้งที่​ยืน​อยู่​ริมน้ำ​อยากได้​ปลา​ก็​จะเก็บงำ​อำพราง​ความต้องการ​แล้ว​เปลี่ยน​หา​วิธีการ​ที่​เหมาะสม​ยิ่งกว่า​ มอบ​ปลา​ให้​ไม่สู้สอน​ให้​ตกปลา​ เขา​เรียนรู้​อะไร​ได้​ไม่เร็ว​เท่า​หลิว​เสี้ยน​หยาง​ แต่กลับ​มั่นคง​ยิ่งกว่า​ เพราะ​เรียนรู้​ช้า คง​เป็น​เพราะ​รู้สึก​ว่า​กว่า​จะได้มา​ไม่ง่าย​ จึงกลายเป็น​ว่า​ยิ่ง​ทะนุถนอม​เห็น​ค่า​มากกว่า​เดิม​ ได้​ใหม่​ไม่ลืม​เก่า​ คน​ประเภท​นี้​ หาก​เป็น​ศัตรู​ด้วย​ อันที่จริง​กลับ​น่ากลัว​อย่าง​มาก​”

ซ่งซวี่​ขยี้​ซีก​หน้า​ตัวเอง​แรง​ๆ “เป็น​เช่นนี้​จริง​ อาจารย์​เฉิน​ลงมือ​จัดการ​กับ​ศัตรู​ก็​มีวิธีการ​ให้​ใช้ไม่หมดสิ้น​ เวท​คาถา​วิชา​อภินิหาร​ปน​กัน​หลาก​หลายอย่าง​น่า​เหลือเชื่อ​”

บน​เรือ​มีแขก​อีก​คน​มาเยือน​

จ้าว​เหยา​รอง​เจ้ากรม​พิธีการ​ฝ่ายขวา​

ซ่งซวี่​เป็น​เด็ก​รุ่นเยาว์​ จ้าว​เหยา​กลับเป็น​สหาย​เก่า​ร่วม​บ้านเกิด​ร่วม​ห้องเรียน​

ฮ่องเต้​พระองค์​นั้น​รู้​ขอบเขต​ดี​ยิ่ง​

ซ่งจี๋ซิน​ยิ้ม​พลาง​กวักมือ​เอ่ย​ “จ้าว​ตอไม้​ ไม่ได้​เจอกัน​นาน​เลย​นะ​”

กลับมา​พบ​เจอกัน​อีกครั้ง​ยาม​ใด​ ยาม​ปี​ที่​พืชพรรณ​ธัญญาหาร​อุดมสมบูรณ์​ พานพบ​ระหว่าง​เมฆและ​น้ำ​

จ้าว​เหยา​ประสานมือ​คารวะ​ จากนั้น​เอ่ย​ถามว่า​ “ไม่สู้เล่น​หมากล้อม​กัน​สัก​ตา​ เล่น​ไป​คุย​กัน​ไป​ดี​ไหม​?”

ซ่งจี๋ซิน​ยิ้ม​กล่าว​ “เล่น​ไม่ไหว​แล้ว​ ทุกวันนี้​เจ้าเป็น​เทพ​เซียน​บน​ภูเขา​ที่​ฝึก​ตน​ประสบความสำเร็จ​แล้ว​ ความคิด​ย่อม​รอบคอบ​รัดกุม​ จิตวิญญาณ​เต็มเปี่ยม​ ข้า​ต้อง​แพ้​แน่​ ไม่ให้โอกาส​เจ้าได้​กอบกู้​ศักดิ์ศรี​คืน​ไป​หรอก​”

จ้าว​เหยา​พลัน​เอ่ย​ว่า​ “ซ่งจี๋ซิน​ ข้า​มอง​คน​ไม่ผิด​เลย​ เจ้าร้ายกาจ​จริงๆ​”

นับตั้งแต่​ตอนที่​อายุ​ยัง​น้อย​ จ้าว​เหยา​ที่​มาจาก​ตระกูล​ชั้นสูง​บน​ถนน​ฝูลวี่​ก็​นับถือ​ซ่งจี๋ซินอ​ย่าง​สุดจิต​สุดใจ​อยู่แล้ว​

ตอนที่​คน​ทั้งสอง​ไป​ขอ​เล่าเรียน​ภายใต้​สำนัก​ของ​อาจารย์​ฉีพร้อมกัน​ ไม่ว่า​จะเป็นเล่น​หมากล้อม​ อ่าน​ตำรา​ไข​ความรู้​ เขา​ล้วน​มีฝีมือ​สูงกว่า​จ้าว​เหยา​ระดับ​หนึ่ง​

ดังนั้น​ท่าที​ที่​จ้าว​เหยา​มีต่อ​ซ่งจี๋ซิน​แห่ง​ตรอก​หนี​ผิง​จึงคล้าย​เฉิน​ผิง​อัน​ที่​ปฏิบัติ​ต่อ​หลิว​เสี้ยน​หยาง​

ซ่งจี๋ซินตบ​ไหล่​จ้าว​เหยา​ ยิ้ม​ตาหยี​เอ่ย​ว่า​ “สรุป​แล้​วจะ​ชมข้า​หรือ​ชมว่า​ตัวเอง​สายตา​ดีกัน​แน่​? เจ้าใช้ได้​เลย​นี่​นา​ หลาย​ปี​มานี้​ไม่ได้​อยู่​ใน​วงการ​ขุนนาง​มาอย่าง​เสียเปล่า​ รู้จัก​พูด​กว่า​ตอน​เป็น​เด็ก​เยอะ​เลย​”

จ้าว​เหยา​หัวเราะ​ฮ่าๆ “ยิง​ธนู​นัด​เดียว​ได้​นก​สอง​ตัว​ ทุกคน​ล้วน​ยินดี​”

ซ่งซวี่​อึ้ง​ตะลึง​ไป​เล็กน้อย​

แม้จะบอ​กว่า​จ้าว​เหยา​อายุ​น้อย​ๆ ก็​เป็น​คน​ที่​เลื่อน​ไป​อยู่​ใจกลาง​วงการ​ขุนนาง​แล้ว​ อีก​ทั้ง​ยังมี​ความเป็นมิตร​กับ​ผู้คน​ คำวิจารณ์​ที่​เกี่ยวกับ​เขา​ใน​ราชสำนัก​ต้า​หลี​ก็​ดีเยี่ยม​ สิ่งเดียว​ที่​ขาด​ก็​คือ​ขาด​สถานะ​ขุนนาง​น้ำ​ใสที่​มีชื่อ​สอบ​ติด​เค​อจวี่​ นอกจากนี้​ก็​ยัง​ไม่เคย​สร้าง​คุณูปการ​ใน​สนามรบ​มาก่อน​

หาก​จะบอ​กว่า​น้ำ​ใสทางตรง​ของ​ขุนนาง​บุ๋น​ต้า​หลี​คือ​ปลา​หลี​กระโดด​ข้าม​ประตู​มังกร​ซึ่งมาจาก​เส้นทาง​ของ​การ​สอบ​เค​อจวี่​ ถ้าอย่างนั้น​จ้าว​เหยา​ผู้​นี้​ก็​เหมือน​สุนัขจิ้งจอก​ฌาน​ (แปล​ตรงตัว​จาก​คำ​ว่า​ 野狐禅 คือ​คำ​เหน็บแนม​ที่​นิกาย​เซ็น​หรือ​นิกาย​ฌาน​ใช้กล่าวถึง​พวก​คน​ที่​แสร้ง​ทำเป็น​รู้แจ้ง​และ​หลง​เดิน​ไป​ใน​เส้นทาง​ของ​ความ​ชั่วร้าย​) ที่อยู่​ใน​ถ้ำขน​ทอง​

แต่​ซ่งซวี่​กลับ​รู้สึก​ว่า​จ้าว​เหยา​คือ​ผู้ฝึก​ตน​คน​หนึ่ง​ที่​มีความหยิ่ง​ทระนง​ใน​ศักดิ์ศรี​อย่าง​มาก​ ก็​เหมือน​นก​กระเรียน​ป่า​ที่​โบยบิน​อยู่​ใน​หมู่​เมฆอย่าง​เดียวดาย​ที่​แค่​มาหยุดพัก​อยู่​ใน​ราชสำนัก​ชั่วคราว​ สักวันหนึ่ง​จะต้อง​สยาย​ปีก​โผบิน​ไป​บน​นภา​กา​ศสีคราม​

ทุกวันนี้​ใน​ราชสำนัก​ต้า​หลี​ต่าง​ก็​สงสัย​ใคร่​รู้เรื่อง​หนึ่ง​ ซ่งมู่อ๋อง​เจ้าเมือง​ จ้าว​เหยา​แห่ง​กรม​พิธีการ​ สรุป​แล้ว​ถือว่า​เป็น​ลูกศิษย์​ผู้สืบทอด​ของ​สาย​เห​วิน​เซิ่งหรือไม่​

ซ่งจี่ซิน​เอ่ย​สัพยอก​ “เจอ​กับ​อาจารย์​อาเฉิน​ของ​เจ้าคน​นั้น​แล้ว​หรือ​? คุย​กัน​เป็น​อย่างไรบ้าง​?”

จ้าว​เหยา​ยิ้ม​กล่าว​ “ไม่เลว​เท่าไร​ เข้ากันได้ดี​เลย​ล่ะ​”

ออกจาก​ตรอก​เก่า​โทรม​ที่​โจว​ไห่​จิ้งพักอาศัย​อยู่​ชั่วคราว​ ฝีเท้า​ของ​เฉิน​ผิง​อัน​พลัน​ซวนเซ​ไม่มั่นคง​ เขา​ยก​เท้า​ข้าง​หนึ่ง​เหยียบ​ลงพื้น​หนัก​ๆ พอ​ยก​เท้า​อีก​ข้าง​ก้าว​ออก​ไป​กลับ​เบา​สบาย​กว่า​มาก​แล้ว​

เฉิน​ผิง​อัน​ยกมือ​ข้าง​หนึ่ง​ขึ้น​มา ท่าทาง​ดู​ไม่คุ้นชิน​อย่าง​เห็นได้ชัด​ แต่กระนั้น​ก็​ยัง​รวบ​เอา​ท่วงทำนอง​ที่​เหลืออยู่​ของ​มรรค​กถา​มาได้​ใน​เสี้ยว​วินาที​

คิดไม่ถึง​ว่า​ตน​ที่อยู่​ใน​ใต้​หล้า​ไพศาล​ก็​จะเป็น​ขอบเขต​สิบ​สี่เช่นเดียวกัน​?!

เป็นเหตุให้​เฉิน​ผิง​อัน​เพียงแค่​ทำท่า​ง่ายๆ​ อย่าง​การ​กระทืบเท้า​ สำหรับ​เมืองหลวง​ต้า​หลี​แล้ว​กลับ​กลายเป็น​ภาพ​บรรยากาศ​แห่ง​ฟ้าดิน​ที่​ราวกับ​มีคลื่น​ถาโถมซัด​กระหน่ำ​

เฉิน​ผิง​อัน​มอง​ไป​ยัง​ทิศ​ที่ตั้ง​ของกอง​โหราศาสตร์​ใน​เมืองหลวง​แวบ​หนึ่ง​ ทาง​ฝั่งนั้น​ต้อง​สัมผัส​ได้​แล้ว​อย่าง​แน่นอน​ และ​ยังมี​ป๋า​ยอ​วี้​จิงจำลองใน​เมืองหลวง​แห่ง​ที่สอง​นั่น​ด้วย​

ที่ว่าการ​กอง​โหราศาสตร์​เมืองหลวง​ต้า​หลี​คือ​พื้นที่​ต้องห้าม​ที่​มีการป้องกัน​อย่าง​เข้มงวด​ ว่า​กัน​ว่า​ระดับ​ความเข้มงวด​เป็นรอง​แค่​วังหลวง​และ​สุสาน​หลวง​เท่านั้น​

จำนวน​คน​มีไม่มาก​ ขุนนาง​และ​เสมียน​ของ​แต่ละ​ฝ่าย​รวมกัน​ยังมี​ไม่ถึงสอง​ร้อย​คน​

ใน​บรรดา​ที่ว่าการ​มากมาย​ของ​ต้า​หลี​ ที่นี่​คือ​สถานที่​แห่ง​หนึ่ง​ที่​มีไอ​เมฆหมอก​ล้อ​มวน​บดบัง​ ไม่ปราก​ฎเด่นชัด​มาก​ที่สุด​

สืบทอด​ต่อกัน​มาหลาย​ยุค​หลาย​สมัย​ เป็น​กิจการ​ที่​บุตร​รับ​ช่วงต่อ​จาก​บิดา​ ขุน​นางใน​กอง​โหราศาสตร์​ทุกคน​มิอาจ​โยกย้าย​ไป​ทำงาน​ตำแหน่ง​อื่น​ได้​ หาก​ขาด​ตำแหน่ง​ใด​ไป​ก็​จะให้​ฝ่าย​งาน​ใน​กอง​โหราศาสตร์​เข้ามา​เสริม​ตำแหน่ง​ไล่​ตามลำดับ​เอง​ หาก​ไม่ใช่คำสั่ง​พิเศษ​จาก​ทาง​ราชสำนัก​ก็​ห้าม​ให้​มีการ​ลดขั้น​เลื่อนขั้น​ ลาออก​หรือ​เกษียณ​ง่ายๆ​ ดังนั้น​จึงเป็น​ชามข้าว​เหล็ก​ที่​ไม่มีทาง​หาย​ไป​ไหน​ได้​ มีความหมาย​อยู่​สองชั้น​ก็​คือ​ ไม่มีคนนอก​มาแย่งชิง​ และ​ตัวเอง​ก็​วาง​ลง​ไม่ได้​ด้วย​

แม้ว่า​ขุนนาง​ของกอง​โหราศาสตร์​ทุกคน​จะอยู่​ใน​เมืองหลวง​ของ​ต้า​หลี​ แต่​อันที่จริง​กลับ​เท่ากับ​ว่า​ตัดขาด​จาก​โลก​ภายนอก​แล้ว​ แทบ​ไม่มีความสัมพันธ์​ใดๆ​ กับ​ภายนอก​ ทุกครั้งที่​ออก​ไป​ข้างนอก​ก็​ล้วน​ต้อง​มีการ​ตรวจสอบ​ รายงาน​หลาย​ชั้น​ตั้งแต่​ฝ่ายใน​กันเอง​ไป​จนถึง​ฝ่าย​กรม​พิธีการ​ เอกสาร​ผ่าน​ด่าน​พิเศษ​ใน​การออกไป​ข้างนอก​ทุกครั้ง​ เมื่อ​ใช้ไป​แล้ว​ครั้งหนึ่ง​ก็​เท่ากับ​ว่า​ถูก​เพิกถอน​ แล้ว​ยัง​ต้อง​มีการ​บันทึก​ลง​เอกสาร​ คน​ที่อยู่​ข้างใน​ไม่กล้า​ผูกมิตร​ตีสนิท​กับ​ขุนนาง​ ส่วน​ขุนนาง​เมืองหลวง​ที่อยู่​ข้างนอก​ก็​ยิ่ง​ไม่กล้า​คบค้าสมาคม​กับ​กอง​โหราศาสตร์​ หาก​มีความเกี่ยวข้องกัน​เกินขอบเขต​แม้แต่​นิดเดียว​ก็​ง่าย​ที่จะ​สูญเสีย​หมวก​ขุนนาง​ใบ​นี้​ไป​ แล้ว​ยัง​เป็นการ​เสีย​หมวก​ขุนนาง​ประเภท​ที่ว่า​ต้อง​เสียหัว​ตัวเอง​ตาม​ไป​ด้วย​

เฉิน​ผิง​อัน​เดิน​เนิบ​ช้าอยู่​ใน​ตรอก​เส้น​หนึ่ง​

ข้าว​ชนิด​เดียวกัน​เลี้ยง​คน​ได้​ร้อย​รูปแบบ​

มองโลก​ที่​ฟ้าดิน​กว้างใหญ่​ไพศาล​ใบ​นี้​ ดูเหมือนว่า​ไม่ว่า​ใคร​ก็​ล้วน​เป็น​คนตาบอด​ที่​กำลัง​คลำ​ช้าง

ขอบเขต​สายตา​ที่​มองเห็น​ไม่เหมือนกัน​ มุมมอง​ไม่เหมือนกัน​ ผลลัพธ์​ที่​ได้​ออกมา​ก็​ย่อม​ต่างกัน​ราว​ฟ้ากับ​เหว​

ผู้ฝึก​ยุทธ​เต็มตัว​ สิ่งที่​สายตา​มอง​ไป​เห็น​ วัตถุ​ที่​จับต้อง​ได้​จริง​หลายอย่าง​ล้วน​ชัดเจน​แจ่มแจ้ง ส่วน​ผู้ฝึก​ตน​กลับ​สามารถ​มองเห็น​การ​ไหลเวียน​ของ​ปราณ​วิญญาณ​ฟ้าดิน​ได้​อย่าง​เลือนราง​ นอกจากนี้​ก็​ยังมี​ศาสตร์​การ​มอง​ลมปราณ​ของ​สิ่งศักดิ์สิทธิ์​ด้วย​

ระหว่าง​ที่​ความคิด​ของ​เฉิน​ผิง​อัน​ขึ้นๆ ลงๆ​ ฟ้าดิน​ก็​คล้าย​เกิด​การเปลี่ยนแปลง​ที่​เล็ก​ละเอียด​ตาม​ไป​ด้วย​ ยิ่ง​ขยับ​เข้าใกล้​ทิศทาง​ของ​กำแพงเมือง​ปราณ​กระบี่​ หรือ​ควรจะ​พูดว่า​ใต้​หล้า​เปลี่ยว​ร้าง​ ขอบเขต​ที่​ยืม​ลู่​เฉิน​มาชั่ว​คราวนี้​ก็​ยิ่ง​ลด​ฮวบ​ไป​อย่าง​รวดเร็ว​ ดูท่า​แล้ว​คน​คน​เดียวกัน​ แต่​ก็​น่าจะ​มีการ​แบ่ง​หลัก​แบ่ง​รอง​ด้วย​

แบบนี้​ต่างหาก​จึงจะสมเหตุสมผล​

ไม่อย่างนั้น​ตน​อาศัย​มรรค​กถา​ค้ำฟ้า​ของ​ตบะ​ขอบเขต​สิบ​สี่มุ่งหน้า​ไป​เยือน​ใต้​หล้า​เปลี่ยว​ร้าง​ จะไม่เท่ากับ​ว่า​มีขอบเขต​สิบ​สี่โผล่​เพิ่ม​มาสอง​คน​เลย​หรือ​

ก่อนหน้านี้​ตอนที่​ห​ลี่​เซิ่งอยู่​ที่​หอ​เห​ริ​นอวิ๋น​อี้​อวิ๋น​ การ​ที่​เขา​ตอบ​ตกลง​กับ​อาจารย์​ว่า​จะลองดู​อีก​สักครั้ง​ ก็​เป็น​เพราะว่า​ได้​เดิน​เลียบ​ตอน​บน​ตอน​ล่าง​ของ​แม่น้ำ​แห่ง​กาลเวลา​มาเห็น​ถึงก้าว​นี้​แล้ว​หรือไม่​?

ถ้าอย่างนั้น​ห​ลี่​เซิ่งหวัง​ให้​ตน​อาศัย​โอกาส​นี้​ ทำ​อะไร​?

หาก​เป็น​แค่​การกระทำ​ที่​กระทำ​ไป​ตาม​โอกาส​ของ​ห​ลี่​เซิ่ง ไม่ได้​มีเป้าหมาย​อะไร​ ถ้าอย่างนั้น​เฉิน​ผิง​อัน​ที่​ได้​ครอบครอง​มรรค​กถา​นี้​ อันที่จริง​กลับ​สามารถ​ทำ​อะไร​ได้​มากมาย​ ยกตัวอย่างเช่น​กลับ​ภูเขา​ลั่ว​พัว​ที่​เป็น​บ้านเกิด​ไป​รอบ​หนึ่ง​ หรือไม่​ก็​ใช้ค่าตอบแทน​ที่​ ‘ขอบเขต​ถดถอย​’ มาเดินทางไกล​ไป​เยือน​อุตรกุรุทวีป​หรือไม่​ก็​ใบ​ถงทวีป​

เฉิน​ผิง​อัน​พลัน​เกิด​ความคิด​ที่​แรงกล้า​อย่างหนึ่ง​

ก้าว​หนึ่ง​ก้าว​ออก​ไป​จาก​เมืองหลวง​ต้า​หลี​ มาโผล่​ที่​เรือน​หลัง​ของ​ร้าน​ยา​ตระกูล​หยาง​โดยตรง​ ทั้ง​เหมือน​ความคิด​ที่​เกิดขึ้น​มาตามอารมณ์​ และ​ก็​ทั้ง​เหมือน​ดวงจิต​ถูก​กระชาก​ให้​เดิน​ไป​โดยที่​มองไม่เห็น​

ผล​คือ​เฉิน​ผิง​อัน​ได้​ไป​เจอ​กับ​นักพรต​ที่​มีลักษณะ​เป็น​เด็กหนุ่ม​คน​หนึ่ง​

มรรคา​จารย์​เต๋า​ยิ้ม​ถาม “มีคน​ที่​นับตั้งแต่​เด็ก​มาก็​คอย​มอง​ดวงดาว​ของ​แต่ละ​ยุค​แต่ละ​สมัย​อยู่​เพียงลำพัง​ เฉิน​ผิง​อัน​ เจ้าลอง​พูด​มาสิว่า​ คน​ผู้​นี้​ลำบาก​หรือไม่​?”

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset